บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1637 ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
บทที่ 1637 ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
…………….
บทที่ 1637 ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
สวินหยางผิงกวาดตามองทุกคนทั้งสีหน้าที่ฉาบไปด้วยความเย่อหยิ่ง เขาไม่คิดจะอำพรางร่องรอยดูถูกเหยียดหยามภายใต้สายตานั่นแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมรับคำท้าของตน หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ก็ถอนใจพลางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เดิมทีข้านึกว่าสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์เทวารู้แจ้งวิญญาณจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่เสียอีก แต่พอได้เห็นกับตาตัวเองแล้วก็… ฮ่า ๆ”
เขาแสร้งหัวเราะแทนการพูดให้จบประโยค สุุ้มเสียงนั้นแหลมบาดแก้วหูอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับเข้ากับท่าทางเย่อหยิ่งที่เต็มไปด้วยรอยหยามหยันนั้น มันก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงแทบจะโกรธเป็นฟืนไฟ
ช่างอวดดี! อวดดีเสียเหลือเกิน! แม้แต่เฉินซีเองก็เคืองตงิด เจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่ไม่ใคร่อยากเปิดเผยคุกรุ่นภายในอก การที่คนใจเย็นอย่างเฉินซียังรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีว่าสหายเต๋าสวินหยางผิงผู้นี้จองหองเพียงใด
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองใช้ความสามารถพิเศษที่มีชี้แนะข้าดูสักหน่อยเป็นไร!”
“ข้ายินดีรับคำท้า!”
ในตอนนั้นเอง ร่างของคนสองคนก็พลันเดินหน้าสู่ลานประลองพร้อมกัน น่าประหลาดใจนักที่พวกเขาทั้งสองคือกวนหงอวี่และอี้สวิน
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ พวกเขาไม่ได้ตระเตรียมกันมาก่อนล่วงหน้าแต่อย่างไร ทั้งคู่ต่างก็ตกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเสนอตัวออกมาเช่นเดียวกัน
“เหอะ! เจ้าต่างหากที่ควรถอยให้ข้าลงมือเอง” อี้สวินคำรามเยือกเย็น แววตาที่คมกริบอย่างกระบี่จับจ้องไปยังสวินหยางผิงอย่างไม่ละสายตา
ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความกล้าของคนทั้งสอง แม้จะยังไม่ได้เข้าสู่การต่อสู้ ทว่าความกล้าหาญในการยอมรับสาสน์ท้ารบจากสวินหยางผิงของพวกเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็พยักหน้าอย่างพึงใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีใครสักคนยืนหยัดและก้าวไปข้างหน้าด้วยใจอันเหิมหาญต่อสถานการณ์เช่นนี้
ถึงอย่างนั้น เจ้าของใบหน้าเย้ยหยัน สวินหยางผิงก็ยังคงเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน นิ้วชี้จรดลงยังคนทั้งสองคล้ายจะยั่วโทสะ “ทั้งเจ้า และเจ้า ในเมื่อพวกเจ้าสองคนรนหาเรื่องเจ็บตัวกันเสียขนาดนี้ เช่นนั้นก็เข้ามาพร้อมกันเสียเลยสิ ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้”
สิ้นคำ ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้ฉีกปากโสมมนั่นให้ขาดสะบั้น เจ้าคนผู้นี้ชักจะอวดดีเกินไปแล้ว
ใบหน้าของกวนหงอวี่และอี้สวินเคร่มขรึมลง ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึง ณ ตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองได้เผชิญกับการถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ ช่างน่าอัปยศยิ่ง
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!” แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่บางคนก็สูญสิ้นความอดกลั้นและเริ่มก่นด่าสาปแช่งด้วยความโกรธ
ทันใดนั้น ชายชรารูปร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างสวินหยางผิงก็เงยหน้าขึ้น สายตามัวหม่นแปลบปลาบไปด้วยสายฟ้าเยือกเย็นขณะที่มองไปยังเจ้าของเสียงสบถนั่น
