บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ
บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ
ผืนดินรกร้างกว้างใหญ่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำหนาแน่น
มวลมหาคลื่นแห่งความวิปโยคส่งเสียงแหลมหวีดหวิว กังวานก้องไปทั่วม่านหมอกดำ มันเป็นเสียงคำรามของดวงวิญญาณแปดเปื้อนซึ่งน่าสะพรึงกลัวประหนึ่งเสียงครวญคร่ำแห่งจอมมาร
เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกุมมือของเถี่ยอวิ๋นผิงเอาไว้ เขาพานางฝ่าผ่านหมอกมืดดำซึ่งรายล้อมไปด้วยดวงวิญญาณแปดเปื้อนอย่างรัศมีแห่งแสงที่ไร้คลื่นคำรน
พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก พร้อมกับล่าสังหารไปตามรายทาง
ทุกแห่งหนที่ผ่าน ซากศพของดวงวิญญาณแปดเปื้อนซึ่งต้องคมเฉือนก็ร่วงหล่นสู่พื้นดินก่อนจะสลายเป็นธุลีในที่สุด อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำต่อวิญญาณเหล่านั้น ไม่ต่างอันใดจากการกวาดใบไม้แห้งกองหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา สีหน้าของเฉินซีนั้นดูเคร่งขรึมยิ่ง ดวงตาที่กะพริบถี่เต็มไปด้วยความระแวดระวังซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ประกายเยือกเย็น
อย่างที่กวนหงอวี่ได้ว่าไว้ พวกเขาเดินทางมาร่วมสามหมื่นลี้แล้ว และตอนนี้กำลังเข้าสู่เขตแดนของกระบี่มลทินอเวจี
ทั่วทั้งเขตแดนนี้ปกคลุมไปด้วยชั้นของจิตสังหารอันน่าสยดสยอง สัมผัสที่คล้ายจะมีรูปร่างให้จับต้องเกาะกุมจิตใจและวิญญาณให้ตกในห้วงหวาดผวา
จำนวนของดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่นี่ลดลงอย่างรวดเร็ว พวกมันเริ่มบางตาลงจนยากจะค้นพบ
ฟ้าดินอันไพศาลหนาแน่นไปด้วยปราณมลทินอเวจีที่เดือดพล่านอย่างเพลิงกาฬ มันเงียบสงบ ลึกลับ และน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินซีในปัจจุบัน เขายังคงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันกล้าแกร่ง ลางสังหรณ์บอกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างเผลอตัว ใบหน้าคมคายสะท้อนความแน่วแน่ เด็ดเดี่ยว ในตอนนั้นเขาเลือกที่เพิกเฉยต่อท่าทีขัดขืนของเถี่ยอวิ๋นผิงและจับนางใส่ลงไปในสมบัติศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว
หลังจากนั้น เขาก็มุ่งหน้าต่อไปเพียงลำพัง
ทั่วทั้งเขตแดนซึ่งอยู่ภายใต้กระบี่มลทินอเวจีไม่มีเหล่าวิญญาณแปดเปื้อนหลงเหลืออีกต่อไป ดังนั้นหากเถี่ยอวิ๋นผิงยังคงติดตามอยู่ข้างกายเช่นนี้ ก็มีแต่จะสร้างภาระให้เขาเท่านั้น
ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าจำนวนของวิญญาณแปดเปื้อนที่พวกเขาสังหารไปนั้นมากน้อยเพียงใด เพราะอย่างไรแล้วพวกมันก็เพียงพอที่จะทำให้นางขึ้นสู่สิบอันดับแรกได้อย่างง่ายดาย
