บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1639 พ่ายแพ้ยับเยิน
บทที่ 1639 พ่ายแพ้ยับเยิน
เปรี้ยง!
สวินหยางผิงผู้เดือดดาลคั่งแค้นพลันกระทืบพื้นทะยานตัวไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ร่างของเขาเรืองประกายอัสนี ดาบในมือแปรเปลี่ยนเป็น ‘อัสนีนรก’ อันดุร้ายไร้เทียมทาน เต็มไปด้วยอำนาจทลายโลกา
เฉินซีไม่ได้ปะทะกับตรง ๆ พลังยันต์ศัสตรามีจำกัด ขณะที่ดาบของสวินหยางผิงเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติ ดังนั้นหากพวกมันปะทะกัน ผู้เสียเปรียบย่อมไม่พ้นเฉินซี
วูบ!
ร่างสูงใหญ่วูบไหว ใช้สะบั้นไร้ลักษณ์ออกมาอีกครั้งจากมุมประหลาด
ขวับ!
สวินหยางผิงปัดป้องมันอย่างสุดสามารถ แต่กลับไม่อาจหลบพ้น ถูกกระบี่นี้ฟาดฟันเข้าใส่อีกครั้ง ฝากแผลเป็นทางยาวไว้บนอก ทำให้ผิวเนื้อปริเปิด โลหิตทะลักพุ่ง
เขาร้องลั่นอย่างเจ็บปวดสาหัส และเกือบเซทรุดลงกับพื้น สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาบ้าคลั่งกว่าเก่า ดวงตาแดงฉานเป็นสีเลือด
น่าเสียดาย ภายใต้การสยบทุกหนทางของเฉินซี เขาไร้กำลังตอบโต้ใด ๆ ทำได้เพียงต้องปัดป้องรับการโจมตี ทำให้รู้สึกด้อยกว่าอีกฝ่าย ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในโถงต่างตะลึง ก่อนหน้านี้ สวินหยางผิงถือตน โอหังเหนือใคร ไร้ผู้ใดรับการโจมตีของเขาได้ นอกจากนั้น อำนาจต่อสู้ยังร้ายกาจเสียจนทำให้ผู้อื่นเกิดความสิ้นหวังในใจ
ทว่าขณะนี้ ในศึกระหว่างเขากับเฉินซี เขากลับกลายเป็นสัตว์ร้ายจนมุม ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ถูกสยบราบคาบอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เสียความอวดเก่งถือตนไปสิ้น!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอำนาจต่อสู้ของเฉินซีท้าทายสวรรค์เพียงใด และเมื่อเทียบกันแล้ว สวินหยางผิงเล็กจ้อยไม่น่าพูดถึงไปในทันที!
กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยังเบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาทราบอยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเหนือธรรมดา แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
สวินหยางผิงเป็นบุตรของจักรพรรดิโกวเฉิน เป็นอัจฉริยะหายากอันมีศักยภาพแห่งมหาเทวาวิญญาณ!
ทว่าเฉินสวินผู้นี้กลับพิชิตสวินหยางผิงได้ ไม่ได้หมายความหรือว่าอำนาจต่อสู้ของเฉินสวินนั้นสูงส่งจนไม่น่าเชื่อเหนือใดเปรียบหรือ?
ทว่าเหตุใดเราจึงไม่เคยได้ยินถึงตัวตนเช่นนี้เลย? หรือเพราะเขาไม่ได้เติบโตมาในเอกภพมสิหิมกัน?
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายพบว่าตนไม่อาจสงบหัวใจได้เลย และรู้สึกว่าที่มาของเฉินสวินยิ่งลึกลับเกินธรรมดาไปใหญ่แล้ว
…
ในสมรภูมิ สวินหยางผิงถูกปราบอยู่หมัด แม้ดาบในมือจะคมกริบ แต่เฉินซีก็เลี่ยงไม่ปะทะตรง ๆ และยังใช้สะบั้นไร้ลักษณ์ การโจมตีอันยากคาดเดาที่สุดของตนอย่างต่อเนื่อง
ฉึก! ฉับ! ฉัวะ!
