บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1634 กล้ำกลืนความอัปยศเพื่อความอยู่รอด
บทที่ 1634 กล้ำกลืนความอัปยศเพื่อความอยู่รอด
…………….
บทที่ 1634 กล้ำกลืนความอัปยศเพื่อความอยู่รอด
ด้วยตัวตนของเสี่ยวเทียนหลง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเพิกเฉยต่อฐานะและศักดิ์ศรีของตนในที่สาธารณะ ยอมแม้แต่กระทั่งคุกเข่าลงบนพื้นอย่างคนขี้ขลาด เพื่อกราบอ้อนวอนต่อเฉินซี
ทันใดนั้นทุกคนล้วนตกตะลึง
แม้แต่เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สาปแช่งในใจ ไอ้สารเลวคนนี้ช่างไร้ยางอายจริง ๆ! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนคงเข้าใจผิดว่าข้ายโสโอหังและบังคับให้คนผู้นี้คุกเข่าเพื่อขออภัย
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าชื่อเสียงของเสี่ยวเทียนหลงจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับกวนหงอวี่ อี้สวิน และเสวียนท่าจื่อได้ แต่เขาก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต แม้ว่าการทำเช่นนี้จะต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง แต่คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้คงคิดว่าเฉินซีกระทำเกินไป
เพียะ!
เสี่ยวหลัวหลั่วตบหัวเสี่ยวเทียนหลงอย่างแรง ทำให้เขาโซเซและกลิ้งไปตามพื้น
“เจ้าสวะไร้ค่า! เจ้าทำให้ตระกูลเสี่ยวของเราอับอายอย่างยิ่ง!” เสี่ยวหลัวหลั่วเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวสุดขีด จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อกระทืบเท้าตึงตังจากไป
เสวียนท่าจื่อไม่อาจทนดูได้อีก และทำเสียงฮึดฮัด ก่อนที่จะจากไปเช่นกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเทียนหลงไม่อาจใส่ใจต่อเรื่องทั้งหมดนี้ เขาคุกเข่าอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มขออภัยอย่างขมขื่นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ดูเหมือนเขาจะถ่อมตัวถึงขีดสุด นอกจากจะทำให้ผู้คนประหลาดใจและเหยียดหยามแล้ว ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าการเดิมพันเช่นใดที่เกิดขึ้นระหว่างเฉินซีและเสี่ยวเทียนหลง เพราะมันถึงขั้นทำให้อีกฝั่งไม่คำนึงต่อศักดิ์ศรีของตนเลย
ทันใดนั้น สายตาของผู้คนที่มีต่อเฉินซีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และมันปกคลุมไปด้วยความกลัว และความโกรธ
คนผู้นี้ไม่เพียงแต่บดขยี้ศิษย์ของตระกูลอี้และอารามเต๋าสัจวิญญาณในการชุมนุมล่าดารา แต่ยังบังคับให้ศิษย์จากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตคุกเข่าลงและขออภัยในตอนนี้ ช่างโอหังเกินไปแล้ว!
เฉินซีขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มทราบดีว่าหลายคนในบริเวณโดยรอบมีเจตนาร้ายต่อเขาแล้ว โดยเฉพาะศิษย์จากตระกูลอี้และอารามเต๋าสัจวิญญาณที่ไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะอธิบาย ก็คงจะไม่มีผู้ใดเชื่อ
“ผู้อาวุโส ในเมื่อเขายอมรับความผิดแล้ว ครั้งนี้เรายกโทษให้เขาเถอะ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ของข้า” เถี่ยอวิ๋นผิงกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างสงบ
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นขมวดคิ้ว “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศิษย์พี่ของเจ้าคนนี้ เกือบทำให้เจ้าไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราได้?”
