บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1633 แสดงความเมตตา
บทที่ 1633 แสดงความเมตตา
…………….
บทที่ 1633 แสดงความเมตตา
“แม่หนูนี่วาสนายิ่งใหญ่ โชคดีจนน่าตกใจจริง ๆ!” ผู้ยิ่งใหญ่บางคนทอดถอนใจในอก
นางเป็นเพียงสาวน้อยผู้มีความสามารถโดยกำเนิดสุดธรรมดา แต่กลับสามารถได้รับความช่วยเหลือของเฉินซี และสุดท้ายก็ได้รับเกียรติเป็นอันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดารา ขณะนี้นางกระทั่งจะได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดินีอวี้เชอเป็นการส่วนตัว พวกเขาจะไม่ทอดถอนใจได้อย่างไร?
นี่คืออำนาจแห่งชะตา มักสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลแก่ผู้คนในโลกหล้าอย่างไม่อาจรู้ตัว เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
ทว่าปฏิกิริยาของเถี่ยอวิ๋นผิงเกินความคาดหมายของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก นางทำเหมือนเฟิงเจี้ยนเจี๋ยและซูหว่านเอ๋อร์ ตั้งใจมอบรางวัลอันดับแรกนี้แก่เฉินซี
ทว่าแตกต่างจากอีกสองคน นางไม่ยอมรับการปฏิเสธของเฉินซี และยังบอกว่าหากเฉินซีไม่รับ นางก็ไม่ต้องการรางวัลนี้
เหตุนี้ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างตะลึงจังงัง ผู้คนมากมายกระทั่งเริ่มชื่นชมเถี่ยอวิ๋นผิง สาวน้อยผู้นี้ไม่ได้นึกโลภต่อชื่อเสียง รู้จักตอบแทนน้ำใจผู้อื่น หาได้ยากโดยแท้
เฉินซีเผชิญเหตุเช่นนี้ก็อดรู้สึกจนใจน้อย ๆ ไม่ได้ นับแต่บ่มเพาะมาจนยามนี้ เฉินซีมีวิธีบ่มเพาะเป็นของตนเองแล้ว เขาหรือจะต้องการให้ผู้อื่นมาชี้แนะ?
ไม่ต้องพูดถึงว่าวิถีการบ่มเพาะในเขาเทพพยากรณ์นั้นแตกต่างจากโลกภายนอก เต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นแก่นการบ่มเพาะของพวกเขา ดังนั้น น้อยคนนักในโลกหล้าจึงสามารถชี้แนะเขาได้จริง ๆ
แต่ไม่อาจพูดเช่นนี้ออกมาได้ เพราะหากพูดออกไป ทุกคนจะคิดไปว่าเขากำแหงอวดดีเป็นแน่ และอาจกระทั่งทำให้จักรพรรดินีอวี้เชอไม่พอใจ
ข้าควรทำเช่นไร? เฉินซีอดรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ขณะที่มองสบสายตาดื้อรั้นมั่นคงของหญิงสาว
“โอหังนัก! พวกเจ้าทั้งสองคิดว่ารางวัลของจักรพรรดินีคืออะไร?” ชายชราอวิ๋นชิงขมวดคิ้วเอ่ยปากอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ผู้ยิ่งใหญ่บางคนเห็นเช่นนี้ก็นึกยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น
โดยเฉพาะอี้เหวินแห่งตระกูลอี้และเมี่ยวหยาแห่งอารามเต๋าสัจวิญญาณ พวกเขาอยากให้อวิ๋นชิงริบรางวัลนี้จากเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิง ให้ทั้งสองพลาดมันไปเสียเหลือเกิน
ทว่าเหตุไม่คาดฝันพลันบังเกิด จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยปากขึ้นเฉียบพลัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ได้รางวัลนี้ด้วยกันเลย”
ทุกคนผงะ อย่างนี้ก็ได้หรือ?
พริบตานั้น ดวงตาทุกคู่เจือสีแดงแผดผลาญเล็กน้อย เดิมที มีเพียงเถี่ยอวิ๋นผิงที่ควรได้รางวัลนี้ ทว่าปัจจุบัน เฉินสวินก็จะได้มันอีกคน บ้าบอสิ้นดี!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อี้เหวินและเมี่ยวหยาต่างหดหู่ใจเสียจนแทบกระอักเลือด พวกเขาไม่คาดเลยว่าสถานการณ์จะดำเนินมาถึงจุดนี้ จักรพรรดินี… ไม่ทรงลำเอียงไปหน่อยหรือ!?
ขณะเดียวกัน เฉินซีก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็กระตุกมือเถี่ยอวิ๋นผิง ค้อมหัวก้มตัวให้จักรพรรดินีอวี้เชออย่างพร้อมเพรียง “ขอบคุณจักรพรรดินีที่เมตตา!”
