บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1626 แผนภาพไท่จี๋
บทที่ 1626 แผนภาพไท่จี๋
…………….
บทที่ 1626 แผนภาพไท่จี๋
ขณะนี้ กระทั่งผู้บ่มเพาะซึ่งกระจายกันตามดาวต่าง ๆ ยังสังเกตเห็นแสงสีเขียวเจิดจรัสสายหนึ่งพุ่งจากส่วนลึกสุดของกลุ่มดาวถาวอู้ เจิดจรัสกระจ่างใส สาดส่องไปทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาว
ขณะเดียวกันนั้นเอง ปราณกระบี่สีเทาขมุกขมัวก็พุ่งออกมาต้านมันไว้อย่างรวดเร็ว!
เหตุเช่นนี้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ดุจปาฏิหาริย์จากบรรพกาล ยิ่งใหญ่เจิดจรัสยิ่งในจักรวาล
ยิ่งกว่านั้น ยามจักรพรรดินีอวี้เชอชักกระบี่พิฆาตฟ้า ฟาดฟันรัศมีกระบี่ไร้สีทะยานผ่านนภา สถานการณ์ก็ยิ่งทวีความโกลาหล
พวกเขาสังเกตได้ชัดเจนว่าดวงดาราเกินคณานับ ณ ส่วนลึกสุดของกลุ่มดาวถาวอู้กำลังสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ถูกกระทบโดยศึกสะท้านแดนนี้
ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าเหตุยิ่งใหญ่นี้จะบังเกิดในคืนสุดท้ายก่อนการชุมนุมล่าดาราปิดฉาก!
ไม่มีผู้ใดในยามนี้ให้ความสนใจกับการจัดอันดับล่าอีก ทุกความคิดและหัวใจต่างถูกเบนไปจดจ่อกับเหตุชวนตะลึงตรงหน้า
…
เสียงสนั่นเลื่อนลั่นอยู่ข้างหู สะท้านถึงดวงวิญญาณ ขณะที่คลื่นอากาศเย็นยะเยือกถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดยั้ง ทำให้เฉินซีรู้สึกเหมือนเป็นจอกแหนกลางคลื่นลมพายุ พร้อมจมดิ่งลงได้ทุกเวลา
ขณะนี้ แม้เร่งกำลังเต็มที่ มันก็ทำได้เพียงช่วยไม่ให้เขาถูกฟาดกระเด็นเท่านั้น การโต้ตอบกลายเป็นเพียงสิ่งที่เขาได้แต่ฝันถึง
ถึงขนาดที่เฉินซีสงสัยว่า หากต้นอ่อนเงาทมิฬไม่ดึงความสนใจทั้งหมดจากกระบี่มลทินอเวจีไป เขาคงอวสานสิ้นไปนานแล้ว
ไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดอาวุธอันตรายอันดับหนึ่งอันก่อเกิดจากความโกลาหลของเอกภพมสิหิม จึงสามารถสร้างอำนาจทำลายล้างน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้
สงสัยนักว่าสมบัติล้ำค่าอันดับหนึ่งอันเกิดจากในความโกลาหลของสามภพ ขวานผานกู่จะมีอำนาจน่าสะพรึงกลัวเช่นไร… ขณะนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงสามภพขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล และนึกถึงขวานผานกู่ขึ้นมาก่อนตาข่ายครอบคลุมสวรรค์และเหรียญทองแดงโปรยสมบัติที่เขาพกติดตัว
พวกมันเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติเหมือนกัน ทว่าความต่างชั้นระหว่างพวกมันถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนในขณะนี้
บางครั้งเฉินซีกระทั่งสงสัยว่าไยสมบัติวิญญาณธรรมชาติทุกชิ้นจึงเกิดขึ้นจากความโกลาหล
เป็นไปได้หรือไม่ว่าในแก่นแท้โกลาหล จะมีจิตสำนึกใดที่เหนือกว่ามันอยู่?
คำถามเหล่านี้ดูสุดเรียบง่าย แต่หากพินิจดี ๆ ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว โดยเฉพาะเมื่อเฉินซีเดินทางบนเส้นทางสู่เต๋าสูงส่ง แต่ทุกครั้งที่ครุ่นคิดถึงคำถามนี้ มันก็ยังทำให้เขารู้สึกตะลึงระคนหวาดผวาอย่างไม่อาจอธิบาย
เขาไม่อาจหาเบาะแสใด ๆ จึงไม่อาจคิดออก และทุกสิ่งที่ไม่อาจตระหนักทราบได้มักจะเป็นที่เกรงกลัว
สิ่งที่ไม่รู้ น่ากลัวเสมอ!
