บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1640 ถูกย้อนถาม
บทที่ 1640 ถูกย้อนถาม
เหรียญทองแดงโปรยสมบัติ!
ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์!
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้ บรรยากาศในห้องโถงก็หยุดนิ่งทันที และตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็ง
ทุกคนรวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นล้วนเบิกตากว้าง และดูเหมือนไม่อยากเชื่อ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องไม่ธรรมดาเท่านั้น แต่มันยังน่าทึ่งมาก!
สมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งสองชิ้นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยกับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เลย หนึ่งในนั้นมาจากปรมาจารย์ของนิกายอำนาจเทวะ และอีกชิ้นมาจากฝูซีปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ทั้งสองชิ้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในแดนเทพโบราณพอสมควร
แต่ที่สำคัญที่สุด คือนิกายอำนาจเทวะและเขาเทพพยากรณ์เป็นศัตรูกัน เนื่องจากนิกายทั้งสองก่อตั้งมาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ ทั้งสองจึงเป็นศัตรูคู่แค้นที่เหมือนน้ำกับไฟมาโดยตลอด
ตามที่อี้เทียนกล่าว เฉินสวินที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับมีสมบัติของนิกายอำนาจเทวะและเขาเทพพยากรณ์ ดังนั้นนี่จึงอยู่เหนือจินตนาการของพวกเขานัก
ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ส่วนหนึ่งไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศและท่าทางประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ!
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็เปลี่ยนไป แววตาเผยถึงความประหลาดใจและสงสัยใคร่รู้
หรือคนผู้นี้จะมาจากภพเบื้องล่างจริง ๆ ? และเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะที่ถือกำเนิดในแดนเทพโบราณ?
ถ้ามันเป็นความจริง ก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ในความคิดของพวกเขา ทุกคนที่มาจากภพเบื้องล่างนั้นอ่อนแอ เป็นเพียงทาสเทพและมีฐานะต่ำต้อย
นี่เป็นการไม่ยอมรับที่มาจากฐานะ และมันไม่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะแต่อย่างใด!
ในขณะนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินซีดูเหมือนจะสงบเหมือนเช่นเคย แต่จิตสังหารอันเยือกเย็นเสียดแทงกลับปะทุขึ้นในส่วนลึกของดวงตาสีดำสนิท
ชายหนุ่มตระหนักดีถึงผลที่จะตามมาหากความโลภของคนเหล่านี้ถูกกระตุ้น ดังนั้นตั้งแต่เข้าร่วมการชุมนุมล่าดารามาจนถึงตอนนี้ เขาจึงไม่เคยใช้เหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์เลยยสักครั้ง
แต่นึกไม่ถึงว่าอี้เทียนจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดนี้ในพริบตาสุดท้าย และยังเปิดโปงความลับของเขา! แล้วเฉินซีจะไม่ขุ่นเคืองได้อย่างไร?
“อี้เทียน! เจ้ากล้ารับผิดชอบต่อสิ่งที่เจ้ากล่าวหรือไม่” ทันใดนั้น ซูหว่านเอ๋อร์ก็กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว และทำลายความเงียบในห้องโถง
นางรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เฉินซีได้พลิกสถานการณ์และช่วยศิษย์รุ่นเยาว์ของเอกภพมสิหิมจัดการกับอันตรายที่พวกเขาเผชิญอยู่ ทว่าตอนนี้ ไม่เพียงแต่อี้เทียนจะไม่รู้สึกขอบคุณ แต่ยังแว้งกัดเหมือนหมาบ้า! สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
หลายคนคิดคล้ายกับซูหว่านเอ๋อร์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ จึงมองไปที่อี้เทียนด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
ผู้อาวุโสจากตระกูลอี้ อี้เหวินขมวดคิ้วและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เทียนเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
เมื่ออี้เทียนได้ยิน ดูเหมือนเขากำลังเผชิญกับความอยุติธรรมที่ไม่ธรรมดา พลันร้องโพล่งขึ้น “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ข้าไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน!”
เขาหยุดครู่หนึ่ง พลันขบฟันแน่นและจดจ้องเฉินซีด้วยสีหน้าไม่พอใจ “มิหนำซ้ำ ทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ล้วนทราบดีว่าคนผู้นี้ได้สังหารคนสกุลอี้ของข้าไปมากมายในแดนโลกาวินาศ แม้แต่ท่านลุงเก้าที่คอยดูแลข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้าเด็กนี้! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แล้วข้าจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้อย่างไร?”
