บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1636 จองหองเกินใคร
บทที่ 1636 จองหองเกินใคร
…………….
บทที่ 1636 จองหองเกินใคร
จักรพรรดินีอวี้เชอขมวดคิ้วมุ่น ดูไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
ก่อนจักรพรรดินีอวี้เชอจะทันตอบสนองอะไร ศิษย์ผู้นั้นก็ไม่อาจยับยั้งตนอยู่ กล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋า เจ้าเป็นคนตั้งกฎงั้นหรือ? ที่นี่คือเอกภพมสิหิม ไม่ใช่เอกภพขั้วทักษิณา” คือชายหนุ่มในชุดสีม่วงหรูหราที่เอ่ยคำขึ้นมา ด้วยทนเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของสวินหยางผิงไม่ไหว
จะให้พูดก็คือ ที่เขาว่ามาก็ไม่ใช่เรื่องเกินไป แต่มุมปากสวินหยางผิงกลับเผยรอยยิ้มเยือกเย็น และฟันขาวให้เห็น
“หากไม่พอใจ เช่นนั้นก็ขึ้นมาสู้กันสิ แต่ถ้าไม่กล้าก็หุบปากเงียบไป อย่าทำพูดมากเหมือนสตรี!” มันเป็นคำพูดที่จองหองยิ่ง อีกทั้งยังทำให้ผู้บ่มเพาะสตรีจำนวนมากรู้สึกโกรธ จักรพรรดินีอวี้เชอเองก็กระทบเช่นกัน
เห็นได้ชัดถึงความหัวแข็งของสวินหยางผิง
ใบหน้าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงหรูหราพลันขึ้นสีแดงก่ำ เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “ข้ามีมารยาทไม่เหมือนบางคน และข้าไม่ขอแหกกฎเกณฑ์ใด”
“กฎเกณฑ์? มารยาทหรือ? ขออภัยด้วย คุณชายผู้นี้ไม่เชื่อสักอย่าง ข้าเชื่อแค่พลังของตนเองเท่านั้น!” สวินหยางผิงตะโกนลั่น อักขระรูปสายฟ้าสีทองลอยขึ้นมาทั่วร่าง ทำเอาห้วงอากาศเบื้องหน้าบิดเบี้ยวแตกกระจาย
พูดจบเขาก็ทำมือเอื้อมจับ
ครืน!
แสงศักดิ์สิทธิ์ แสงสายฟ้าพลุ่งพล่าน และพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็พุ่งออกมาราวกับวารีมหาสมุทร พลางคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้
กร๊อบ!
แขนชายหนุ่มถูกบิดจนหัก เลือดสาดกระเซ็นออกมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
ทุกคนในห้องโถงทั้งตกใจและเดือดดาล เจ้านี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว กล้าโจมตีเพราะไม่เห็นด้วย ช่างไร้กฎเกณฑ์สิ้นดี!
และก็มีอีกหลายคนที่ตกตะลึงอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มนั่นคือศิษย์นิกายจันทราโลหิต ได้อันดับที่ยี่สิบเจ็ด ในการชุมนุมล่าดารา ย่อมเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน แต่กลับไม่อาจต้านทานการโจมตีเดียวได้
เฉินซีหรี่ตาลง มีความประหลาดใจวาดผ่าน จากนั้นสีหน้าก็กลับคืนสู่ความปกติ
“ขยะเช่นเจ้าวิจารณ์คุณชายเช่นข้าได้หรือ?” สวินหยางผิงฉีกยิ้มกว้าง และไม่คิดหยุดมือ ทันใดนั้นเขาก็โบกมือแล้วตบมันลงกับพื้น
หากโจมตีโดน คงได้แยกศีรษะชายคนนี้เป็นแน่!
“พอแล้ว!” จังหวะนั้นเองที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวสองคำออกมาเสียงเย็น ชั่วลมหายใจนั้น แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็ส่องระยับแล้วทำลายการโจมตีของสวินหยางผิงลง
“ฮ่า ๆ! จักรพรรดินีไม่ชอบใจที่ข้าโหดเหี้ยมเกินไปหรือ?” สวินหยางผิงยังคงมีทีท่าไม่สนใคร พูดไปก็ยิ้มไป
คนอื่นได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธ คนผู้นี้หยิ่งผยองจองหองเกินไปแล้ว!
