บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1629 วางแผน
บทที่ 1629 วางแผน
ในเวลาเดียวกัน ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เป็นไปดั่งที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว หลังจากที่พวกเขาได้เห็นความมหัศจรรย์ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ทุกคนล้วนบังเกิดความปรารถนาที่จะครอบครองมัน
ทว่า จักรพรรดินีอวี้เชอกลับเตือนทุกคนอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ละทิ้งความคิดนี้ทันที
ไม่ใช่ว่าพวกเขาเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลของจักรพรรดินีอวี้เชอ แต่เป็นเพราะด้วยพลังในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถปราบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้อย่างเต็มที่ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากจักรพรรดินีอวี้เชอ
ลึกลงไปในกลุ่มดาวถาวอู้ แสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตได้สลายไป และทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบงัน เหลือเพียงดวงดาวนับล้านที่เต็มไปรอยแผล และพวกมันได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ครั้งนี้
แต่กระนั้น เหล่าผู้บ่มเพาะไม่ได้เงียบลงเพราะเหตุนี้ ในทางกลับกัน ความตกตะลึงในใจไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป จึงบังเกิดเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วทันที
“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะประสบความสำเร็จแล้ว!”
“ใช่แล้ว กระบี่พิฆาตฟ้าเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากและเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนนี้นางครอบครองกระบี่มลทินอเวจีด้วย พลังของฝ่าบาทจะต้องสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน!”
“แต่ทุกคน ดูเหมือนพวกเจ้าจะลืมไปแล้วว่า นี่คือการชุมนุมล่าดารา และดูเหมือนเทียบอันดับล่าจะไม่ปรากฏในคืนนี้…”
“เอ๊ะ ไม่แปลกใจเลย ข้ายังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป ที่แท้ก็เป็นเพราะเทียบอันดับการล่านี่เอง”
“มันหาได้สำคัญไม่ แม้วันนี้เราจะไม่เห็นมันก็ตาม พรุ่งนี้การชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดในเวลาพลบค่ำ เมื่อถึงยามนั้น การจัดอันดับครั้งสุดท้ายก็จะประกาศออกมา”
“อันที่จริง สิ่งที่ข้าตั้งตาคอยมากที่สุดคือการแสดงฝีมือของเฉินสวิน…”
…
ม่านราตรีนั้นมืดมิดแต่ต่างจากกาลก่อน ในยามนี้ ดวงวิญญาณแปดเปื้อนนั้นโปร่งแสง และเต็มไปด้วยแสงสีเขียวสลัว ทั้งยังเงียบสงบ
หากไม่มีปราณมลทินอเวจี หมอกสีเทา ดวงวิญญาณแปดเปื้อน และบรรยากาศอันน่าสยดสยองที่กดดันหัวใจอยู่ในขณะนี้ ดวงวิญญาณแปดเปื้อนก็ไม่ต่างจากดาวดวงอื่น ๆ
เฉินซีเอามือไพล่หลังพลางจ้องมองไปในระยะไกล ดูคลับคล้ายกับรูปปั้นที่ยืนอยู่นิ่งสนิท และคงรักษาท่าทางนี้อยู่เนิ่นนาน
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว
เหลือเพียงต้นไม้เล็ก ๆ ที่สูงราวสิบสองชุ่น ลำต้นโปร่งใสและเป็นประกายระยิบระยับ เส้นใยของต้นไม้ก็อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังเปี่ยมด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์
มันแตกต่างจากต้นอ่อนเงาทมิฬอย่างเห็นได้ชัด มันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่โตเต็มที่ กิ่งก้าน ใบและลำต้นแข็งแรง เส้นใยบนใบก็ลึกลับและชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่กลิ่นอายของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้นอ่อนเงาทมิฬจะสามารถเทียบเคียงได้
สรุปก็คือ มันเหมือนกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่หดตัวลงหลายเท่า
สายตาของเฉินซีจับจ้องไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬต้นเล็ก ๆ นี้ และคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น ท่าทางดูคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ในท้ายที่สุด เขาทอดถอนใจเบา ๆ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ
ฟึ่บ!
