บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1631 ไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส
…………….
บทที่ 1631 ไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส
เมื่อเห็นเสวียนท่าจื่อแสดงสีหน้าเช่นนี้ เสี่ยวหลัวหลั่วทราบเช่นกันว่าการที่สามารถทำให้อีกฝ่ายเอ่ยคำเช่นนั้นได้มีขีดจำกัดอยู่ นางไม่สามารถขออะไรมากไปกว่านี้ได้แล้ว
นางกัดฟันทันทีแล้วตอบตกลง “ก็ได้ ถ้างั้นตกลงตามนี้!”
“ท่านพี่ ท่าน… ไม่สนความเป็นความตายของข้าเลยหรือ?” เสี่ยวเทียนหลงตะโกนขณะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
เพียะ!
เสี่ยวหลัวหลั่วอดไม่ได้ที่จะตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วต่อว่า “หุบปาก! ดูซิว่าตอนนี้เจ้าเป็นยังไง!”
แก้มของเสี่ยวเทียนหลงแดงช้ำจากแรงตบ ทำเอาศีรษะมึนงงเล็กน้อย แต่เขาได้สติกลับคืนมาก่อนจะตระหนักได้ว่าพี่จะไม่มีทางนิ่งเฉยอย่างแน่นอน
“ทุกท่าน หากสนใจที่จะจัดการกับเจ้าคนที่ชื่อเฉินสวิน พวกท่านสามารถร่วมมือกับพวกข้าตระกูลต้าอี้ได้”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในบริเวณใกล้เคียง สิ้นเสียงดังกล่าว คุณชายรองแห่งตระกูลต้าอี้นามอี้สวินกับนายน้อยสาม อี้เทียนก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
เสี่ยวเทียนหลงตกตะลึงเมื่อเห็นเช่นนี้ก่อนจะรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ภายใน เมื่อเขากำลังจะเปิดปากตอบตกลงก็ถูกสายตาเย็นชาของเสวียนท่าจื่อจับจ้องมา เขาหวาดกลัวจนต้องกลืนคำพูดดังกล่าวกลับลงท้องไป
“ขออภัย ข้ายังไม่มีความคิดเช่นนั้น” เสวียนท่าจื่อเอ่ยคำอย่างสงบขณะปฏิเสธตามตรง
อี้สวินยิ้มอย่างเฉยชา ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่บังคับ” ว่าจบก็หันหลังจากไปพร้อมกับอี้เทียนผู้เป็นน้องชาย
“ท่านพี่ ครั้งนี้เด็กคนนั้นล่วงเกินตระกูลต้าอี้ ทำไมพวกเราไม่ผนึกกำลังกับพวกเขาเพื่อกำจัดอีกฝ่ายไปเลยล่ะ?” เสี่ยวเทียนหลงสับสน แต่ก็ไม่กล้าถามกับเสวียนท่าจื่อตรง ๆ
“พวกเราแค่จะจัดการกับเฉินสวิน พวกเรา อารามเต๋าสัจวิญญาณ จำเป็นต้องผนึกกำลังกับตระกูลต้าอี้หรือ?” ร่างของเสวียนท่าจื่อราบเรียบ ถึงกระนั้นก็มีสีหน้าเย่อหยิ่ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เสี่ยวเทียนหลงรีบยิ้มอย่างขออภัย
“ศิษย์น้องเสี่ยว ไปเถอะ ไปพบผู้อาวุโสของนิกายกัน” เสวียนท่าจื่อเมินเสี่ยวเทียนหลงก่อนจะเดินนำออกไป
“บัดซบ! จะโกรธอะไรนักหนา!” เสี่ยวเทียนหลงพึมพำอยู่ในใจขณะใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวและซีดเผือด ก่อนจะตามอีกฝ่ายด้วยความสิ้นหวัง
…
เฉินซียืนเอามือไพล่หลังอยู่ในทุ่งกว้าง เมื่อเห็นอันดับการล่า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะออกมา
ด้านหนึ่ง เขามีความสุขกับเถี่ยอวิ๋นผิง ส่วนอีกด้าน มันเป็นเพราะหลังจากนางได้อันดับหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องหาโอกาสเพื่อให้ได้พบกับจักรพรรดินีอวี้เชออีกต่อไป
นี่คือสิ่งที่ทำให้เฉินซีมีความสุขอย่างแท้จริง
“อันดับหนึ่ง… ข้าได้อันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดารา… ระระระ… หรือว่านี่คือความฝัน?”