“เอาละ พวกเจ้าทั้งหกไปกันได้แล้ว อย่าลืมเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ล่ะ” จักรพรรดินีอวี้เชอโบกมือ
เฉินซี เถี่ยอวิ๋นผิง กวนหงอวี่ ซูหว่านเอ๋อร์ เฟิงเจี้ยนเจี๋ย และเซี่ยโหวจงต่างประสานกำปั้นคารวะทันที จากนั้นจึงถอนตัวออกไปจากตำหนักเมฆาวารี
…
หมู่บ้านเมฆาวารีอยู่นอกตำหนักเมฆาวารี และเพราะเช่นนั้น ที่นี่จึงเป็นสถานที่รวมตัวก่อนเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราในคราก่อน
ทว่าในยามนี้ จำนวนผู้คนที่นี่ลดลงไปอย่างมหาศาล
ศิษย์ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ซึ่งถูกตัดสิทธิ์จากการชุมนุมล่าดาราจากไปอย่างผิดหวังแล้ว และไม่อยากอยู่ที่นี่ให้หดหู่ใจอีกต่อไป
แน่นอน ยังมีผู้เข้าร่วมส่วนน้อยที่ยังคงอยู่ เหมือนเช่นกลุ่มของอี้สวินและอี้เทียนจากตระกูลอี้ คณะของเสวียนท่าจื่อและเสี่ยวหลัวหลั่วจากอารามเต๋าสัจวิญญาณ คณะของเสี่ยวเทียนหลงและลู่เยี่ยนจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต…
ผู้เข้าร่วมที่ยังอยู่ที่นี่มีราวสองสามร้อย นอกจากพวกเขายังมีผู้เข้าร่วมชุมนุมอีกร้อยกว่าคนที่อยู่จนการชุมนุมล่าดาราปิดฉากอย่างคณะของเฉินซีอยู่ด้วย
ขณะนี้ พวกเขาล้วนรวมตัวกันในหมู่บ้านเมฆาวารี พูดคุยเรื่อยเปื่อย ลิ้มรสชาหรือทำสมาธิบ่มเพาะ ไร้ผู้ใดจากไปเพิ่มเติม
เพราะอีกไม่นาน งานเลี้ยงใหญ่ที่จักรพรรดินีอวี้เชอเป็นผู้จัดจะเริ่มขึ้นคืนนี้ จึงไร้ผู้ใดคิดเดินทางจาก
“ดูนั่น! พวกศิษย์พี่กวนกลับมาแล้ว”
“ยินดีด้วยศิษย์พี่กวน ยินดีด้วยศิษย์น้องหญิงหว่านเอ๋อร์”
เมื่อกวนหงอวี่และซูหว่านเอ๋อร์ออกจากตำหนัก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ารายล้อม พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นไม่จบสิ้น
คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีเพียงศิษย์จากนิกายศักดิ์สิทธิ์หยกนภา ยังมีศิษย์จากกองกำลังอื่นอยู่ด้วย มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอิทธิพลของกวนหงอวี่ในหมู่ชนรุ่นเยาว์ในเอกภพมสิหิมยิ่งใหญ่เพียงไร
กระทั่งเฟิงเจี้ยนเจี๋ยและเซี่ยโหวจงจากนิกายกระบี่วิถีราชายังถูกผู้คนรุมล้อม เป็นภาพอันคึกคักเจี๊ยวจ๊าว
มีเพียงการปรากฏตัวของเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงที่ได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา ให้ความรู้สึกราวไร้ผู้ใดสนใจ ทุกคนมองด้วยสายตาอันค่อนข้างซับซ้อน เต็มไปด้วยความกลัว ปฏิเสธ รังเกียจ มาดร้าย และอื่น ๆ ปนเป
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว หลังได้รับเกียรติเป็นอันดับหนึ่ง พวกเขาควรได้รับการยกย่องชื่นชมขนานใหญ่ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ากล่าวได้เพียงว่าน่าขายหน้าเล็กน้อย
สาเหตุของพวกมันทั้งหมดนั้นเป็นเพราะทั้งเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงไม่มีชื่อเสียงแม้แต่น้อยก่อนเริ่มการชุมนุมล่าดารา จึงไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขาเลย
สิ่งสำคัญสูงสุดคือ ทุกคนต่างตระหนักชัดเจนว่าเฉินซีล่วงเกินศิษย์สองกองกำลังสูงสุด ทั้งตระกูลอี้และอารามเต๋าสัจวิญญาณในการชุมนุมล่าดารา
ด้วยเหตุนี้ แล้วผู้ใดจะกล้าเข้าไปตีสนิทพวกเขาเล่า?