แต่พริบตาต่อมา เฉินซีก็ฟื้นสติอย่างสมบูรณ์ สีหน้าจึงไม่น่ามองเล็กน้อย
เขาทราบว่าเมื่อครู่ หนึ่งเค้าตำหนิปรากฏขึ้นในดวงจิตแห่งเต๋าเพราะความกลัว และทำให้ความคิดฟุ้งซ่านปรากฏขึ้นในใจ หากไม่ฟื้นคืนจากมัน ผลที่ตามมาคงเกินคาดคิด!
เพราะถึงอย่างไร ในขณะนี้ก็อยู่ท่ามกลางศึกอันดุเดือดชวนสะพรึง แม้เขาจะไม่มีอำนาจปัดป้องแม้แต่น้อย ทว่าขอเพียงอุบัติเหตุเกิดแม้เพียงเสี้ยว เขาก็จะไม่อาจเลี่ยงการเสียชีวิตได้
เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ หาไม่ ข้าจะถูกบีบบังคับให้รับการโจมตีฝ่ายเดียว นอกจากนั้น หากต้นอ่อนเงาทมิฬพ่าย ข้าก็ไม่พ้นหายนะเช่นกัน… เฉินซีสูดหายใจลึก ขณะที่สีหน้าเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้น ชายหนุ่มฟื้นความเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์ แล้วเริ่มมองหาโอกาสลงมือ
บนเวหา ปราณกระบี่เทาขุ่นมัวป่ายปัดฉวัดเฉวียน บดขยี้โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีเขียวซึ่งพุ่งออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬลงมากมายด้วยเสียงกัมปนาทดุจสายฟ้าสะท้านสรวง พิรุณแสงพร่างพรม
เดิมทีต้นอ่อนเงาทมิฬไม่มีทางฝืนการโจมตีอันร้ายกาจด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาได้ แต่เมื่อมีกระบี่พิฆาตฟ้าเข้าเสริม มันจึงสามารถทำเช่นนี้ได้
สถานการณ์ปัจจุบันพัฒนาไปเป็นกระบี่พิฆาตฟ้าและต้นอ่อนเงาทมิฬผนึกกำลังจัดการกับกระบี่มลทินอเวจี
ยิ่งกว่านั้น กระบี่มลทินอเวจียังเผยสัญญาณการเพลี่ยงพล้ำแผ่วบาง
เพราะเหตุนี้เอง เฉินซีจึงรอดพ้นอันตรายท่ามกลางศึกอันเข้มข้นได้
แต่สถานการณ์เช่นนี้อันตรายสุดขั้วนัก หากต้นอ่อนเงาทมิฬหรือกระบี่พิฆาตฟ้าพ่ายลง หายนะจะบังเกิดกับเขาแน่นอน!
เพราะแม้เขาจะดูเหมือนปกป้องตนเองระหว่างสถานการณ์นี้ได้ แต่ก็เกี่ยวพันกับต้นอ่อนเงาทมิฬจนไม่อาจแยกจากได้แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดแรกเริ่มที่ทำให้ไม่อาจแยกตัวจากการพัวพันนี้ได้
ตู้ม!
สะเก็ดแสงโปรยปรายทั่วทิศ คลื่นทำลายล้างจากศึกระหว่างสามสมบัติศักดิ์สิทธิ์กวาดกระหน่ำไร้สิ้นสุด ฉีกกระชากฟ้าดินปั่นป่วน
ขณะนี้เฉินซีเมินเฉยต่อเรื่องทั้งหมดมานานแล้ว ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับการพินิจพิเคราะห์ทุกการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ศึก
ยิ่งกว่านั้น ในใจยังคิดถึงทุกมาตรการฉุกเฉินทั้งหมดที่ทำได้อย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะได้เป็นผู้กุมชะตาของตนเอง!
ศึกทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ สะท้านสวรรค์สะเทือนจักรวาล ปราณกระบี่จากกระบี่มลทินอเวจีถูกฟาดฟันเป็นชิ้นเสี่ยง แหลกสลายเป็นละอองแสงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน การโจมตีจากกระบี่พิฆาตฟ้าและต้นอ่อนเงาทมิฬก็ถูกฟาดเบี่ยงหลุดวิถีไปรอบ ๆ ท่ามกลางการปะทะเช่นกัน
หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ดาววิญญาณมลทินทั้งดวงก็อาจถูกป่นเป็นผงจากศึกนี้!