“ข้าย่อมไม่ลืม แต่นี่คือความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างข้ากับเขา ผู้อาวุโสท่านได้ช่วยเหลือข้ามามากเกินพอแล้ว ดังนั้นให้ข้าจัดการกับเรื่องนี้เถิด” เถี่ยอวิ๋นผิงกล่าวอย่างชั่วร้าย
ทันใดนั้น เฉินซีก็เข้าใจว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ ตั้งใจที่จะช่วยเขาแบ่งเบาแรงกดดันที่มาจากบริเวณโดยรอบ
“ศิษย์น้องเถี่ย ศิษย์พี่ผิดไปแล้วจริง ๆ ข้าไม่ควรทำให้เจ้าขุ่นเคืองในวันนั้น ข้าสาบานว่าจะไม่ทำผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้อีกอย่างแน่นอน” เสี่ยวเทียนหลงรีบคำนับและอ้อนวอนเถี่ยอวิ๋นผิงไม่หยุดเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสมเพชและอดสูเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรอบข้างถึงกับไร้คำพูด ด้วยการกระทำเช่นนี้ คนผู้นี้ถือได้ว่านำหายนะและความอัปยศมาสู่ตนเอง ในไม่ช้า ทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะคงได้ยินข่าวเรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้เอง แม้แต่นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตที่หนุนหลังเสี่ยวเทียนหลง ก็ยังรู้สึกอับอายอย่างมากต่อเหตุการณ์นี้
ทว่าเสี่ยวเทียนหลงไม่สนใจ ความคิดของเขาเตลิดไปหมด ซ้ำยังหวาดกลัวอย่างยิ่ง เพราะเขาตระหนักดีว่าเมื่อใดที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเดิมพัน ไม่เพียงแต่เขาจะต้องคุกเข่าและขออภัยเท่านั้น แต่ยังต้องทำลายรากฐานในเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของตนด้วย!
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะกลายเป็นคนพิการ ในเวลานั้นมันคงเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย แล้วเขาจะยอมรับได้อย่างไร?
ตอนนี้แม้ว่าการคุกเข่าและขอความเมตตาจะดูน่าอับอาย แต่ก็ยังดีกว่าต้องทำลายรากฐานในเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของตนเองมากนัก!
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเสี่ยวเทียนหลงจะดูไร้ค่าและต่ำต้อยถึงขีดสุด แต่เขาได้คิดมาอยากถี่ถ้วนแล้ว
“ไสหัวไป!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีก็หยุดลังเล และกล่าวออกมาเบา ๆ
“ท่าน… ท่านอภัยให้ข้าเหรอ?” เสี่ยวเทียนหลงตกตะลึง จากนั้นรู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่ง ทันใดนั้นก็รีบคำนับซ้ำ ๆ อีกกว่าสิบครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและจากไปอย่างหดหู่
เหล่าผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ ทำได้เพียงส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เสี่ยวเทียนหลงคนนี้ขี้ขลาดจริง ๆ ต่อจากนี้เขาจะกลายเป็นตัวตลกของเอกภพมสิหิมแน่นอน”
ในทางกลับกัน พวกเขารู้สึกเกรงกลัวเฉินซียิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าตัวตนของเฉินซีจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงแล้ว
ประการแรก เขาทุบตีเหล่าศิษย์ของกองกำลังชั้นยอดอย่างอี้สวินและเสวียนท่าจื่อ จากนั้นก็บังคับให้เสี่ยวเทียนหลงคุกเข่าและร้องขอความเมตตา ผู้คนต่างรู้สึกชายผู้นี้ดุร้ายอย่างสุดขั้ว
…
“ในเมื่อคนผู้นี้จองหองมากนัก เมื่อเหตุการณ์นี้สิ้นสุดลง มันก็จะไม่ใช่แค่เราเท่านั้น แม้แต่อารามเต๋าสัจวิญญาณและนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไป” อี้เทียนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จากท่ามกลางฝูงชนในระยะไกล และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเย็น
“ถูกของเจ้า ปัจจุบัน เนื่องจากการมีอยู่ของฝ่าบาท ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าลงมือที่นี่ แต่เมื่อเรื่องทั้งหมดนี้จบลง ก็ถึงเวลาที่คิดบัญชีกับเจ้าเด็กนี้แล้ว” อี้สวินลูบคางพลางกล่าว ดวงตาทอประกายเยียบเย็น “ตระกูลอี้ของเราไม่เคยได้รับความสูญเสียเช่นนี้ และความเป็นปฏิปักษ์นี้… ต้องได้รับการชำระ!”
อี้เทียนดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงอ้าปากเพื่อตั้งใจจะกล่าว แต่ท้ายที่สุดก็พยายามหักห้ามใจตัวเองอย่างแข็งขัน
ทว่านี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคืออี้เทียนยังจำได้ว่า เฉินซีครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติถึงสองชิ้น นั่นคือเหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์!