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬกลายเป็นแสงสีเขียวปรากฏบนฝ่ามือทันที มันมีใบไม้ที่อ่อนนุ่ม และเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวระยิบระยับ
หลังจากนั้น มันก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา มันหยั่งรากลึกลงใจกลางจักรวาลภายในร่างกาย
หลังจากนั้นใบและกิ่งก้านของมันก็แผ่ออกไป
ฟิ่ว!
คลื่นสั่นสะเทือนบังเกิดขึ้น และทันใดนั้น ร่างของมันก็ลอยสูงขึ้นเหนือเมฆ และพุ่งทะลวงเหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว…
ในทางกลับกัน ใบของมันดูเหมือนกับวัชพืชที่กำลังขยายพันธุ์ แผ่ขยายและห่อหุ้มท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอย่างไม่หยุดยั้ง มันครอบคลุมทุกซอกทุกมุมของจักรวาลภายในร่างกาย
โอม!
จู่ ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน ทรงพลัง หนาทึบ บริสุทธิ์ และมหาศาลก็ไหลทะลักออกมา จากนั้นมันก็เริ่มหล่อเลี้ยงจักรวาลทั้งหมดภายในร่าง
เพียงแค่ชั่วพริบตา เฉินซีรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเปี่ยมด้วยพลังที่มีอยู่ไม่จำกัด พลุ่งพล่าน ทรงพลัง และไม่มีจุดสิ้นสุด
ทว่า เฉินซีทอดถอนใจเบา ๆ อีกครั้ง พลันรู้สึกจนใจและหงุดหงิดเล็กน้อย
เสียงนั่นดังก้องอยู่ในหู “ขอบคุณที่เจ้าดูแลข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อเห็นแก่เส้นทางสู่เต๋าของเจ้า และเพื่อเห็นแก่เส้นทางสู่เต๋าของข้า ข้าก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป”
มันเป็นเสียงของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ และนี่เป็นครั้งแรกที่มันสื่อสารกับเฉินซี หลังจากที่มันเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง ก็ถึงเวลาต้องจากลา
ใช่แล้ว เช่นเดียวกับที่เฉินซีคาดไว้ หลังจากที่ต้นอ่อนเงาทมิฬเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดมันก็สามารถครอบครองการบ่มเพาะและสติปัญญาของตนในที่สุด
ดังนั้นมันจึงต้องจากไป
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬไม่เหมือนกับหม้อใบจิ๋ว มันอยู่เคียงข้างเฉินซีเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ในขณะที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้เสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว มันจึงสามารถบ่มเพาะได้ ดังนั้น หากมันต้องการพัฒนาพลังฝีมือ ก็มีแต่ต้องไปจากเฉินซีเท่านั้น มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่มันจะส่งผลกระทบต่อตนเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายต่อเฉินซีเช่นกัน
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความภักดี และเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะเท่านั้น
แต่เมื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬจากไป มันเพียงนำสติปัญญาและการบ่มเพาะของมันไปด้วยเท่านั้น โดยที่ทิ้งร่างไว้กับเฉินซี
บางทีมันอาจถือว่าเฉินซีเป็นบ้านของมันแล้ว และมันจากไปเพื่อท่องโลก ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งเฉินซีไปตลอดกาล
ถ้าอยากไปก็ไป มีเด็กคนใดในโลกนี้ที่ยอมอยู่เคียงข้างบิดามารดาตลอดไป?