“ชิงหนู จักรพรรดิโกวเฉินขอให้เจ้าดูแลคุณชายสิบสามของเขาเช่นนี้หรือ?” จักรพรรดินีอวี้เชอเมินสวินหยางผิง สายตาเย็นชาเคลื่อนไปหาชายชราข้างกายอีกฝ่าย
“ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบเพียงความปลอดภัยของคุณชายสิบสาม เรื่องอื่นข้าไม่อาจยุ่ง” ตอนนี้ร่างชายชรายังหลังค่อมอยู่ ใบหน้าแก่เฒ่าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นไม่แสดงอารมณ์ใด ทั้งยังเอ่ยน้ำเสียงอ่อนแรงออกมาอีก
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าในเมื่อจักรพรรดินีอวี้เชอรู้ตัวตนของเขา ชายชราผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
คำตอบนี้ทำให้จักรพรรดินีอวี้เชอมุ่นคิ้วอีกครั้ง ครั้งนี้เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
“จักรพรรดินี มันก็แค่การประมือกัน หากสหายเต๋าทั้งหลายที่นี่ยอมรับว่ามีฝีมือด้อยกว่าข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ก็จะออกไปทันที อีกทั้งยังจะไม่เหยียบเข้าเอกภพมสิหิมอีก คิดว่าอย่างไรเล่า?” สวินหยางผิงสองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง แผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมา
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำเอาคนรอบข้างโกรธเป็นฟืนไฟ คนผู้นี้ไม่ใช่แค่มาด้วยเจตนาไม่ดี แต่ยังมาเพื่อดูแคลนพวกเขาชัด ๆ!
กระทั่งเฉินซียังต้องถอนหายใจ เจ้านี่หยิ่งผยองเกินไป แต่เขามีความสามารถให้ทำเช่นนั้นได้ เพราะบิดาคือจักรพรรดิโกวเฉิน ส่วนตัวเขาเองก็มีพลังไม่เลวเช่นกัน อีกทั้งยังมีข้ารับใช้ฝีมือดีอยู่ข้างกาย หากใครกล้าทำอะไร คงได้ตายไปหลายพันครั้งแล้ว
“จักรพรรดินี ข้าเต็มใจต่อสู้กับสหายเต๋าจากเอกภพขั้วทักษิณา!”
“ถึงข้าจะไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุด แต่ก็ไม่กลัวการต่อสู้”
“ฮึ่ม! กล้าดีนัก! เจ้ากล้าดูถูกสหายเต๋าแห่งเอกภพมสิหิมข้าหรือ? เราไม่ยอมให้เจ้าสบประมาทพวกเราเช่นนั้นได้หรอก!”
พริบตานั้น ในห้องโถงก็เกิดเสียงอื้ออึง ศิษย์ทั้งหลายต่างลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ หมายจะท้าประลองกับสวินหยางผิง
“ฮ่า ๆ! พวกเจ้าส่วนมากไม่คณนามือข้าหรอก ข้าไม่อยากรังแกคนอ่อนแอกว่า” เห็นดังนั้นสวินหยางผิงก็ยืนกอดอก ไม่เพียงแต่ไม่ประหลาดใจ แต่ยังหัวเราะเยาะด้วยความเหยียดหยามเสียด้วย
ตอนนี้กระทั่งยอดฝีมือยังมีใบหน้าเคร่งขรึม เด็กผู้นี้จองหองพองหนเกินเหตุ! “ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเจ้ายืนกราน ก็เอาตามนั้น” จักรพรรดินีอวี้เชอรู้ว่าทำอย่างไรก็คงหยุดสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่โบกมือไป
พื้นดินอันว่างเปล่าโผล่ออกมาที่ใจกลางห้องโถงทันใด จักรพรรดินีอวี้เชอเป็นคนวางข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์นี้เองเพื่อสร้างสนามต่อสู้ ไม่ให้ไปรบกวนพื้นที่ด้านนอก
สวินหยางผิงหัวเราะชอบใจทันที จากนั้นแวบร่างขึ้นสนามไป อักขระสีทองรูปร่างคล้ายสายฟ้าฟาดส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทำให้กลิ่นอายดุดันยิ่งทรงพลังขึ้น
“ข้าจะประมือกับเจ้าเอง!” ชายคนหนึ่งยับยั้งทนไม่ไหว แวบร่างขึ้นมาเช่นกัน
สวินหยางผิงมีร่างสูง สายตาดุดันดั่งสายฟ้าฟาด หันมองคนผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงรังเกียจ “ขยะมันรับการโจมตีเดียวของข้ายังไม่ไหว เจ้าไม่มีคุณสมบัติต่อสู้กับข้าหรอก!”