พวกเขาไม่อยากยั่วโมโหศิษย์สองกองกำลังสูงสุดทางอ้อมหรอกนะ
เฉินซีหาสนใจเรื่องดังกล่าวไม่ เขานำเถี่ยอวิ๋นผิงผ่านฝูงชน ไปหามุมเงียบ ๆ แล้วนั่งลงบนพื้น
เถี่ยอวิ๋นผิงเองก็ไม่สนใจเช่นกัน นางนั่งกอดเข่าข้างกายเฉินซี กล่าวขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าจะไปจากเอกภพมสิหิมหลังการชุมนุมล่าดาราปิดฉาก ถึงยามนั้น… ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เฉินซีนิ่งไป แล้วจึงไหวไหล่ด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ประเด็นคือ กระทั่งข้ายังไม่รู้เลยว่าจะไปที่ใด”
เถี่ยอวิ๋นผิงเงยใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นพูดอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโส ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ต่อให้เป็นรังมังกรหรือสถานที่แห้งแล้งห่างไกล ขอเพียงข้าไปบ่มเพาะข้างกายท่านได้ มันหามีความหมายไม่สำหรับข้าเจ้าค่ะ” คำพูดของนางจริงใจ เต็มไปด้วยความคาดหวังลึกล้ำ
เฉินซีพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเผชิญเคราะห์เฉย ๆ แน่นอน เพราะถึงอย่างไร ที่อารามเต๋าสัจวิญญาณและตระกูลอี้หมายหัวเจ้าก็เป็นเพราะข้า”
เถี่ยอวิ๋นผิงกล่าวอย่างร้อนใจ “ผู้อาวุโส ข้าต่างหากที่ลากท่านเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ หากท่านคิดว่าข้าเป็นภาระ เช่นนั้นข้า…”
“พอแล้ว” เฉินซีขัดจังหวะนางอย่างจนใจ “ไว้ค่อยตัดสินใจตามสถานการณ์ยามข้าวางแผนการเดินทางได้แล้วกัน ดีหรือไม่?”
เถี่ยอวิ๋นผิงนิ่งไป ในใจนางผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
เฉินซีรู้ว่านางห่อเหี่ยวใจ แต่ก็ไม่ได้ปลอบนาง เขามีศัตรูมากเกินไป ภาระบนบ่ามหาศาลนัก ดังนั้น เมื่อเขายังไม่อาจประกันความปลอดภัยของตนเองได้แน่นอน มีหรือจะปล่อยให้เถี่ยอวิ๋นผิง แม่หนูนี่ติดตามไปด้วย?
ทันใดนั้น ผู้คนตรงหน้าก็เคลื่อนไหวกระสับกระส่าย แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งหน้าตรงมาหาเฉินซี
ปรากฏว่าพวกเขาคือผู้อาวุโสเมี่ยวหยาแห่งอารามเต๋าสัจวิญญาณ นำเสวียนท่าจื่อ เสี่ยวหลัวหลั่ว เสี่ยวเทียนหลง และลู่เยี่ยนติดตามข้างกายมาด้วย
ขบวนอันยิ่งใหญ่มุ่งหน้ามาหาเฉินซี ดึงความสนใจมากมายได้ทันที
“หรืออารามเต๋าสัจวิญญาณตั้งใจจะคิดบัญชีกับเฉินสวินเดี๋ยวนี้เลย?”
“ใครจะรู้? เพราะถึงอย่างไร งานเลี้ยงก็จะเริ่มอยู่แล้ว การหาเรื่องกับเฉินสวินยามนี้จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง”
ผู้คนหารือกันอย่างออกรส พวกเขาตระหนักชัดเจนว่าการถูกตัดสิทธิ์ของศิษย์ทั้งหมดจากอารามเต๋าสัจวิญญาณเป็นฝีมือเฉินซี ดังนั้นหากเปลี่ยนเป็นพวกเขา คงไม่อาจกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงได้เลย
เฉินซีเลิกคิ้ว แม้จะไม่เต็มใจ ก็ยังลุกขึ้นด้วยไม่ชอบให้ผู้อื่นมองลงมายังตนยามพูดคุยอยู่ดี
“เจ้าหนู ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ที่ข้ามาหาเจ้าหนนี้ก็แค่เพื่อขอให้เจ้าแสดงความเมตตา ล้างการเดิมพันไปเสียเท่านั้น” เมี่ยวหยามาหยุดลงตรงหน้าเฉินซี ไพล่มือไว้เบื้องหลังขณะกล่าวอย่างเฉยชา ดูจะถือตนเป็นผู้ใหญ่
“ถูกต้อง ขอเพียงเจ้าล้างการเดิมพันระหว่างเจ้ากับน้องชายข้า เราก็ล้างความเป็นอริระหว่างกันได้” เสี่ยวหลัวหลั่วรีบพูดเสริมขึ้น
เดิมพัน?