ดูแลตัวเองด้วย!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ พลางจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน และประสานมือไปในระยะไกล
…
ค่ำคืนเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ดาววิญญาณมลทินก็ยิ่งเงียบสงัดและสงบสุขมากขึ้น
เฉินซีเดินเพียงลำพังผ่านถิ่นทุรกันดารโดยเอามือไพล่หลังไว้ และสายลมยามค่ำคืนที่พัดไหวเบา ๆ ทำให้เสื้อผ้าปลิวไสวไปตามเส้นผมยาวสีดำสนิท
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในฟ้าดินกว้างใหญ่นี้ แต่กลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย
ในทางกลับกัน เขามีความสุขกับช่วงเวลาแห่งความสงบที่หาได้ยากนี้จริง ๆ เพราะความสงบเช่นนี้… เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
ตั้งแต่เข้าสู่แดนโลกาวินาศ จนมาถึงเอกภพมสิหิม ถูกตามล่าโดยนิกายทุคตินีลโลหิต ถูกไล่ล่าโดยเยี่ยเหยียนจากนิกายอำนาจเทวะ และเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราในตอนนี้ เขาแทบจะไม่เคยหยุดเลยแม้แต่ลมหายใจเดียว
จนกระทั่งประสบกับการต่อสู้อันน่าสยดสยองเมื่อก่อนหน้านี้ ในที่สุดเขาก็มีช่วงเวลาแห่งความสงบสุขอันแสนสั้นนี้
ในขณะนี้ เฉินซีได้ปล่อยวางไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดและเพียงเดินอย่างอิสระ ทั้งรู้สึกพึงพอใจ สงบ และไร้กังวล
แต่ในที่สุด ชายหนุ่มก็หยุดกะทันหัน และได้สติจากสภาวะว่างเปล่านี้ พร้อมกับดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้า
มันเพียงพอแล้ว
เส้นทางสู่เต๋านั้นยากลำบาก เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากนามและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้นหลังจากพักผ่อนได้ไม่นาน เขาก็ต้องก้าวเดินไปตามเส้นทางในที่สุด
นี่คือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ!
เนื่องจากเขาเลือกเส้นทางนี้ ดังนั้นภายใต้ดวงดาวและดวงจันทร์ แม้พายุจะก่อตัวขึ้นบนเส้นทาง เขาก็จะไม่เสียใจต่อเรื่องนี้
ในขณะนี้ เฉินซีได้ฟื้นคืนเจตจำนงนักสู้อีกครั้ง เขาหยุดยึดติดกับอดีต หยุดกลัวอนาคต สภาพจิตใจกลับคืนสู่สงบ เผยให้เห็นถึงความหนักแน่นและความพากเพียร
ฟิ่ว!
พลังชีวิตในร่างกำลังโคจรอย่างเงียบ ๆ และเดือดพล่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่เหนือจิตวิญญาณ และมันเปล่งแสงลึกลับออกมา ทุกอย่างดูเป็นระเบียบและไร้ที่ติ
ในทางกลับกัน สภาพจิตใจบรรลุเปลี่ยนแปลง มันสงบ มั่นคง และสะอาดมากยิ่งขึ้น
นี่คือผลประโยชน์ที่มาจากประสบการณ์ เขาต้องเผชิญกับบททดสอบของชีวิตและความตายในคืนนี้ ทั้งยังเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส ในท้ายที่สุดก็ได้รับพรจากความโชคร้าย ปล่อยให้ร่างกายได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ราวกับได้เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน แม้แต่การบ่มเพาะก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีวี่แววว่าจะบรรลุความสมบูรณ์ของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่สามารถสำเร็จได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพลังลึกลับนั้น แม้เฉินซีจะไม่ตระหนักว่ามันเป็นเพราะน้ำค้างธุวดาราศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดินีอวี้เชอมอบให้ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุดที่มีโอกาสได้รับโดยวาสนาเท่านั้น แต่เขามั่นใจว่าพลังลึกลับนั้นจะต้องมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจที่เกิดขึ้น
อีกเพียงไม่กี่ก้าว ข้าก็จะบรรลุความสมบูรณ์ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ ขั้นถัดไปที่ข้าต้องก้าวข้ามคือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล… เฉินซีนั่งลงบนพื้นและเริ่มพินิจตนเอง
หากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงครึ่งปี นับตั้งแต่บรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่การบ่มเพาะกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ตอนนี้ เขาจวนจะบรรลุความสมบูรณ์ที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว และความเร็วของการพัฒนาดังกล่าว ถือว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในแดนเทพโบราณทั้งหมด
ทว่า เฉินซีตระหนักดีว่า แม้การเผชิญโชคลาภโดยบังเอิญจะมีบทบาทอย่างมากต่อเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็เป็นเพราะเขาใช้ความพยายามอย่างอุตสาหะมหาศาล เช่นเดียวกับการต่อสู้ครั้งก่อน เขาเกือบจะเสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น
ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า เฉินซีมีความสุขมากนักกับเหตุการณ์นี้
ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในปัจจุบัน มันควรเพียงพอที่จะต่อสู้กับเยี่ยหยานในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด แต่ไม่อาจประเมินพลังของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลต่ำเกินไป ดังนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับนางในอนาคต ทางที่ดีที่สุดคือต้องระมัดระวังตัว หลังจากที่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เฉินซีก็ระบุระดับการบ่มเพาะของตัวเองในปัจจุบันได้อย่างคร่าว ๆ
เป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่จะต้องแข่งขันในหมู่ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเช่นเดียวกัน และหากเขาต้องก้าวข้ามขอบเขตเพื่อทำการต่อสู้ อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถในการต่อสู้มากกว่านี้
ทว่า เฉินซีกลับจำได้อย่างชัดเจนว่า แม้เขาจะมีศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณ เมื่อบรรลุสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่เขาได้รับจัดอันดับให้อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับสุดท้ายของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น!