ฉับพลัน สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความหวาดกลัวที่ยากจะควบคุมกอดกุมจิตใจให้หนาวสะท้าน แม้แต่เส้นขนก็ยังลุกชูชัน
“ชิงหนู หากเจ้ากล้าลงมือละก็ อย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตาเลย!” จักรพรรดินีอวี้เชอจดจ้องยังชิงหนูตาไม่กะพริบพร้อมกับส่งกระแสปราณออกไป
ดวงตาของชายชราร่างซูบผอมอ่อนลง เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวนางนัก
เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นและจบลงด้วยความรวดเร็ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นในขณะที่คนส่วนใหญ่ในห้องโถงยังคงจดจ่ออยู่กับสถานการณ์บนสนามประลอง
“เจ้าน่ะถอนตัวไปเสียเถอะ!” กวนหวงอวี่มีสีหน้าเย็นชาอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการจะร่วมมือกับอี้สวิน
“หากต้องมีใครถอนตัว คนนั้นก็ควรจะเป็นเจ้า!” อี้สวินปฏิเสธที่จะเป็นฝ่ายล่าถอย อย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เป็นยอดฝีมือผู้เลื่องชื่อที่เก่งกาจที่สุดในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณของเอกภพมสิหิม ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีนี้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายทำตัวเหนือกว่าแน่นอน
“เหอะ! พอกับเรื่องไร้สาระนี่เสียที!” สวินหยางผิงหมดความอดทน อักขระสายฟ้าสีทองบนร่างกายเปล่งประกายเจิดจ้า ในยามนี้ เขาเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ห้อมล้อมไปด้วยสายฟ้ายามที่พุ่งเข้าใส่คนน่ารำคาญทั้งสองด้วยความรวดเร็ว
ตึง!
รูปร่างสูงใหญ่และทรงพลังทำให้พื้นเบื้องล่างแตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยแรงกำปั้น หมัดที่รุนแรงนี้เป็นเหมือนกับภูเขาลูกมหึมาที่กำลังไล่บดขยี้กวนหงอวี่
ในขณะเดียวกัน แขนซ้ายก็ถูกเหวี่ยงออกไป ความรุนแรงของมันเหมือนกับสายธารแห่งดวงดาวที่แปลบปลาบประหนึ่งสายฟ้าคลั่ง มันโจมตีใส่ยังอี้สวินที่ยืนอยู่ด้านข้างในทันที
บัดนี้เขาได้ใช้สุดยอดกระบวนวิชาสองอย่างในเวลาเดียวกันเพื่อโจมตีทั้งกวนหงอวี่และอี้สวิน!
ต้องมั่นใจและทระนงเพียงใดถึงได้กล้าทำเช่นนี้?
สีหน้าของผู้ชมโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
สำหรับกวนหงอวี่และอี้สวินนั้น การกระทำของสวินหยางผิงนับเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ พวกเขาโกรธแค้นเสียจนไม่ลังเลที่จะโจมตีคนผู้นั้นอย่างพร้อมเพรียง
หวือ!
กวนหงอวี่ประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ฝ่ามือเป็นเสมือนผลึกที่โอบล้อมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีซึ่งโคจรไปพร้อมกับกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ พวกมันค่อย ๆ ผสานกันและกลายเป็นก้อนเมฆตระการตาที่ลงมาทำลายการโจมตีของสวินหยางผิง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
อี้สวินง้างคันศรหน้าตาธรรมดาที่ทำมาจากกระดูกของสัตว์อสูร เพียงปล่อยนิ้วจากสายที่ขึงตึง ลูกธนูเทวะที่แวววาวนับพันเล่มก็ถูกยิงออกมาอย่างรุนแรง ในชั่วพริบตา พวกมันก็พุ่งผ่านอากาศและส่งเสียงหวีดหวิว
ยามเมื่อเต๋าแห่งคันศรถูกใช้ในระยะประชิด พวกมันก็ทรงพลังอย่างถึงขีดสุด สิ่งนี้ทำให้ผู้ชมทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเอี้ยวหลบอย่างเผลอตัว ด้วยหวั่นเกรงว่าตนจะกลายเป็นผู้ที่ถูกลูกหลงจากการโจมตีนี้
ทันใดนั้น จักรพรรดินีอวี้เชอก็สะบัดแขนเสื้อสีแดงเข้มของตน ก่อนจะนำสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปทรงคล้ายถ้วยออกมาชิ้นหนึ่ง เพียงพริบตา มันก็กลายเป็นม่านป้องกันที่ห่อหุ้มสนามประลองอันกว้างใหญ่เอาไว้ แน่นอน หากนางไม่ทำเช่นนี้ แม้แต่ข้อจำกัดก็ไม่อาจต้านทานคลื่นกระทบที่เกิดจากการต่อสู้นี้ได้
โครม!