ตลอดหนทางที่ทอดยาว ต้นอ่อนเงาทมิฬภายในจักรวาลร่างกายดูดกลืนปราณมลทินอเวจีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกมากเท่าไร ปริมาณของปราณมลทินอเวจีก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกโล่งใจ ก็คือความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในอดีต มันเป็นแต่เพียงต้นอ่อนเล็ก ๆ ที่มีลำต้นแข็งแรงและใบเขียวขจี ทว่าในยามนี้ มันกลับสะพรั่งไปด้วยกิ่งก้านสาขา หยัดยืนตระหง่านกลางเมฆาอย่างมั่นคง
ประโยชน์ที่เฉินซีได้รับจากสถานการณ์นี้ก็คือ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทะลักออกมาราวน้ำพุตลอดเส้นทาง สิ่งนี้ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งพาผลึกศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
เมื่อรวมกับการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าที่บรรลุถึงขอบเขตทารกดวงใจแล้ว ชายหนุ่มสามารถต่อสู้ได้เรื่อย ๆ อย่างไม่จำเป็นต้องพักเลยทีเดียว
มันเป็นสภาวะที่แทบไม่ต่างจากตอนที่เขาอยู่ในสามภพเลยสักนิด
ดวงจิตแห่งเต๋าที่ทรงพลัง ทำให้ความทนทานต่อการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ต้นอ่อนเงาทมิฬก็คอยทำให้เขามีพลังในการต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยการร่วมมือของทั้งสองสิ่ง เฉินซีไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคหรือการต่อสู้ที่สาหัสเลยแม้แต่น้อย
อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างกวนหงอวี่เผชิญกับการบุกโจมตีของกองทัพวิญญาณแปดเปื้อน และถูกกดดันจนถึงจุดที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพลดฮวบลง จนเกือบจะถูกกำจัดลงเสียแล้ว
เหตุผลนั้นเป็นเพราะกวนหงอวี่ขาดพลังที่จะรักษาสภาพการต่อสู้เอาไว้ ผิดจากเฉินซีที่ไม่มีปัญหาเหล่านั้นให้กังวล
อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่ต้นอ่อนเงาทมิฬ ด้วยเหตุนี้เฉินซีจึงยังเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ต้นอ่อนเงาทมิฬก็เพียงต้นอ่อนเช่นนั้น พลังของมันจะก้าวไปถึงขีดสุดก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬแล้วเท่านั้น!
ในช่วงยุคบรรพกาล ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแผ่สาขาใต้ร่มเงาของความโกลาหลและเชื่อมโยงภพเซียนเข้ากับภพมนุษย์เป็นดั่งเทพผู้ไม่มีใครเทียบ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไพศาลอย่างไร้สิ้นสุดของมันสร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นทั่วทั้งจักรวาล การดำรงอยู่ของมันเทียบได้กับจักรพรรดิมด ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ฝูซี หนี่หวา และประมุขนิกายอำนาจเทวะ!
เนื่องจากแก่นแท้สสารของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬถูกทิ้งเอาไว้ภายในต้นอ่อนเงาทมิฬ ด้วยเหตุนี้ หากต้นอ่อนเงาทมิฬสามารถวิวัฒนาการตัวเองได้สำเร็จ ความสามารถของมัน ก็คงจะยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ
ท่ามกลางความเงียบงัน จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ใบหน้าที่เคร่งขรึมกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มเหมือนกับลูกธนูที่ถูกง้างอย่างสุดกำลัง พร้อมที่จะรับมือกับอันตรายทุกเวลา