คนอื่น ๆ ทั่วทิศต่างตะลึง และยิ่งทวีความใคร่รู้ เฉินสวินผู้นี้ไปเดิมพันอะไรไว้กับน้องชายของเสี่ยวหลัวหลั่วกัน นางจึงขอให้ผู้อาวุโสเมี่ยวหยามาช่วยเกลี้ยกล่อมเฉินสวินอย่างไม่ลังเล?
เฉินซีเหลือบมองเสี่ยวเทียนหลงซึ่งยืนอยู่ข้างอีกฝ่ายแล้วเข้าใจถ่องแท้ขึ้นมาทันที “ในเมื่อเดินพันกันแล้ว จะมีเหตุผลใดมาล้างมันไปเล่า? ไม่ต้องพูดถึงว่า ต่อให้ข้าทำไปจริง ๆ แล้วพวกเจ้าอารามเต๋าสัจวิญญาณจะไม่มาสร้างปัญหากับข้าอีกจริงหรือ?”
เมี่ยวหยาขมวดคิ้ว ไม่พอใจเล็กน้อย เดิมทีเขาไม่อยากมา แต่ไม่อาจขัดขืนการรบเร้าไม่หยุดหย่อนของ เสวียนท่าจื่อและเสี่ยวหลัวหลั่วได้ จึงมีแต่ต้องออกหน้ามาเช่นนี้ ไม่คาดเลยว่าเจ้าคนตรงหน้าจะยังไม่ยอมลง
สีหน้าจึงย่ำแย่ลงหลายส่วน “เช่นนี้ เจ้าก็คิดจะดื้อดึงถึงที่สุดหรือ?” เสียงของเขาเจือน้ำเสียงข่มขู่แล้ว
เฉินซีเริ่มคลี่ยิ้ม กล่าวขณะมองหน้าเมี่ยวหยาตรง ๆ “ที่ว่าดื้อดึงหมายความเช่นไร? นับแต่ต้นจนบัดนี้ ก็มีแต่พวกเจ้าอารามเต๋าสัจวิญญาณที่ทำตัวขี้แพ้ชวนตี มันคือการแข่งขันอย่างยุติธรรม แต่ศิษย์อารามเต๋าสัจวิญญาณถูกตัดสิทธิ์แล้วคิดมาโทษข้าหรือ? หากเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นที่พวกเจ้าอารามเต๋าสัจวิญญาณกำจัดไปก็มาขอคำอธิบายจากอารามเต๋าสัจวิญญาณได้เหมือนกันหรือไร? หรือเบื้องหลังมันยังมีหลักการใด ๆ อีก?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าว มันก็ถูกใจผู้คนมากมายรอบข้างทันที พวกเขาล้วนแล้วถูกตัดสิทธิ์ไปเนิ่นนาน ย่อมรู้สึกไม่พอใจแทนเฉินซียามเป็นเช่นนี้
สีหน้าของเมี่ยวหยาบูดบึ้งทันใด ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนูตรงหน้าจะไม่พูดถึงการเดิมพัน แต่นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด น่ารังเกียจถึงที่สุดจริงแท้! โดยเฉพาะยามนี้ที่พวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ งานเลี้ยงก็จะเริ่มอยู่แล้ว ไม่อาจลงมือกับเฉินซีได้ รู้สึกแย่ยิ่งกว่ากลืนซากแมลงวันอีก!
“หึ! ดีมาก! เจ้ากล้าหาญจริง ๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะคงความกล้านี้ไว้ยามเราหวนพบกันอีก!” เมี่ยวหยาหรี่ตาลง จับจ้องเฉินซีอยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดก็ทิ้งวาจานี้ไว้ก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป
เหล่าผู้ชมรอบข้างอดมองหน้ากันไม่ได้ กระทั่งเสวียนท่าจื่อและเสี่ยวหลัวหลั่วยังตะลึงค้าง ไม่คาดว่าไม่เพียงเรื่องนี้ไม่อาจสำเร็จ ยังไปยั่วโมโหอาจารย์อาเมี่ยวหยาของพวกตนอีกด้วย
ขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ต่างตะลึงในใจกันยิ่งนัก เฉินสวินผู้นี้แข็งกล้าไม่ยอมลงจริง ๆ! เขากระทั่งไม่ยอมไว้หน้าเมี่ยวหยา
ตุบ!
ทันใดนั้น เสี่ยวเทียนหลงก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวให้เฉินซีไม่หยุดขณะอ้อนวอนอย่างจริงจัง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ สหายเต๋าเฉินสวินโปรดเมตตาอภัยให้ข้าครั้งนี้ด้วย…”
ทุกคนรอบทิศตะลึงจังงังอีกครั้ง