มวลอากาศระเบิดตัว เขตแดนของกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ขยายตัวกว้างไกลแตกเป็นเสี่ยง ๆ แสงที่ลุกโชนพลุ่งพล่านออกมาพร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทะลักราววังวนแห่งความโกลาหล
ชั่วพริบตา ทักษะวิชาที่เลิศล้ำและน่าสะพรึงกลัวมากมายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง การต่อสู้ของพวกเขาไม่มีท่าทีจะยุติลงโดยง่าย
แกร๊ง!
หอกทองสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้นบนมือของกวนหงอวี่ บัดนั้นรัศมีบนเรือนกายพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ราวกับได้กลายเป็นเทพผู้เหี้ยมโหดที่มุ่งหมายจะทำลายล้างแผ่นดิน
ในเวลาเดียวกัน สวินหยางผิงแค่นเสียงเยือกเย็น กระบี่ที่ยาวสี่ฉื่อปรากฎขึ้นบนมือ ผิวนอกของมันเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาดที่วาวโชติช่วง เป็นอาวุธที่ดูทรงพลังอย่างยิ่ง
ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ตื่นเต้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ในที่สุดสหายเต๋าจอมจองหองผู้นี้ก็ถูกบีบให้นำอาวุธออกมาจนได้!
ตึง!
การต่อสู้รุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะกระบี่ หอก หรือลูกธนูก็ล้วนแต่โรมรันอย่างไม่คิดล่าถอย ส่งผลให้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องพราวไปทั่วบริเวณโดยรอบ หากเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่มากนักก็ไม่มีทางจะเห็นเหตุการณ์พัลวันที่เกิดขึ้นในลานประลองได้
ในขณะนั้นเอง ท่วงทำนองแห่งเต๋าพลันถูกบรรเลง มันก่อตัวเป็นระลอกคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวที่กวาดกระจายออกไปอย่างไร้สิ้นสุด ทั้งข้อจำกัดและม่านพลังจากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทรงถ้วยต่างก็สั่นไหว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการปะทะกันระหว่างคนทั้งสามนั้นน่ากลัวเพียงใด หากสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยปราศจากม่านพลังป้องกัน ไม่ว่าจะเมือง ภูเขา หรือทะเลสาบทั้งหลายในแดนดินก็คงจะต้องแหลกสลายเป็นผุยผง
“ชิ! การร่วมมือของพวกเจ้ามันห่วยแตกชะมัด! น่าผิดหวังจริง ๆ!” ตอนนั้นเอง เสียงกู่ตะโกนของสวินหยางผิงก็ดังขึ้นภายในลานประลอง มันแสบเสียดเสียจนแก้วหูของผู้คนสั่นสะเทือน
โครม!
สิ้นคำเย้ยหยัน สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็ปรากฏ สวินหยางผิงตวัดกระบี่สายฟ้าในมือและโจมตีหอกของกวนหงอวี่ด้วยแรงระเบิดครั้งใหญ่
หลังจากนั้น ร่างของเขาก็พุ่งเข้ามาประชิดเจ้าของหอกทองสัมฤทธิ์นั่น กวนหงอวี่ในยามนี้รู้สึกเหมือนกับตนกำลังถูกกระแทกด้วยภูเขานับพันลูก กระดูกป่นปี้ แหลกละเอียดไปทั้งสรรพางค์กาย ร่างกระเด็นออกไปพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกจากปากและจมูก
ฟึ่บ!
ในเวลาเดียวกัน ลูกศรของอี้สวินก็พุ่งผ่านท้องฟ้าและหยุดลงตรงหน้าสวินหยางผิง
แคร๊ก!