พูดจบก็ยกมือขวาขึ้น เกิดเป็นสายฟ้าส่องสว่าง ก่อตัวรวมเป็นมังกรสายฟ้าอันรุนแรงซัดเข้าใส่ชายหนุ่มผู้นั้น
กรร!
มังกรสายฟ้าคำรามลั่นพร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้า มันตัวใหญ่คับฟ้าแล้วโจมตีลงมาใส่ชายคนนั้น มันยังไม่ทันเข้าใกล้ด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็กระเด็นไปแล้ว ทั้งร่างกลายเป็นสีดำไหม้ ร้องเสียงโหยหวนออกมาไม่หยุด บาดเจ็บหนักแทบสิ้นใจ
คนอื่นได้เห็นเป็นตะลึง เพราะชายคนนั้นเป็นยอดฝีมือ แต่กลับไม่อาจทานทนการโจมตีเพียงครั้งเดียวและพ่ายแพ้ไปเหมือนขยะไร้ค่า
หลายคนที่รู้สึกว่าตนเองมีฝีมือด้อยกว่าชายหนุ่มผู้นั้นเริ่มรู้สึกลังเล ไม่กล้าเดินหน้าออกไป
ยอดฝีมือหลายคนเห็นแล้วก็หนังตากระตุก ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้สวินหยางผิงจะโอหัง แต่ก็มีฝีมือดีให้อวด ทั้งยังเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณชั้นยอดคนหนึ่ง
“นี่คือผลของการประเมินตนเองสูงไป!” สวินหยางผิงเห็นแล้วก็ยิ่งมีท่าทีจองหอง ผมสีดำกระจายไปด้วยพลังสายฟ้า ดูเป็นภาพน่ากลัวยิ่ง
เฉินซีขมวดคิ้ว ไม่เพียงแต่จะเย่อหยิ่ง แต่ยังโหดเหี้ยมด้วยเช่นกัน การโจมตีเมื่อครู่เกือบเอาชีวิตชายหนุ่มผู้นั้นไปแล้ว
“หึ! มาดูสิว่าใครกันแน่ที่ประเมินตนสูงไป!” จังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงในลำคอเย็นชาดังขึ้น เสวียนท่าจื่อจัดเสื้อผ้าตนก่อนขึ้นสู่สังเวียนอย่างรวดเร็ว
ฟ่าว!
เขาหยิบกระบี่หยกสีขาวออกมาอย่างไร้ลังเล จากนั้นฟาดฟันมันออกไป เจตจำนงกระบี่พลุ่งพล่านซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า เต็มไปด้วยความลึกล้ำแห่งนิกายเต๋า
ตู้ม!
สวินหยางผิงตาเป็นประกาย ออกหมัดเข้าปะทะ ปราณกระบี่กับหมัดเข้าปะทะกันเกิดเป็นเสียงคล้ายโลหะ ดังแสบหูพร้อมกับปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวออกมาหลังแรงปะทะ
“พลังเจ้าไม่เท่าไหร่หรอก กลั่นได้แค่เจ็ดประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ แต่กล้าโอ้อวดฝีมือต่อหน้าข้างั้นเหรอ? ไม่อายเลยหรือไง!?” สวินหยางผิงหัวเราะเยาะเย้ย
คนผู้นี้พูดแต่ละทีมีแต่ทำให้คนเกลียด ทำให้คนโกรธจนแทบกระอัก
ประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์มาจากแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในกายยามขึ้นสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แบ่งออกเป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียวแก่ สีน้ำเงินเข้ม สีคราม สีม่วง สีดำ และสีขาว
การที่สามารถกลั่นเจ็ดประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ถือเป็นความสามารถขั้นสูงที่หาได้ยากแล้ว แต่ในความคิดสวินหยางผิงกลับไม่เห็นเป็นอะไร คนอื่นจะไม่โกรธได้อย่างไรกัน?
“โอหัง!” เสวียนท่าจื่อโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่บ่มเพาะพลังมา ยังไม่เคยมีใครกล้าดูถูกหรือเย้ยหยันเขาเช่นนี้มาก่อน
“อะไรกัน? ไม่เชื่อว่าตนเองอ่อนแอหรือ? ข้าขยี้ขยะเช่นพวกเจ้าด้วยตัวคนเดียวได้ด้วยซ้ำ” สวินหยางผิงเยาะ ทำท่าหยิ่งผยอง
ตู้ม!