บัดนี้ การบ่มเพาะได้รับการพัฒนาอย่างมาก บางทีอันดับของเขาอาจขยับขึ้นสูง แต่จะไม่สูงเกินไปอย่างแน่นอน
นั่นหมายความว่า เขายังไม่อาจกล่าวว่าไร้เทียมทานในหมู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณของแดนเทพโบราณทั้งหมด
แน่นอนว่า หากอยู่ในเอกภพมสิหิม เฉินซีก็มั่นใจว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบกับคู่ต่อกรในหมู่ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเช่นเดียวกับตน
ในระหว่างการล่าครั้งนี้ ข้าทำให้ตระกูลอี้และอารามเต๋าสัจวิญญาณขุ่นเคืองอย่างยิ่ง บางทีข้าควรเริ่มวางแผนเพื่อออกเดินทางจากเอกภพมสิหิม หลังจากที่ทุกอย่างจบลงในวันพรุ่งนี้… เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
แต่ข้าไม่เหมือนกับสาวน้อยเถี่ยอวิ๋นผิง ในการจัดอันดับครั้งสุดท้าย ถ้านางเป็นอันดับหนึ่ง ข้าจะสามารถขอคำชี้แนะจากจักรพรรดินีอวี้เชอได้ในบางเรื่อง แต่ถ้าไม่… ข้าก็แค่พึ่งพาตัวเองและพยายามดิ้นรนเพื่อมัน
เป้าหมายเริ่มแรกของเฉินซีในการมาที่นี่ คือการหาเบาะแสเกี่ยวกับเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาผ่านทางจักรพรรดินีอวี้เชอ
ตอนนี้การชุมนุมล่าดารากำลังจะสิ้นสุดลง เขาย่อมไม่ลืมเรื่องนี้
ยามรุ่งอรุณ เฉินซีสะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง ทำให้ร่างของเถี่ยอวิ๋นผิงปรากฏขึ้นข้างกายอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปรอบ ๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะตะลึงเล็กน้อย “เราอยู่ที่ใดกัน”
เถี่ยอวิ๋นผิงไม่แน่ใจเล็กน้อย ท้องฟ้าเป็นสีครามและไม่มีเมฆ ซึ่งอันที่จริงไม่มีร่องรอยของปราณอเวจีมลทินสีเทาแม้แต่น้อย มันไม่เหมือนกับดาววิญญาณมลทินที่นางรู้จักเลย
เฉินซียิ้มพลางอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยท่าทางสบาย ๆ “มาเถอะ ทุกอย่างจะจบลงในเวลาพลบค่ำของวันนี้ เรามาใช้เวลาช่วงสุดท้ายนี้ให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อล่าสัตว์ร้ายกันเถอะ”
“โอ้” เถี่ยอวิ๋นผิงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ขณะที่รู้สึกยังคงมึนงงเล็กน้อย
แม้ว่าเฉินซีจะกล่าวเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่นางก็ยังคงรู้สึกไม่เชื่อในใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่ากระบี่มลทินอเวจีถูกปราบแล้ว มันเหมือนกับว่านางงีบหลับไป และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง โลกทั้งใบก็เปลี่ยนแปรเปลี่ยน
แต่ที่สำคัญที่สุด นางสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบแหลมว่า กลิ่นอายของผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่อาจหยั่งถึงได้อย่างแท้จริง แม้ท่าทางจะดูสงบและไม่แยแสเหมือนเช่นเคย แต่มันทำให้นางรู้สึกเคารพต่อคนผู้นี้โดยไม่รู้ตัว
…………….