ทันใดนั้น สวินหยางผิงคว้ามันเอาไว้ ฝ่ามือที่แข็งแกร่งบดขยี้ลูกธนูนั้นให้กลายเป็นผุยผง
“บัดซบ!” สวินหยางผินหันขวับอย่างเทพอสูรจุติ กระบี่ในมือแปลบปลาบไปด้วยแสงของสายฟ้า มันฉีกกระชากอากาศและฟันลงยังร่างอี้สวินด้วยความรวดเร็ว
ตึง!
คันธนูจากกระดูกสัตว์อสูรแตกหักพร้อมกับเสียงโหยหวนของอี้สวิน ผิวหนังทั่วทั้งร่างไหม้เกรียมเป็นสีดำและค่อย ๆ หลุดร่อนเป็นชิ้น หากให้เปรียบ เขาในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับเปลือกไม้ไหม้เกรียม แรงปะทะนั้นพาให้ร่างกระเด็นออกมาจากลานประลองทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วเกินไป มันเร็วเสียจนกลุ่มคนที่อยู่โดยรอบไม่ทันได้ตอบสนองต่อความพ่ายแพ้ของคนทั้งสอง ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“การร่วมมือกันของพวกเจ้าไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด อ่อนแอ พวกเจ้าน่ะอ่อนแอเสียเหลือเกิน” สวินหยางผิงระเบิดเสียงหัวเราะ เส้นผมยาวสลวยปลิวไสว ในขณะที่สายฟ้าบนคมกระบี่ส่องแสงวับวาว มันทำให้เขาดูหยิ่งผยองและองอาจเกินกว่าใครจะเทียบได้
ผู้ชมทั้งหมดต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้พวกเขาหวังว่าทั้งกวนหงอวี่และอี้สวินจะร่วมกันพลิกสถานการณ์ได้ ไหนเลยจะคิดว่าทั้งสองจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
หรือว่าสหายเต๋าผู้นี้จะไร้เทียมทานอย่างแท้จริง?
ความสิ้นหวังก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ไม่มีผู้ใดอยากจะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนหน้าถอดสีซีดไม่ชวนมอง
ท่ามกลางความเงียบงัน สวินหยางผิงที่ยืนอย่างภาคภูมิกลางลานประลองก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เจิดจรัสราวดวงอาทิตย์กวาดมองทุกคนที่อยู่โดยรอบอย่างหยามหยัน เช่นเดียวกับมุมปากที่ยกเย้ยด้วยความดูแคลน “นี่หรือยอดฝีมือของพวกเจ้า? ให้ตายสิ ไม่เห็นจะมีอะไรเยี่ยมยอดตรงไหน ถามจริง ๆ เถอะ ไม่มีใครที่น่ากลัวยิ่งกว่าสองคนนี้แล้วหรือ? หากมี ไหนลองก้าวมาข้างหน้าในคุณชายอย่างข้าได้ชมเป็นขวัญตาที!”
มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
ตอนนั้นเอง บรรยากาศโดยรอบห้องโถงกลับเร้นซึ่งเสียงเอ็ดอึงอันกราดเกรี้ยว มีเพียงความตกตะลึงและสิ้นหวังที่ล่องลอยอยู่รอบบริเวณ
แม้แต่คนฝีมือฉกาจอย่างเสวียนท่าจื่อ อี้สวิน และกวนหงอวี่ยังพ่ายแพ้ แล้วอย่างนี้ ใครกันจะเอาชนะชายผู้เย่อหยิ่งจองหองคนนี้ได้?
“พี่เฉินสวิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านยังทนได้อยู่อีกหรือ?” ตอนนั้นเอง เสียแหบพร่าของกวนหงอวี่ที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่บนพื้นพลันดังแผ่ว สายตากวาดไปหยุดที่ด้านหนึ่งของห้องโถง
เฉินสวิน?
เมื่อผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังได้ยินชื่อนี้ พวกเขาก็พลันตกตะลึงเล็กน้อย แสงที่เจิดจ้าส่องประกายในดวงตามากมายเหล่านั้น ใช่แล้ว นี่ข้าลืมสหายเต๋าผู้นี้ไปได้อย่างไร!?