ทันใดนั้น ดวงตาดำมืดดุจหุบเหวของเฉินซีก็เรืองประกายเย็นวาบ ปราณแข็งกล้าแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน
ชายหนุ่มคิดแผนอันชาญฉลาดได้แล้ว แต่มันอันตรายยิ่งนัก และอาจกระทั่งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ขณะนี้เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องเหล่านั้น
ฟิ่ว!
ร่างสูงใหญ่เรืองรองด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต แปรเปลี่ยนเป็นอักขระยันต์ลึกลับสารพัดขดวนรอบกาย เผยบรรยากาศยิ่งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว ไร้เทียมทาน
เคร้ง!
ยันต์ศัสตราในมือส่งเสียงกู่ร้องใสกระจ่าง ขณะที่เคลื่อนไหวตามการนำของข้อมือ วาดแผนภาพกลมเกลี้ยงขึ้นบนอากาศ
หลังจากนั้น อักขระยันต์ลึกลับมากมายรอบกายก็เหมือนพบที่ระบาย หลั่งหลากเข้าสู่แผนภาพวงกลมที่วาดด้วยยันต์ศัสตราทันที
ดังนั้นหยินหยางจึงบังเกิดประสานเสริม บังเกิดแสงเงาบรรจบรวม สี่กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์สูงสุดมาพบกันในลวดลายวงกลมนี้ เกิดเป็นแผนภาพไท่จี๋อันไร้ที่ติ!
นี่คือกฎของไท่จี๋ หนึ่งในมหาเต๋าสูงสุดที่เฉินซีได้รู้แจ้งบรรลุเมื่อนานมาแล้ว เป็นการรวมตัวของมหาเต๋าสูงสุดแห่งหยิน หยาง แสงและเงา ขณะนี้ เฉินซีใช้มันภายในลวดลายวงกลมที่วาดด้วยยันต์ศาสตรานี้
แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ!
พริบตาต่อมา เฉินซีก็ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง กระตุ้นเต๋าแห่งการกลืนกินเสริมเข้าไปในแผนภาพไท่จี๋
เปรี้ยง!
แผนภาพไท่จี๋พลันเรืองประกาย สั่นสะท้านหมุนวน ขาวดำขับเคลื่อน หยินหยางแปรผัน ให้บรรยากาศกลืนกืนสรรพสิ่งอย่างไม่อาจบรรยาย
มิติในละแวกบิดเบี้ยวพังทลาย แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นชิ้นส่วน หมุนวนอย่างบ้าคลั่งร่วมกับแผนภาพไท่จี๋
“เร็วกว่านี้!” เฉินซีพลันตะโกนลั่น
แผนภาพไท่จี๋ทวีความเร็วโคจร ประหนึ่งหลุมดำบังเกิดกลางจักรวาล เริ่มกลืนกินแสงศักดิ์สิทธิ์อันแหลกสลายท่ามกลางฟ้าดินตามจำนงของเฉินซีอย่างบ้าคลั่ง
ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมีทั้งปราณกระบี่อันแตกหักของกระบี่มลทินอเวจี อำนาจของต้นอ่อนเงาทมิฬและกระบี่พิฆาตฟ้าอันพังทลายในศึก…
ทว่าขณะนี้ ทุกอำนาจซึ่งกระจัดกระจายทั่วทิศอย่างปนเปก็ถูกอำนาจการกลืนกินของแผนภาพไท่จี๋สูบเข้าหาอย่างไม่อาจควบคุม
ตู้ม!
เพียงพริบตา คลื่นอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกสูบเข้าไปในแผนภาพไท่จี๋อย่างไม่หยุดยั้ง และเพราะอำนาจเหล่านี้รุนแรงเกินไป กระทั่งปะทะกันเองอย่างรุนแรง ทำให้แผนภาพไท่จี๋เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและเผยสัญญาณการพังทลายออกมาจาง ๆ
เฉินซีเหมือนจะเดาเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว ชายหนุ่มกัดฟัน ตั้งจิตแล้วเบิกจักรวาลในร่าง ดึงอำนาจอันรุนแรงเหล่านั้นเข้าสู่ตนอย่างเต็มที่
เพียงพริบตา ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาว เส้นเลือดทั่วร่างปูดโปนดุจตัวหนอน ชายหนุ่มเหมือนกลืนมังกรฟ้าสิบตนลงไปทั้งเป็น จวนเจียนร่างระเบิดเต็มที
แต่เขาหาหยุดการกระทำไม่ สีหน้าบ้าคลั่งเจือจางปรากฏขึ้น ขณะที่ผ่อนทุกอำนาจในกายเลิกขัดขืน ปล่อยให้อำนาจอันรุนแรงกระหน่ำเกรี้ยวทั่วกายโดยไร้การขัดขืน
เจ็บ!