เสวียนท่าจื่อไม่พูดอะไรอีก แต่ซัดท่ากระบี่ในมือออกไปแทน ตัวกระบี่เป็นสีใสเหมือนผลึกแก้ว ดุเดือดไปด้วยอักขระลึกล้ำและแสงอันลึกลับของนิกายเต๋า
คนอื่น ๆ ก็โกรธเช่นกัน เพราะกระทั่งเสวียนท่าจื่อยังหาว่าไร้ประโยชน์ แล้วพวกเขาเล่า?
สวินหยางผิงยังคงสู้มือเปล่า ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังสายฟ้า พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายห้วงอากาศยามการโจมตีพุ่งออกมา พาเอาแรงพลังคล้ายกับกองทัพใหญ่ซัดใส่ศัตรู
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่าง ท่วงทำนองเต๋าร้องครืน สองร่างเข้าปะทะกันรุนแรง หากจักรพรรดินีอวี้เชอไม่วางข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ไว้ ตำหนักเมฆาวารีคงได้ถูกทำลายไปแล้ว
“มีดีแค่นี้หรือ? น่าเบื่อสิ้นดี!” ทันใดนั้นบุปผาสายฟ้าจำนวนมากก็เบ่งบานขึ้นบนล่างสวินหยางผิง พวกมันมีสีใสดั่งผลึกแก้ว แต่ละกลีบเต็มไปด้วยกฎแห่งสายฟ้าที่ปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันออกมา
จากนั้นบุปผาสายฟ้าก็เบ่งบานในพริบตา ปลดปล่อยสายฟ้าสีทองกระจ่างจ้าสาดซัดใส่ศัตรู
ตู้ม!
เสวียนท่าจื่อไม่ทันตั้งตัว ได้แต่ยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีจนมันสั่นสะท้าน แก่นโลหิตภายในร่างผันผวน แทบต้านไม่ไหวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันใด
ตู้ม!
ทันใดนั้นบุปผาสายฟ้าทั้งหมดก็ระเบิดออก เกิดเป็นพายุสายฟ้าฟาดเข้าใส่เสวียนท่าจื่อจนเซถอยหลังไปพลางกระอักเลือดไม่หยุด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวถูกซัดกระเด็นไปในที่สุด
อึก!
หยาดเลือดสาดกระเซ็น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เขาร่วงลงกับพื้นพร้อมกับบาดแผลสาหัสจนไม่อาจยืนขึ้นได้อีก
“หากข้าไม่ยั้งมือ การโจมตีเมื่อครู่คงเอาชีวิตเจ้าไปแล้ว” สวินหยางผิงยืนเด่นเป็นสง่า ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงสายฟ้าส่องสว่าง ดูดุดันโหดเหี้ยมกว่าเดิม
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงทันใด สหายผู้คุมสายฟ้าผู้นี้มีฝีมือเหลือเชื่อ กระทั่งคนอย่างเสวียนท่าจื่อยังมีสภาพดูไม่จืด
คนคนนี้มีคุณสมบัติเป็นเทวาวิญญาณ… เฉินซีดูเหตุการณ์จากด้านข้าง นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดใจ
ไม่เพียงแต่เฉินซีเท่านั้น แต่ยอดฝีมือทั้งหลายรอบข้างก็คาดเดาไว้เช่นนี้ ล้วนมีสีหน้าเย็นชาประดับอยู่
กระทั่งเสวียนท่าจื่อยังพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากวนหงอวี่จะสู้สวินหยางผิงได้หรือไม่
ทว่าจักรพรรดินีอวี้เชอเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ดวงตากระจ่างเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องระยับ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ฮ่า ๆ! ไม่มีใครอื่นแล้วหรือ? พวกเจ้าโอ้อวดกันว่าจะท้าประลองกับคุณชายผู้นี้ไม่ใช่หรือไง? เหตุใดจึงเงียบกันไปหมด?” สวินหยางผิงกวาดสายตามองรอบกาย เห็นสีหน้าศิษย์ทั้งหลายขึ้นสีบ้าง ซีดเซียวบ้าง แม้ในใจจะโกรธแค้นหรือเศร้าใจเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปประลอง
…………….