เถี่ยอวิ๋นผิงตื่นเต้นจนถึงขั้นพูดติดอ่าง ทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อย นางมองอันดับการล่าราวกับไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าการตอบสนองของสาวน้อยจะมากมายถึงเพียงนี้
ความจริง หากลองมาคิดดูแล้ว เขามุ่งหน้ามาตลอดทางนับตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง สมรภูมิบรรพกาล แดนภวังค์ทมิฬ ภพเซียน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า… ในระหว่างนั้น เขาได้อันดับหนึ่งมาหลายครั้งจนคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะมีความตื่นเต้นเท่ากับเถี่ยอวิ๋นผิง
“ผู้อาวุโส ขอบคุณ… ขอบคุณสำหรับเรื่องในครั้งนี้!” ขณะเถี่ยอวิ๋นผิงเอ่ยคำ น้ำเสียงของนางก็ติดขัดขณะน้ำตาเอ่อล้นในดวงตา
เฉินซีตกตะลึง ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้นอย่าหย่อนยานเป็นอันขาด”
เถี่ยอวิ๋นผิงสูดหายใจ จากนั้นพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้การชี้แนะ”
ชี้แนะหรือ?
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น สาวน้อยคนนี้คล้ายกับให้เกียรติเขามากเกินไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเอาเสียเลย
…
ฟ่าวว!
ในท้องนภา อันดับการล่าวูบไหวก่อนจะหายไปอย่างเงียบงันประหนึ่งระลอกคลื่น
หลังจากนั้น พลังแปลกประหลาดก็เคลื่อนลงสู่พื้นที่การล่านี้ก่อนจะปกคลุมศิษย์ทุกคน
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
อึดใจต่อมา แผ่นเทวะที่ศิษย์ทั้งหลาย รวมถึงเฉินซีพกเอาไว้ต่างระเบิดก่อนจะกลายเป็นคลื่นพลังมิติ ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้แล้วพาออกจากพื้นที่การล่า
ในตอนนี้ การชุมนุมล่าดาราซึ่งกินเวลามาสองเดือนก็สิ้นสุดลง
ทุกคนทราบว่าคงใช้เวลาไม่นานก่อนทุกสิ่งเกี่ยวกับเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงจะแพร่งพรายออกไปประหนึ่งพายุหมุนทั่วเอกภพมสิหิม ทำให้เกิดความฮือฮาทั่วหล้าจนกลายเป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั้งหลาย
…
ตำหนักเมฆาวารี
ท่ามกลางความผันผวนของมิติและเวลา ศิษย์หนึ่งร้อยเจ็ดคนผู้ยืนหยัดจนถึงจุดสิ้นสุดของการชุมนุมล่าดารา รวมถึงผู้นำและทาสเทพซึ่งอยู่รอบข้างล้วนปรากฏเบื้องหน้าตำหนักเมฆาวารี
มันจบแล้ว!