เจ็บจนไร้คำใดบรรยายได้!
ประหนึ่งหมื่นกระบี่แทงหัวใจ ถูกมีดทื่อเฉือนแล่ทีละชุ่น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินซีบิดเบี้ยว เจียนขบฟันแหลกเป็นเสี่ยง
หากไม่ใช่เพราะดวงจิตแห่งเต๋าแข็งแกร่งเกินธรรมดา คงไม่อาจทานทน ยอมรามือไปนานแล้ว
เพราะถึงอย่างไร อำนาจบ้าคลั่งเหล่านี้มาจากสมบัติศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสามชิ้น แม้จะเป็นเพียงอำนาจจากการปะทะของทั้งสาม มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เฉินซีในขณะนี้ปัดป้องรับมือได้
นี่ยังเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงสร้างแผนภาพไท่จี๋ขึ้นอย่างสุดความสามารถ นั่นก็เพราะเขาอาศัยให้อำนาจไท่จี๋สลายแรงปะทะและอำนาจทำลายล้างจากอำนาจร้ายกาจเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
มิเช่นนั้น หากเขาเขมือบมันตรง ๆ มันคงไม่ต่างจากหาที่ตาย
ตู้ม!
พลังอันดุร้ายฉีกกระชากเลือดเนื้อและผิวกายของเฉินซีเสียรุ่งริ่ง สะบั้นเส้นเลือดชีพจร ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นคลื่นคลั่งโถมสู่จักรวาลในร่าง และเริ่มอาละวาดในนั้นอย่างบ้าคลั่ง
หมู่ดาวอันหนาแน่นกลางจักรวาลในตัว เดิมทีสร้างขึ้นจากกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แข็งแกร่งเทียบเทวโลหะศิลา ทว่าขณะนี้ พวกมันกลับถูกทะลวงเช่นกระดาษ ถูกอำนาจอันบ้าคลั่งนี้บดขยี้ลงง่าย ๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นาน ทั้งจักรวาลในร่างคงจะแหลกสลาย ทำให้เฉินซีสิ้นรากฐานเต๋าศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นเพียงสวะไร้ค่าพิกลพิการ
ขณะนี้เฉินซีผู้รวดร้าวสาหัสไร้หนทางนอกจากแยกจิตสำนึกของตนเสี้ยวหนึ่งออกมา เพื่อจับตามองทุกสิ่งอย่างกระวนกระวาย
นับแต่ที่เขาเริ่มสร้างแผนภาพไท่จี๋มากลืนกินอำนาจอันดุร้ายนี้สู่ตน ทุกสิ่งก็อยู่ในการคาดการณ์ของเฉินซี แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจกนี้ผิดพลาดไปจากผลลัพธ์ที่เขาอนุมานไว้ละก็…
ฮึ่ม!
โชคยังดี การรอคอยนั้นกินเวลาเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มจึงไม่ต้องกระวนกระวายนานนัก เมื่ออำนาจอันดุร้ายเจียนเข้าถึงแก่นจักรวาลในร่าง อำนาจสายหนึ่งอันหนาแน่นอย่างยิ่งพลันพลุ่งพล่าน แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเขียวเกินธรรมดา กวาดกระหน่ำไปโอบอุ้มอำนาจดุร้ายนั้นไว้…
มันคืออำนาจแก่นแท้ที่ต้นอ่อนเงาทมิฬทิ้งไว้ ณ จักรวาลในร่าง และยามนี้ มันก็เหมือนเป็นฉลามได้กลิ่นเลือด โถมมาหยุดยั้งอำนาจโหดร้ายนี้ไว้ก่อนจะเริ่มดูดซับมันอย่างเต็มกำลัง!
ได้ผล! หัวใจของเฉินซีซึ่งแขวนจุกคอผ่อนกลับที่ของมันยามเห็นเช่นนี้ทันที ชายหนุ่มเหมือนเดินผ่านเส้นคั่นความเป็นความตายมา ทั่วร่างชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ เค้าความพรั่นพรึงยังคงค้างในใจอย่างไม่อาจลบออก
…………….