ปราณกระบี่ประหลาดสายแล้วสายเล่านั้นไม่อาจจับตามองได้ ทำให้สวินหยางผิงไร้กำลังปัดป้อง เวลาต่อจากนั้น เขาเหมือนกลายเป็นเพียงกระสอบทรายมีชีวิตให้ปราณกระบี่ฟาดฟันซ้ำไปมา ทำให้บาดแผลบนร่างเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เลือดเนื้อสาดกระเซ็นอาบอาภรณ์ อยู่ในสถานะสะบักสะบอมสุดขีด
สภาพเช่นนี้ต้อนเขาสู่ขีดจำกัด ทำให้สวินหยางผิงโมโหเจียนเป็นลม เขาถูกตบตีปราบสยบเช่นนี้ต่อสาธารณะ ก่อให้เกิดความรู้สึกอับอายยิ่งกว่ายามใด
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้ชมในโถงต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เห็น พวกเขาไม่เคยพบพานผู้ใดดุร้าย อหังการร้ายกาจยามเผชิญมหาเทวาวิญญาณอย่างสวินหยางผิงได้เท่าเฉินซี เหตุการณ์อันชวนตกตะลึงนี้กระทั่งทำให้พวกเขาอดรู้สึกสงสารสวินหยางผิงกันขึ้นมา
อันที่จริง เฉินซีกล่าวได้ว่าออมมือแล้ว ไม่เช่นนั้น ด้วยการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่อันเหนือธรรมดา สวินหยางผิงคงตกตายไปนานแล้ว
ฉัวะ!
สวินหยางผิงบาดเจ็บเพิ่มอีกแผล ทำให้เขาเดือดจัดจนหน้ายับยู่ อดกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำไม่ได้
ขณะนี้เขาถูกเล่นงานเสียจนรู้สึกจนปัญญา มองเฉินซีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย กัดฟันแผดเสียง “เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้าอยู่ในลำดับเจ็ดสิบหกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณแล้ว หรือเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าอีก?”
เทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
อันดับเจ็ดสิบหก!
ทุกคนรอบข้างต่างสูดปากเฮือกยามได้ยินเช่นนี้ ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าคนโอหังที่เฉินซีต่อยตีสิ้นท่าอยู่ในขณะนี้จะมีอำนาจร้ายกาจเช่นว่า
หากพวกเขาทราบอยู่ก่อน กวนหงอวี่ เสวียนท่าจื่อ อี้สวิน และคนอื่น ๆ คงไม่ไปสู้แน่ แต่ยอมรับในความด้อยฝีมือกว่าเสียแทน
เพราะตำแหน่งเช่นนี้ท้าทายสวรรค์เกินไป ทั่วทั้งแดนเทพโบราณใหญ่โตเกินธรรมดา มียอดฝีมือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณนับไม่ถ้วน แต่สวินหยางผิงกลับสามารถครองลำดับเจ็ดสิบหกได้ จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอำนาจต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดาเพียงใด
กวนหงอวี่ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในหมู่สามพันดาราจักรในเอกภพมสิหิม แต่เขายังไม่อาจมีอันดับในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณจนบัดนี้ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตำแหน่งของสวินหยางผิงน่าตกตะลึงเช่นไร
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจอย่างแท้จริงก็คือ หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเฉินสวินผู้สยบสวินหยางผิงได้ราบคาบเล่า สูงส่งเพียงใดกันแน่?
“เจ้านั่นไม่ได้บอกหรือว่าเขาไม่ได้อยู่บนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ? หรือว่าเขาจะโกหกจริง ๆ” ซูหว่านเอ๋อร์พึมพำ
คนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะพวกเขาจำได้ชัดเจนว่ากวนหงอวี่เคยถามเฉินซีแล้วว่าเขามีชื่ออยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณหรือไม่ และฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าตอบ
แต่เมื่อมาเห็นศึกเช่นนี้ พวกเขาหรือจะไม่รู้ว่าเฉินซีจงใจออมมือ?
ชั่วขณะนั้น ในใจพลันรู้สึกซับซ้อนยิ่ง ในเมื่อเจ้านี่ถือครองอำนาจเช่นนี้ แล้วเหตุใดจึงเก็บตัวเงียบ?
เพราะหากทราบมาแต่แรก มีหรือพวกเขาจะปฏิเสธเฉินซี ปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนั้น?
…
เฉินซีเหลือบมองสวินหยางผิง ขมวดคิ้วกล่าว “ข้าคือใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ… เจ้าจะยังต่อหรือไม่?”