ตอนนั้นเอง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน ที่ตรงนั้นมีโต๊ะไม้โบราณอยู่ตัวหนึ่ง ด้านหลังของมันคือชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าเลิศโฉมเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง แน่นอนเขาผู้นั้นก็คือเฉินซี
เมื่อเฉินซีเห็นสายตาหลากหลายจ้องมองมา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจเฮือกใหญ่ ที่เขาอดกลั้นและไม่แสดงตัวจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวสวินหยางผิง ไม่ใช่เพราะเขาต้องการวางตัวสูงส่งแต่ประการใด หากเป็นเพราะเขาไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ต่างหาก
อย่างไรแล้วเฉินซีก็ไม่ได้เป็นคนของเอกภพมสิหิม ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ด้านนอกหรือด้านในห้องโถง ทั้งเถี่ยอวิ๋นผิงและเขาก็มักจะเป็นคนที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาห่างเหินแทบทุกขณะ เช่นนี้ เขาจะเอาอารมณ์หรือความเห็นใจใดไปยืนหยัดเพื่อคนเหล่านี้กัน?
แม้จะเจ็บปวดลึก ๆ กับสายตาหม่นหมองของกวนหงอวี่ ทว่าเขาก็ค่อนข้างจะยินดีที่ได้เห็นอี้สวินและคนอื่น ๆ ต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้
อย่างไรก็ดี ทันทีที่กวนหงอวี่เรียกชื่อตน สายตาทั้งหลายก็หันมองมาเป็นตาเดียว เฉินซีก็รู้ตัวในทันทีว่าตนคงไม่อาจลอยตัวจากเรื่องนี้ได้อีกต่อไป…
“เฉินสวิน หากเจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ ข้ารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดในเอกภพมสิหิมกล้าหาเรื่องเจ้าอีก” ทันใดนั้น เสียงนุ่มนวลอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของเฉินซี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจักรพรรดินีอวี้เชอซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนั้นอย่างตกตะลึง ดวงตากระจ่างพราวของนางมองลงมาด้วยความคาดหวังอันเลือนราง
เมื่อเฉินซีเห็นดังนั้น เขาก็ตัดสินใจในทันที “วันนั้นที่ดาววิญญาณมลทิน องค์จักรพรรดินีได้ช่วยข้าให้พ้นจากเภทภัย ในเมื่อท่านเอ่ยปากขอร้องเช่นนี้ แล้วข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร” ชายหนุ่มกล่าวผ่านกระแสปราณตอบ
พูดจบ เฉินซีก็ยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้า เมื่อมาถึงลานประลอง ชายหนุ่มก็ทอดสายตามองสวินหยางผิงอย่างไม่นึกแยแสก่อนจะพูดขึ้น “อยากต่อสู้นักใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าเป็นคู่มือให้เจ้า”
เสียงทุ้มราบเรียบ ปราศจากความรู้สึก ไม่มีความแข็งแกร่งใดถูกแสดงออกมาภายในน้ำเสียงนั้น มีเพียงพลังที่ทำให้หัวใจของผู้คนสงบนิ่ง
เมื่อคนอื่น ๆ เห็นเฉินซีปรากฏตัว นอกเหนือไปจากความรู้สึกตื่นเต้นแล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่รู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ แน่ละ ก็ก่อนหน้านี้พวกปฏิบัติต่อเฉินซีด้วยความเย็นชายิ่งกว่าอะไรดี
แสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นในดวงตาของจักรพรรดินีอวี้เชอเมื่อนางเห็นเหตุการณ์นี้ เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย ไม่เสียแรงที่ได้ใช้น้ำค้างธุวดาราศักดิ์สิทธิ์ช่วยไว้ในวันนั้น
“ฮ่า ๆ! เจ้านี่พยายามจะอวดตนเกินไปแล้ว รู้หรือไม่ว่าข้าน่ะเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด?” สวินหยางผิงมองเฉินซีด้วยความทระนง น้ำเสียงแฝงไปด้วยการดูถูก “เจ้าต้องการคนสักสองสามคนมาช่วยสู้หรือไม่?”
ขณะที่พูด เขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ “อ๋อใช่ หากพวกเจ้าไม่พอใจ จะลงมาต่อสู้กับข้าด้วยก็ได้ คุณชายอย่างข้าเบื่อจะเล่นปาหี่กับพวกเจ้าเต็มทน!”
…………….