เมื่อศิษย์ทั้งหลายเห็นเช่นนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกขณะเผยสีหน้าตื่นเต้นและคาดหวังออกมา หลังจากนี้คือเวลาที่จะได้รับรางวัล
ตอนนี้ชายชรานามอวิ๋นชิงยืนอยู่เบื้องหน้าตำหนักเมฆาวารี เขาชำเลืองมองศิษย์เหล่านี้แล้วเอ่ยคำอย่างสงบ “พวกเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี นี่คือบัญชาจากท่านจักรพรรดินี”
สิ้นคำ ประตูของตำหนักเมฆาวารีก็เปิดออก แล้วอวิ๋นชิงก็หันหลังเดินเข้าไป
พวกเฉินซีต่างมีสีหน้าสงบและไม่กล้าคิดเรื่องเหลวไหลแต่อย่างใด พวกเขาพากันเดินเข้าสู่ตำหนักเมฆาวารี
พื้นที่ภายในตำหนักเมฆาวารีมีขนาดใหญ่โตโอ่อ่า โดยมีคานแกะสลักและเสาหลากสีสันที่ปกคลุมไปด้วยหมอกศักดิ์สิทธิ์ พวกมันเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและความยิ่งใหญ่
ในตอนนี้ จักรพรรดินีอวี้เชออยู่ในชุดคลุมวิหคเพลิงสีแดงร้อนแรงกับมงกุฎหงส์ ร่างเพรียวบางงามสง่านั่งอยู่บนเก้าอี้หลักซึ่งอยู่ตรงกลาง ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ สายตาลึกล้ำประหนึ่งดวงดาวในเอกภพขณะแผ่พลังยิ่งใหญ่อันสูงส่งออกมา
กลุ่มผู้ยิ่งใหญ่จากเอกภพมสิหิมนั่งประจำตำแหน่งทั้งสองฝั่งของนาง แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมและสงบอันเป็นเอกลักษณ์ของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
บรรยากาศของห้องโถงใหญ่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นเยือกโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือแสดงความไม่เคารพออกมา
“คารวะท่านจักรพรรดินี!”
หลังจากพวกเฉินซีเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ พวกเขาต่างคำนับให้กับจักรพรรดินีอวี้เชออย่างพร้อมเพรียง
“ไม่ต้องมากพิธี”
จักรพรรดินีอวี้เชอโบกมือ “ถึงแม้จะมีอุบัติเหตุมากมายในการชุมนุมล่าดารา แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย พวกเจ้าสามารถยืนหยัดอยู่เหนือศิษย์นับพันได้ นับว่าเป็นวีรชนที่สมควรจะได้รับคำชื่นชม”
เสียงของนางทุ้มต่ำกระจ่างชัด ถึงแม้จะฟังดูสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังที่เกาะกุมหัวใจของผู้คน
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายต่างทอประกายแรงกล้า พวกเขาคาดเดาแทบจะได้ในทันทีว่าขวดหยกจะต้องเป็น ‘โอสถทวิวิญญาณ’ ที่ถูกขัดเกลาโดย ปรมาจารย์ชิง จักรพรรดิที่มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งโอสถของเอกภพจักรวรรดิ!
โอสถศักดิ์สิทธิ์หายากที่สามารถช่วยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาสร้างประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ!
สำหรับขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณอย่างเฉินซี เขาย่อมไม่ให้ความสนใจสิ่งนี้มากนัก ทว่าเมื่อเห็นจักรพรรดินีอวี้เชอหยิบโอสถทวิวิญญาณ นับร้อยออกมาในคราวเดียว ก็อดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้ เกรงว่าความใจกว้างเช่นนี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถทำได้
“เอาละ ศิษย์สามอันดับแรกและผู้นำของพวกเขาขอให้อยู่ที่นี่ก่อน ส่วนศิษย์ที่เหลือออกไปพักผ่อนได้ จักรพรรดินีจะจัดงานเลี้ยงในตอนเย็นเพื่อฉลองให้กับพวกเจ้า”
อวิ๋นชิงเอ่ยคำ เสียงของเขาดังก้องทั่วตำหนักเมฆาวารี
ในตอนนี้ ศิษย์ส่วนใหญ่คำนับด้วยความเคารพก่อนจะหันหลังจากไป เหลือเพียงเถี่ยอวิ๋นผิง เฉินซี ซูหว่านเอ๋อร์ กวนหงอวี่ ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองและผู้นำที่อยู่ข้างเขาที่ยังอยู่ในห้องโถง
ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองคือผู้ได้อันดับสามในการชุมนุมล่าดารา ชื่อของเขาคือเฟิงเจี้ยนเจี๋ย จากนิกายกระบี่วิถีราชาซึ่งเป็นสุดยอดนิกายในเอกภพมสิหิม เขามีใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากแดง ดูผิวเผินก็ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นคือ ผู้นำซึ่งอยู่ข้างกายเฟิงเจี้ยนเจี๋ย ผู้ชายคนนี้สวมชุดสีเทาธรรมดา มีผ้าคลุมไหล่ยาว สีหน้าเด็ดเดี่ยว หลังและเอวยืดตรง ท่าทางสงบนิ่งราวกับเหล็ก ไม่ไหวติงประหนึ่งขุนเขา ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม
ชื่อของเขาคือเซี่ยโหวจง เป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่วิถีราชา ถึงแม้จะไม่ได้โด่งดังเท่ากวนหงอวี่ เสวียนท่าจื่อและพวกอี้สวิน แต่เพราะความไม่โดดเด่นนี้ ทำให้เขาดูค่อนข้างลึกลับและไม่อาจหยั่งถึง
ฟ่าว!