แล้วไปเถิด อย่างน้อยข้าก็รู้เรื่องนี้ ถ้าหากพี่รองรู้เข้า เกรงว่าข้าคงต้องกลับไปมือเปล่าหลังจากที่เจ้าเด็กนั่นถูกฆ่า… ในที่สุด ความโลภของอี้เทียนเอาชนะเหตุผลทุกอย่าง และเขาตั้งใจที่จะเก็บงำความลับนี้จนถึงที่สุด
…
ในเวลาไม่นาน ม่านรัตติกาลก็เคลื่อนคล้อยลงมา หมู่บ้านเมฆาวารีสว่างไสวด้วยแสงไฟจากตะเกียง และพวกมันดูเหมือนมังกรไฟคดเคี้ยวที่ส่องสว่างทั่วทั้งฟ้าดิน
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในห้องโถงภายในตำหนักเมฆาวารี มันเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ สุราชั้นเลิศและผลไม้ศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดินีอวี้เชอนั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงกลาง และเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของเอกภพมสิหิมก็นั่งล้อมรอบนาง
หลังจากนั้นคือผู้เข้าร่วมที่ได้รับการจัดอันดับในระหว่างการชุมนุมล่าดารา เช่น เฉินซี และคนอื่น ๆ และผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่ยังคงอยู่ต่อหลังจากถูกกำจัด
ห้องโถงเต็มไปด้วยความครึกครื้นและแขกเหรื่อ เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว ราวกับการรวมตัวของเหล่าเทพครั้งใหญ่
ในแง่หนึ่ง จักรพรรดินีอวี้เชอได้จัดงานเลี้ยงนี้เพื่อแสดงความยินดีกับผู้เข้าร่วมที่ทำผลงานยอดเยี่ยมในการชุมนุมล่าดารา และในทางกลับกัน ก็เป็นเวทีให้ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ในเอกภพมสิหิมได้มารวมตัวและทำความรู้จักกัน
เมื่อใครก็ตามได้ยืนอยู่บนระดับความสูงเช่นเดียวกับจักรพรรดินี ก็จะสามารถมองเห็นได้ไกลยิ่งขึ้น นางรู้ชัดเจนว่า เอกภพมสิหิมจะเป็นของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ในอนาคต ดังนั้นในฐานะจ้าวแห่งเอกภพ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือใช้อิทธิพลของตน เพื่อจัดแจงสถานที่ให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้แสดงความสามารถของพวกเขาและแลกเปลี่ยนวิชายุทธ์
สำหรับความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างบางคนนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย เพราะเมื่อใดมีการแข่งขัน เมื่อนั้นย่อมมีความขัดแย้ง และตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงขณะนี้ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะได้กำจัดผู้ที่อ่อนแอออกไปเสมอ และไม่มีการประนีประนอมใด ๆ
“หลังจากงานเลี้ยงจบลง พาสาวน้อยคนนั้นและเฉินสวินมาพบข้า” จักรพรรดินีอวี้เชอกวาดมองห้องโถง จากนั้นก็สั่งอวิ๋นชิงด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอรับฝ่าบาท” อวิ๋นชิงพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วและลังเลก่อนจะกล่าว “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าตัวตนของเฉินสวิน….”