เท้ายังคงสืบไปเบื้องหน้า
ภายใต้โลกสีดำอันไร้ขอบเขตนี้ คล้ายเป็นผู้เดียวที่ดำรงอยู่ ชายหนุ่มเดิมไปตามลำพังท่ามกลางโลกที่กว้างใหญ่เสียจนเขาดูตัวเล็กจ้อย
ทันใดนั้น เฉินซีระงับการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
จากการประมาณ ม่านแห่งราตรีกาลคงกำลังคืบคลานออกมาในอีกหนึ่งเค่อต่อจากนี้
ทว่าคราวนี้ เฉินซีไม่คิดจะซ่อนตัวอีก อย่างไรการชุมนุมล่าดาราก็จะสิ้นสุดลงในวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เขาจะอยากอยู่ที่นี่ต่อขนาดไหนก็คงเป็นไปไม่ได้
และนั่นหมายความว่า หากต้นอ่อนเงาทมิฬไม่สามารถวิวัฒนาการได้สำเร็จในคืนนี้ เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
เฉินซีไม่รู้เลย จักรพรรดินี้อวี้เชอเองก็ใช้โอกาสสุดท้ายในคืนนี้ไปกับการปราบกระบี่มลทินอเวจีเช่นกัน
แม้ทั้งสองจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน หากนั่นกลับเชื่อมโยงกันอย่างประหลาด
หากจะพัฒนาต้นอ่อนเงาทมิฬให้สำเร็จ ก็จำเป็นที่จะต้องดูดซับปราณมลทินอเวจี และปราณมลทินอเวจีนั้น ก็ไหลเวียนออกมาจากกระบี่มลทินอเวจี
กล่าวได้ว่าสิ่งที่เฉินซีกำลังตามหามาตลอดนั้น มีความเกี่ยวข้องกับกระบี่มลทินอเวจีทั้งสิ้น
…
หนึ่งเค่อต่อมา ม่านดำแห่งรัศมีก็ปกคลุมไปทั้งเขตแดน
เฉินซีดวงตาหรี่ลงขณะที่ขบกรามแน่น เขาตั้งใจที่จะอำพรางรัศมีของต้นอ่อนเงาทมิฬอย่างที่เคยทำมาในอดีต
ทว่าฉับพลันนั้นเอง กระแสคลื่นผันผวนแห่งความศักดิ์สิทธิ์อันกล้าแกร่งก็ปะทุออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงดังก้อง ทำเอาทั้งกายแข็งทื่อไปในทันใด
ตู้ม!
หลังจากนั้น ต้นอ่อนเงาทมิฬก็พุ่งออกมาจากร่างกาย มันเป็นเหตุการณ์ที่เฉินซีไม่อาจยับยั้งไว้ได้ แม้เขาจะใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ตาม!
หงึ่ง~
ครู่ถัดมา แสงศักดิ์สิทธิ์อันไพศาล เขียวขจี และลึกล้ำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ประกายสีเขียวของมันเรืองรองยิ่ง ผืนฟ้ามืดดำพลันสว่างพราวในขณะที่ลำต้นของต้นอ่อนเงาทมิฬกำลังส่องประกายเลือนรางจากด้านใน
ตอนนี้เอง ใบไม้ค่อยๆ ขยายตัวจนใหญ่โตราวผืนเสื่อ เส้นใบของมันเต็มไปด้วยอักขระลึกลับของเต๋า และมีปราณโกลาหลไหลเวียนอยู่ภายในนั้นอย่างเดือดพล่าน ในขณะที่กิ่งก้านของมันนั้นแข็งแกร่งประหนึ่งมังกรสีคราม ความสูงของมันเสมอเหมือนท้องฟ้า รากของมันหยั่งลึกลงแผ่นดิน เกิดเป็นภาพตระการตาดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ค้ำฟ้าหยั่งดิน*[1]’
เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นว่าต้นอ่อนเงาทมิฬที่ยืนต้นตระหง่านภายใต้ฟ้ายามราตรีนี้ช่างคล้ายกับเสาที่ค้ำสวรรค์เอาไว้!
ราวกับว่ามันได้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานและทอดมองยังผืนจักรวาลด้วยความภาคภูมิ
ขวับ! ขวับ!
ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น เส้นใบก็ปลดปล่อยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีเขียวสดออกมา พวกมันขยายตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ
มันเหมือนกับตาข่ายเทวะซึ่งปกคลุมไปทั้งแผ่นฟ้า ทุกที่ที่มันแผ่กระจายออกไป ปราณมลทินอเวจีที่ไหลเวียนอยู่ในฟ้าดินพลันถูกยับยั้ง ขัดเกลา ก่อนที่จะถูกดูดกลืนเข้าไปอย่างสมบูรณ์ ปราณเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กลายเป็นอาหารของต้นอ่อนเงาทมิฬทั้งสิ้น
มันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากก็สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจของเฉินซียิ่งนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
การที่ต้นอ่อนเงาทมิฬออกจากร่างโดยไม่สามารถควบคุมได้นี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนกำลังจะสูญเสียการควบคุมที่มีต่อมัน และนั่นก็ทำให้ความไม่สบายใจก่อตัวขึ้นมาในความคิดเลือนราง
ทว่าหลังจากนั้น เฉินซีก็สังเกตได้ถึงบางสิ่ง แม้ว่าต้นอ่อนเงาทมิฬจะออกไปจากร่างกายและเริ่มดูดซับปราณมลทินอเวจีด้วยตัวเอง ทว่าแก่นแท้สสารของมันยังคงหยั่งรากลึกอยู่ภายในจักรวาลภายในร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งคู่หาได้เป็นสิ่งที่แยกขาดจากกันแต่ประการใด หากกลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแทน
สิ่งที่ทำให้เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเข้าใจในทันทีว่านับตั้งแต่ได้ครอบครองต้นอ่อนเงาทมิฬ สมบัติวิเศษนี้ก็ได้ยึดเขาเป็นบ้านของมันเหมือนเลือดที่ปะปนในน้ำ พวกเราต่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันไปได้
ทว่าในเวลาต่อมา สีหน้าของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะในขณะนี้ เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ มันส่งเสียงหวีดหวาดราวกับแรงเสียดสีของพายุจากที่ไกล
ฟ้าดินที่กว้างใหญ่มืดมนลงในพลัน มันเต็มไปด้วยจิตสังหารและพลังแห่งบาปอันชั่วร้าย
กระบี่มลทินอเวจี!
ในตอนนี้ ยังไม่ทันที่เทียบอันดับล่าจะปรากฏบนท้องฟ้าเสียด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับตื่นตระหนกและปลดปล่อยพลังศักดิ์จำนวนมหาศาลออกมา
เฉินซีกู่ร้องในใจ บัดซบ!
ชายหนุ่มโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วร่างกายตามสัญชาตญาณ สรรพสรรพางค์เปล่งประกายขณะที่เคลื่อนไหวขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างสูงใหญ่หยัดยืนยังเบื้องหน้าของต้นอ่อนเงาทมิฬพร้อมกับกระบี่ในมือ
ตู้ม!
ท่ามกลางความมืดที่ไกลจากสายตา หมอกสีดำพลุ่งพล่านราวควันฉุย ฉากทัศน์สีเทาราวหมอกมัวของกระบี่เทวะเปิดเผยตัวตน มันปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินหม่นมืด
เป็นมันจริง ๆ!
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกัน ทว่าเฉินซีก็จดจำมันได้ในทันทีแม้นมองเพียงปราดเดียว มันคือกระบี่มลทินอเวจี ศาสตราวุธชั่วร้ายอันดับหนึ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ความโกลาหลแห่งเอกภพมสิหิม ภายในคมกระบี่นั้นผสานซึ่งพลังมาร ความน่าสะพรึงกลัว และบาปเข้าไว้ด้วยกัน พลังของมันน่าเกรงขามและชวนให้ประหลาดใจอย่างยิ่ง
บ้าเอ๊ย!
ขนทุกเส้นขนร่างกายลุกชัน เพียงแค่รัศมีของมันก็ทำให้เขาหายใจไม่ออก ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตกใจ หากข้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ต่อให้มีเก้าชีวิตก็คงไม่พอ
ฟึ่บ!