เสียงของเขาดุร้ายและเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ขณะที่มันสะท้อนก้องในห้องโถง
ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนการระเบิดครั้งใหญ่ ที่ทำให้หัวใจของผู้คนในห้องโถงสั่นคลอน ทำให้พวกเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
ดังนั้นจึงมีความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเฉินสวินและตระกูลอี้มาตั้งแต่แรก ไม่น่าแปลกใจที่เขากำจัดศิษย์ทั้งหมดของตระกูลอี้ในระหว่างการชุมนุมล่าดารา
เมื่อทุกคนคิดได้เช่นนี้ สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็เต็มไปด้วยความสงสัย หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง?
“เฉินสวิน ทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือไม่?” อี้เหวินมีสีหน้าดำคล้ำ พลางจ้องเขม็งไปที่เฉินซีอย่างก้าวร้าว
“เจ้าหนู เจ้าควรอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้”
“ฮึ่ม! ข้ารู้ว่าต้นกำเนิดของเด็กคนนี้น่าสงสัย ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง!”
ในขณะนี้ เมี่ยวหยาจากอารามเต๋าสัจวิญญาณที่เป็นศัตรูกับเฉินซี และผู้ยิ่งใหญ่อีกสองสามคนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตร
ในทางกลับกัน สถานการณ์ที่เฉินซีเผชิญอยู่ในขณะนี้ ดูเหมือนเขาจะถูกประณามจากทุกคนและรายล้อมไปด้วยศัตรู
“ทุกคน นี่พวกเจ้ากำลังตัดสินโทษคนผิดอยู่หรือ?” เถี่ยอวิ๋นผิงกล่าวขึ้นทันที และใบหน้าที่สวยงามของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ข้าอยากจะถามพวกเจ้าทุกคนเช่นกัน เหตุใดผู้อาวุโสเฉินสวินและข้าจึงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา ทั้งที่เราได้อันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดารา?”
คำกล่าวของนางมีพลัง และเป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“ตอนนี้ผู้อาวุโสเฉินสวินเอาชนะสวินหยางผิงได้ และเขาช่วยเหลือพวกเจ้าทุกคนจากภัยคุกคาม ทำให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของเอกภพมสิหิมสามารถรักษาหน้าของตนได้ แต่หลังจากที่เขาทำทั้งหมดนี้แล้ว ไยพวกเจ้าจึงปฏิบัติเช่นนี้ด้วย?
ในเวลานี้ เถี่ยอวิ๋นผิงพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง นางรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ นางสมควรรับผิดชอบด้วย และนางก็โกรธแค้นอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุด นางกวาดสายตามองทุกคนในห้องโถงไปและกล่าวย้ำ “ทำไม?”
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงที่โกรธเกรี้ยว เสียใจ และเศร้าโศกของเถี่ยอวิ๋นผิงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
ทั้งหมดถึงกับอับจนคำพูด ไม่คิดว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาไหนเลยจะเคยถูกย้อนถามต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ? โดยเฉพาะผู้ที่ย้อนถามกลับเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ!
“สาวน้อย เราไม่มีเจตนาที่จะตัดสินโทษเฉินสวิน ดังนั้นการกล่าวหากันเช่นนี้ ก็ดูจะเกินไปหน่อย” ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก ถ้อยคำบ่งบอกถึงการตักเตือนอยู่เนือง ๆ
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยตามลำดับ
เถี่ยอวิ๋นผิงรู้สึกโกรธมากขึ้น และนางกำลังจะอ้าปากเพื่อกล่าวบางอย่าง แต่เฉินซีกลับแย้มยิ้มและห้ามนางไว้
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ชำเลืองมองทุกคนด้วยสายตาไม่แยแส “หลังจากพูดพล่ามมามากมาย ข้าอยากจะถามพวกเจ้าทุกคนเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหรือ?”
ความหมายเบื้องหลังถ้อยคำของเขาคือ ต้นกำเนิดของข้าเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหรือไม่? แล้วการที่ข้าครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งสองนั้นมันเป็นธุระกงการอันใดของพวกเจ้า?
ใช่แล้ว มันเกี่ยวข้องอันใด?
ใบหน้าของทุกคนแข็งค้าง ทั้งยังถูกตั้งคำถามกลับจนรู้สึกไร้คำจะเอื้อนเอ่ย
มีเพียงอี้เทียนเท่านั้นที่โกรธจนตาแทบถลนเมื่อเห็นเฉินซียืนกรานปฏิเสธ และร้องโพล่งออกมาเสียงดัง “เฉินสวิน เจ้ากล้าทำแต่ไม่ยอมรับ เจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
ท่าทางของเฉินซีเปลี่ยนไปเย็นชาทันที ในขณะที่จิตสังหารปะทุในส่วนลึกของดวงตา “ถ้าเจ้ายังใส่ร้ายข้าอีกต่อไป ก็อย่าตำหนิข้าที่ไร้ความปรานี!”
โครม!