สีหน้าของสวินหยางผิงแปรเปลี่ยนยากคาดเดา ขณะนี้ ทั่วร่างอาบโลหิต มีสภาพสะบักสะบอมน่าเวทนายิ่ง เขาถูกเฉินซีสยบราบคาบเสียจนในใจยังหวาดกลัวไม่หาย
“นายน้อย รามือเถิด” ทันใดนั้น ชายชราร่างผอมก็เอ่ยขึ้น เขาเดินมาข้างกายสวินหยางผิง ขณะที่ดวงตาพร่ามัวมองมาทางเฉินซีด้วยเค้าสีหน้าซับซ้อนประหลาด “พ่ายด้วยมือคุณชายท่านนี้ ไม่ใช่ความอับอายเลย”
สวินหยางผิงตะลึงไป
ทุกคนรายล้อมก็ผงะไปเช่นกัน
หมายความเช่นไร?
กระทั่งเฉินซียังอดผงะไปเล็กน้อยไม่ได้ แล้วหรี่ตาลงเหมือนพอเดาบางเงื่อนงำออก
ก่อนผู้อื่นจะทันฟื้นจากความตะลึง ชายชราก็หันไปประสานกำปั้นให้จักรพรรดินีอวี้เชอซึ่งนั่งอยู่ไกล ๆ “หนนี้รบกวนมากแล้ว หวังว่าจักรพรรดินีจะอภัยให้เรา บ่าวเฒ่าขอพาคุณชายกลับแล้ว ต้องขอตัว”
ว่าแล้ว ชายชราก็สะบัดแขนเสื้อ บังคับพาสวินหยางผิงหายลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ
การจากไปอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนในโถงประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อพวกเขาคิดดูแล้ว ก็สังเกตพบอย่างจนใจว่าการหยุดชายชราและสวินหยางผิงไว้เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะถึงอย่างไร สวินหยางผิงก็เป็นทายาทผู้หนึ่งของจักรพรรดิโกวเฉิน และยังมีชายชราผู้แข็งแกร่งเกินหยั่งคาดอยู่ข้างกาย จึงไม่ใช่ผู้ที่พวกตนจะเทียบชั้นได้
…
ไม่นานนัก ทุกคนในโถงก็เบนสายตามายังเฉินซีโดยพร้อมเพรียงกัน สายตาของพวกเขามีทั้งความชื่นชม หวาดกลัว และกระทั่งอารมณ์อันซับซ้อน
พวกเขาตระหนักชัดเจนว่าหากที่นี่ไม่มีเฉินซี เช่นนั้นวันนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ในเอกภพมสิหิมคงถูกสวินหยางผิงเหยียบย่ำบดขยี้ และหากข่าวนี้แพร่งพราย พวกเขาก็จะเสียหน้ากันไม่ใช่น้อย
ชื่อเสียงโลกหล้าการบ่มเพาะในเอกภพมสิหิมก็ไม่พ้นเผชิญผลกระทบไปด้วย
กล่าวได้ว่าหนนี้เฉินซีช่วยรักษาหน้าไว้ได้ และพวกเขาต่างก็รู้สึกขอบคุณ
แต่บังเอิญว่าพวกเขาหลายคนเคยปฏิเสธเฉินซี ปฏิบัติอย่างเย็นชา ถึงขนาดนี้กองกำลังอย่างตระกูลอี้และอารามเต๋าสัจวิญญาณแค้นเฉินซีเข้ากระดูก พวกเขาจึงรู้สึกยากเย็นที่จะนึกขอบคุณเฉินซีกว่าผู้อื่น
ดังนั้นอารมณ์ในใจพวกเขาจึงซับซ้อนเกินคราวใดยามเผชิญหน้าในขณะนี้
เฉินซีไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใด ๆ เลย
ในด้านความแข็งแกร่ง หลังจากที่เขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลได้บนดาววิญญาณมลทิน ชายหนุ่มกระทั่งมั่นใจว่าตนสามารถข้ามขอบเขตไปสู้กับเยี่ยเหยียนแห่งนิกายอำนาจเทวะผู้อยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้แล้ว
แม้สวินหยางผิงจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณผู้หนึ่งอยู่ดี ดังนั้นการเอาชนะจึงอยู่ในการคาดการณ์ของเฉินซีอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ ตำแหน่งของสวินหยางผิงในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ
ชายหนุ่มยังจำได้ว่ายามตนพัฒนาสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ เขาอยู่ในอันดับเก้าสิบเก้า ยามนี้ผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี แต่อำนาจต่อสู้ก็เพียงพอเอาชนะสวินหยางผิงซึ่งอยู่ในอันดับเจ็ดสิบหกได้แล้ว และมันก็ทำให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจริง ๆ