ทันใดนั้น สายตาทุกคู่ในห้องโถงล้วนจับจ้องไปที่ศิษย์หกคนนี้ หากมองให้ละเอียดก็จะเห็นว่าสายตากว่าครึ่งกำลังจ้องเขม็งไปที่เฉินซี
ส่วนสายตาที่เหลือต่างจับจ้องกวนหงอวี่และเซี่ยโหวจง ส่วนเถี่ยอวิ๋นผิง ซูหว่านเอ๋อร์ และเฟิงเจี้ยนเจี๋ยผู้อยู่สามอันดับแรก พวกเขากลับไม่เป็นที่สนใจเท่าไหร่นัก
นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกคนที่นี่ทราบดีว่าผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ไม่ใช่ศิษย์ที่เข้าร่วม แต่เป็นผู้นำของพวกเขาต่างหาก!
ฝีมือของเฉินซีในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้เปรียบได้กับม้ามืด มันช่างเจิดจ้าเกินกว่าจะเพิกเฉยได้
ทว่าสายตาบางคู่ที่มองเฉินซีกลับไม่เป็นมิตร ยกตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสอี้เหวินแห่งตระกูลต้าอี้กับผู้อาวุโสเมี่ยวหยาแห่งอารามเต๋าสัจวิญญาณ พวกเขามองเฉินซีด้วยสีหน้าบูดบึ้งและไม่พอใจ
แม้จะเผชิญเรื่องนี้ เฉินซีกลับมีท่าทีสงบยิ่ง ชายหนุ่มแสดงท่าทีเฉยชาขณะเมินเฉยสายตาเหล่านั้น
เถี่ยอวิ๋นผิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางเติบโตท่ามกลางความขมขื่นตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะเคยประสบกับเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดจนมือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ร่างกายแข็งทื่อราวกับหิน
“เหอะ!”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสอี้เหวินแห่งตระกูลต้าอี้ก็ชำเลืองมองเถี่ยอวิ๋นผิง แล้วเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “สหายเต๋าดูนี่สิ อันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้กลับประหม่าจนหายใจติดขัด หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คงกลายเป็นเรื่องน่าขบขันเป็นแน่”
น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความเหน็บแนมอยู่เล็กน้อย
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศเคร่งขรึมในห้องโถงพลันหายไป
แต่เมื่อเสียงเหล่านี้เข้าสู่หูของเถี่ยอวิ๋นผิง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป หญิงสาวแตกตื่นเล็กน้อย ตนไม่คาดคิดว่าในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ผู้ยิ่งใหญ่บางส่วนจะล้อเลียนนางเช่นนี้ ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ ในใจวิตกยิ่งกว่าเก่า
ถึงแม้นางจะสามารถเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ทรงพลังยิ่งกว่าตนได้โดยไม่หวาดกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนแก่กล้าที่นั่งอยู่ที่นี่ นางก็ยังอดรู้สึกยำเกรงจนร่างโค้งต่ำโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้นางอึดอัดและประหม่าอย่างยิ่ง
เฉินซีคิ้วขมวดขณะชำเลืองมองอี้เหวินผู้อยู่ไกลออกไป จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง “นั่นสิ บนโลกใบนี้ไม่เคยขาดแคลนตาแก่ที่ไร้ความเคารพเลย ถึงก่อนหน้านี้ข้าจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้คงต้องเชื่อเสียหน่อยแล้วล่ะ”
ทันทีที่สิ้นคำ ทั่วสถานที่ก็ตกอยู่ในความเงียบ
…………….