ถึงอย่างนั้น เรื่องที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับเฉินซีอย่างต่อเนื่อง ต้นอ่อนเงาทมิฬเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีในครั้งนี้ มันปลดปล่อยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีเขียวสดที่กวัดแกว่งอย่างบ้าครั้งราวกับแส้ศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก่อนจะพุ่งทะลุผ่านมิติโดยรอบไปยังที่ซึ่งห่างไกลออกไป
แกร๊ง!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กระบี่มลทินอเวจีก็ชักคมออกจากฝัก ผิวที่อาบไล้ไปด้วยมลทินปลดปล่อยปราณกระบี่สีเทาที่ห้อมล้อมด้วยหมอกมัวออกมา
ทันในนั้น แผ่นดินถูกแผ่นเป็นสองฝั่ง ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เขียวขจี เป็นภาพที่เกินความคาดหมายเสียจนนึกตะลึงลานอย่างอดไม่ได้
หลังจากนั้น เสียงกึกก้องก็กัมปนาทไปถ้วนทั่ว เพราะ ‘แผ่นดิน’ ซึ่งถูกแบ่งแยกนี้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ปราณกระบี่โหมการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้ากวาดไล้ไปทั่วบริเวณ
เฉินซีแสบแก้วหูราวกับมันจะขาดผึ่ง ดวงจิตแห่งเต๋าสะท้านไหว อย่าว่าแต่เข้าไปช่วยสนับสนุนเลย แม้แต่การป้องกันตัวจากแรงโจมตีนี้ เฉินซียังต้องทุ่มความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีออกมาใช้
การปะทะกับระหว่างยอดแห่งความแข็งแกร่งทั้งสองน่ากลัวเกินไปจริง ๆ แม้ว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอย ด้วยไม่คุ้มที่จะเอาตัวเองไปแบกรับหรือต้านทานพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!
…
“หืม?”
“ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ!”
“ไม่คิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ข้าจะได้เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดินปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดกระบี่มลทินอเวจีถึงได้กระวนกระวายใจเช่นนี้…”
“ข้ารู้แล้ว นี่คงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เอกภพจักรวรรดิกล่าวถึง! อวิ๋นชิง อย่าได้เสียเวลาต่อไปอีกเลย คอยคุ้มกันข้าด้วย!”
“รับด้วยเกล้า!”
บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมื่อต้นอ่อนเงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นและทำให้กระบี่มลทินอเวจีเผยตัวก่อนถึงเวลาอันควร ทั้งจักรพรรดินีอวี้เชอและอวิ๋นชิงต่างก็ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ในแทบทุกฝีก้าว
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งสองคู่ของพวกเขาฉายวาบซึ่งประกายอันศักดิ์สิทธิ์ ความมุ่งมั่นอันไร้สิ้นสุดเอ่อล้นขึ้นภายในห้วงวิญญาณซึ่งเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
จักรพรรดินีอวี้เชอลงมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยซึ่งผิดกับนางในอดีตนัก อาภรณ์สีแดงสะบัดไหวอย่างรวดเร็ว เรือนกายอันเพรียวบางและสง่างามฉายประกายยามเคลื่อนคล้อยไปในอากาศ เป็นตอนนั้นเองที่นางชักกระบี่พิฆาตฟ้าในมือมั่น
ขวับ!
คมกระบี่ของนางซัดสาดยังทิศทางของกระบี่มลทินอเวจี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ยอดคนทั้งหลายที่อยู่โดยรอบตกตะลึง ม่านแห่งรัตติกาลเพิ่งจะย่างกรายเข้ามาเท่านั้น ซ้ำร้าย เทียบอันดับล่ายังไม่ปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ เหตุใดจักรพรรดินีจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวล่วงหน้าเสียเล่า!
หลังจากนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าทันทีที่จักรพรรดินีอวี้เชอโจมตี ฉับพลัน ลำแสงสีเขียวพราวก็พุ่งพรายออกมาจากส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้ มันส่องสว่างไปทั่วทั้งจักรวาล
หลังจากนั้น กระบี่ซึ่งเปื้อนมลทินและหยาบกระด้างอีกเล่มก็ส่งเสียงกึกก้อง สร้างแรงสั่นสะเทือนไปถ้วนทั่ว
เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งใหญ่อลังการเกินไป คนเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะแสดงความตกใจ พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าในค่ำคืนนี้จะได้เผชิญหน้ากับภาพที่เหนือกว่าจินตนาการจะวาดฝันได้
[1] ค้ำฟ้าหยั่งดิน หมายถึง สิ่งที่สูงตระหง่านตั้งแต่ฟ้าจรดดิน
…………….