“เฉินสวิน หนนี้เจ้าทำได้ดี ด้วยผลงานการต่อสู้ของเจ้าในวันนี้ ทั่วทั้งเอกภพมสิหิม จะไม่มีผู้ใดกล้าประเมินเจ้าต่ำอีก” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงกระจ่างใสเสนาะหูอันแผ่วเบาแฝงเค้าความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่ต้องพูดถึงว่า หากเจ้าไม่ได้มาแก้วิกฤตในหนนี้ งานเลี้ยงนี่คงพินาศไปเพราะเจ้าหนูจากตระกูลสวินผู้นั้น นั่นจะเป็นความอับอายของข้าเช่นกัน มา ขอข้าดื่มฉลองให้เจ้า”
นางว่าแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นสองจอก ส่งหนึ่งจอกให้เฉินซีบนอากาศ ขณะที่นางยกจอกอีกใบขึ้นดื่มฉลองหมดจอก
ทำให้ผ้าแดงคลุมหน้าของนางถูกเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยคางขาวดุจหิมะและริมฝีปากอวบอิ่มแดงสดซึ่งยกยิ้มงดงามขึ้นชั่ววูบ แม้มันจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่ก็เผยความงามสะกดวิญญาณชวนลืมหายใจ
“องค์จักรพรรดินี ท่านชมเกินไปแล้ว” เฉินซีรับจอกสุรามา ประสานกำปั้นแล้วดื่มหมดจอกเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกผู้ในโถงต่างทั้งรู้สึกตะลึงและริษยา พวกเขาตระหนักดีว่าหากผู้ใดกล้าก่อเรื่องกับเฉินซีจากนี้ไป จักรพรรดินีอวี้เชอจะเป็นผู้แรกที่ไม่ยินยอม
เพราะถึงอย่างไร น้อยคนดุจขนวิหคเพลิงเขากิเลนที่จะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีอวี้เชอเช่นนี้
ไร้ผู้ใดสังเกตเห็นว่าสีหน้าของอี้เทียนซึ่งนั่งหลบมุมโถงอยู่สุดแสนยากมอง สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่แน่ชัด ขณะที่ความสับสนในใจหนาแน่นเข้มข้น
เขาไม่อาจยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้ ตามแผน ทันทีที่เฉินสวินออกจากที่นี่ ตระกูลอี้จะคิดบัญชีทันที จากนั้น ก็จะฉวยโอกาสแย่งเหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ไปจากศพของเฉินสวิน
ใครเล่าจะคาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันถึงขนาดนี้!
อี้เทียนกระทั่งกล้าสาบาน ว่าหากเขาคุกเข่าขอร้องคนในตระกูลให้ลงมือกับเฉินซียามนี้ จะถูกปฏิเสธในทันทีอย่างแน่นอน
บ้าเอ๊ย! เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?
หรือข้าจะทำได้เพียงมองเจ้านี่หนีพ้นไปต่อหน้าต่อตา?
ข้ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้!!
ท้ายที่สุด อี้เทียนพลันกัดฟันผุดลุก ชี้เฉินซีซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ แล้วกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน เจ้านั่นหาใช่ผู้บ่มเพาะจากเอกภพมสิหิมของเราไม่ เป็นเพียงข้าทาสที่ผ่านแดนโลกาวินาศมาจากภพเบื้องล่างต่างหาก!”
เสียงของเขากึกก้องทั่วโถง ทำให้ทุกคนตกตะลึง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบกริบจนแม้แต่เข็มตกยังได้ยิน
มาจากภพเบื้องล่าง?
ทุกคนต่างรู้สึกเคลือบแคลง ไม่อาจเชื่อชั่วขณะ เพราะถึงอย่างไร อำนาจต่อสู้ของเฉินซีก็ท้าทายสวรรค์เกินไป และยังมีศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณ แล้วจะมาจากภพเบื้องล่างได้อย่างไร?
ขณะเดียวกัน เมื่อเฉินซีได้ยินเช่นนี้ เสี้ยวจิตสังหารดุร้ายพลันฉายขึ้น ณ ส่วนลึกในดวงตา เจ้านี่ไม่ยอมเลิกราจริง ๆ!
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ไม่เชื่อตน อี้เทียนก็ร้อนใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าว่าแต่ที่มาน่าสงสัยของเจ้านี่เลย เขากระทั่งมีสมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้น เหรียญทองแดงโปรยสมบัติกับตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ พวกมันหรือจะเป็นสมบัติที่คนธรรมดามีได้?”
…………….