“ไม่ต้องกล่าวกระไรอีกแล้ว ข้าทราบดี” จักรพรรดินีอวี้เชอขัดจังหวะ ดวงตาที่สุกใสของนางเปล่งประกายแวววาว
อวิ๋นชิงผงะ จากนั้นก็ไม่กล่าวอะไรอีก
“สหายเต๋าเฉินสวิน ข้าขอดื่มอวยพรให้ท่าน” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหูเฉินซี เมื่อหันไปมอง ก็เห็นกวนหงอวี่ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะใกล้ ๆ กำลังยกจอกสุราขึ้นพร้อมยิ้มมาทางเขา
“สหายเต๋ากวน ท่านกรุณาเกินไปแล้ว” เฉินซียกจอกสุราขึ้น แล้วจึงดื่มหมดจอกทันที
ในระหว่างงานเลี้ยง ทุกคนที่เป็นผู้เข้าร่วมอันดับต้น ๆ ในการชุมนุมล่าดารา ล้วนนั่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน และโต๊ะของพวกเขาก็อยู่ใกล้กัน ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้เข้าร่วมทั่วไปเหล่านั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะนั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเฉินซียอมรับคำอวยพรได้อย่างง่ายดาย กวนหงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถามด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น “ข้าขอถามเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ ความสามารถ ณ ปัจจุบันของเจ้าได้ขึ้นสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณแล้วหรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป เถี่ยอวิ๋นผิง ซูหว่านเอ๋อร์ และเฟิงเจี้ยนเจี๋ยซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะหยุดทุกสิ่งที่ทำ ก่อนจะเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ
แม้แต่เซี่ยโหวจงที่มีนิสัยมั่นคงดั่งศิลา รวมทั้งเสวียนท่าจื่อ อี้สวิน และคนอื่น ๆ ที่เป็นศัตรูต่อเฉินซีก็หยุดทุกการกระทำเช่นกัน จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็หรี่ลง พร้อมกับให้ความสนใจต่อคำตอบของเฉินซี
เฉินซีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบรรยากาศโดยรอบอย่างชัดเจน ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายศีรษะในตอนท้าย
เขาไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ ไม่ใช่ว่าต้องการปกปิด แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณในวันนั้น เขาทำให้ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินเกิดขึ้น จากนั้นชื่อของเขาก็ปรากฏบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเช่นกัน แต่มันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะถูกขัดขวางโดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ซึ่งแม้แต่ชื่อก็ถูกลบออกจากเทียบอันดับ
เป็นเพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้เอง ที่ทำให้เฉินซีไม่สามารถกล่าวอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีส่ายศีรษะ เถี่ยอวิ๋นผิง ซูหว่านเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเล็กน้อย ในขณะที่ เสวียนท่าจื่อ อี้สวิน และคนอื่น ๆ ต่างลอบถอนใจด้วยความโล่งอก
บางทีในใจพวกเขาอาจไม่เต็มใจที่จะเห็นเฉินซีโดดเด่นและน่าเกรงขามเกินไป
“น่าเสียดายจริง ๆ เอกภพมสิหิมของเรามีเทวารู้แจ้งวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีสักคนเดียวที่ปรากฏบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ จึงนับได้ว่าน่าเสียดายนัก” กวนหงอวี่ดื่มสุราในจอกและทอดถอนใจอย่างไม่รู้จบ
“ศิษย์พี่ ท่านกล่าวในวันนั้นว่า ท่านได้บรรลุความสมบูรณ์ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว และข้าเชื่อว่าอีกไม่นานความแข็งแกร่งของท่านจะพัฒนาอีกครั้งอย่างแน่นอน ในเวลานั้น บางทีมันอาจเพียงพอสำหรับท่านที่จะติดอันดับในเทียบอันรู้แจ้งวิญญาณ” ซูหว่านเอ๋อร์ยิ้มกริ่มขณะที่กล่าวจากทางด้านข้าง เสียงของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
กวนหงอวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ แน่นอนว่าเขายอมรับสิ่งที่นางกล่าวโดยปริยาย
คนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะถ้าซูหว่านเอ๋อร์ไม่กล่าว พวกเขาก็จะไม่ทราบเรื่องนี้เลย
ในช่วงเวลาหนึ่ง สายตาของหลายคนที่มองไปยังกวนหงอวี่ก็เปลี่ยนไป ทั้งยังมีอีกหลายคนที่คว้าโอกาสนี้เพื่อดื่มอวยพรแก่กวนหงอวี่ และยกย่องเขาอย่างไม่สิ้นสุด
กวนหงอวี่ไม่ปฏิเสธ และยอมรับคำอวยพรอย่างยินดี ทำให้บรรยากาศโดยรอบคึกคักมาก
ทว่ามีเพียงบรรยากาศรอบ ๆ เฉินซีเท่านั้นที่ค่อนข้างเย็นเยียบ นอกจากกวนหงอวี่และซูหว่านเอ๋อร์ ที่กล่าวสั้น ๆ กับเขาแล้ว คนอื่น ๆ ก็หลีกเลี่ยงเหมือนกับกำลังหลีกเลี่ยงเทพแห่งโรคระบาด และไม่มีใครกล่าวคุยกับเขาแม้แต่คำเดียว
นี่เป็นแนวโน้มที่คนเหล่านี้คิด หลังจากล่วงเกินมหาอำนาจเหล่านั้น พวกเขารู้สึกว่าเฉินซีจะต้องพินาศอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะสุงสิง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันกับปัญหา
…………….