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าใส่ทันที มันทำให้อี้เทียนหวาดกลัวจนใจสั่นสะท้าน และสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จนต้องถอยหลังกลับไปสองก้าวอย่างห้ามไม่ได้
ทว่าหลังจากนั้น ความอัปยศอดสูอย่างที่สุดก็พรั่งพรูออกมาจากหัวใจ นี่ข้าหวาดกลัวจนต้องถอยกลับไปต่อหน้าผู้คนจริง ๆ เหรอ!
“ฮึ่ม! อย่าได้บังอาจอวดดีนัก!?” อี้เหวินก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งและแค่นเสียงเย็น “ทั้งหมดนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าได้อย่างไร? เจ้าฆ่าคนตระกูลอี้ของข้าไปมากมายปานนี้ เจ้าคิดว่าวันนี้จะมีโอกาสหลบหนีเอาชีวิตรอดอีกหรือ?”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นหลักฐานของเจ้าอยู่ที่ใดกัน? และที่เจ้ากล่าวหาข้าทั้งหมดนี้ เพียงเพราะเชื่อคำพูดของคนตระกูลเจ้าเหรอ? ตระกูลอี้ของเจ้าช่างมีอำนาจบาตรใหญ่เสียจริง”
“หลักฐาน?” อี้เหวินหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าว่าง่ายและกลับไปยังตระกูลอี้พร้อมกับข้า เราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้าบริสุทธิ์หรือไม่ เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ?”
รอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากเฉินซี และกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า เหตุใดข้าควรเชื่อฟังตระกูลอี้ของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่รังแกง่ายจริง ๆ หรือ?”
ขณะที่กล่าว กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไป มันทั้งทรงพลังและกดขี่อย่างยิ่ง
“คงไม่ใช่เพราะข้าได้กำจัดศิษย์ตระกูลอี้ของเจ้าในระหว่างการชุมนุมล่าดารากระมัง? ไอ้เฒ่าสารเลว หากเจ้าไม่พอใจ ไยเราไม่มาแลกหมัดกันสักตั้ง จะได้รู้ว่าข้าเฉินสวินนั้นเกรงกลัวหรือไม่!”
ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนก็ตื่นตกใจ
เฉินสวินคนนี้ไม่จองหองเกินไปหน่อยหรือ? เขากล้าที่ต่อต้านตระกูลอี้ในที่สาธารณะ นี่เป็นสิ่งที่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจะกล้าทำหรือไม่?
เมื่อได้ยินเฉินซีเรียกเขาว่าไอ้เฒ่า อี้เหวินเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธสุดขีดทันที และเส้นผมก็กระพือด้วยความโกรธ “ช่างเป็นเด็กน้อยที่ฝีปากกล้าจริง ๆ! ในเมื่อเจ้าท้าทายข้า ข้าคงดูใช้ไม่ได้เกินไป หากข้าไม่รับคำท้า!”
ครืน!
ขณะที่กล่าว เขาก็สืบเท้าไปข้างหน้า กลิ่นอายของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลถาโถมออกจากร่างกาย ดุจเทพปีศาจได้ตื่นจากการหลับใหล กลิ่นอายแผ่ไปรอบ ๆ และมันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากเฉินซี แต่เขาหาได้กลัวแต่อย่างใด
เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะปะทุขึ้น เสียงที่เยือกเย็นและน่ารื่นรมย์ก็ดังขึ้นทันที “ไร้สาระ!”
มันเป็นเพียงถ้อยคำสองสามคำ แต่เสมือนกับพายุที่พัดผ่านไปทั้งห้องโถง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน และรู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้หายไม่ออก กำลังห่อหุ้มร่างกายพวกเขาไว้
ในทางกลับกัน เฉินซีและอี้เหวินซึ่งแต่เดิมเผชิญหน้ากันอยู่นั้นก็รู้สึกหายใจไม่ออก พลังในร่างของพวกเขาก็ถูกสยบโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่สามารถก้าวเท้าไปข้างหน้าได้!
หลังจากนั้น ภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของทุกคน จักรพรรดินีอวี้เชอเอามือไพล่หลัง แล้วก้าวเท้าไปยืนขวางระหว่างทั้งสอง ดวงตาสุกใสเหมือนกับสายฟ้า เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวออกมา
ชุดกระโปรงสีแดงเพลิงที่ปักลวดลายวิหคอมตะปลิวไสว ในขณะที่รูปร่างที่เพรียวบางและสง่างามของนางดูแปลกตายิ่งกว่าเดิม นางเป็นเหมือนจักรพรรดินีที่แท้จริงซึ่งครอบครองอำนาจอันทรงพลัง
“อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก” นางเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะมองไปที่อี้เหวิน เห็นได้ชัดว่านางกำลังเตือนอี้เหวินว่าอย่าได้ล้ำเส้น
“พวกเจ้าทุกคนออกไปได้แล้ว ถึงเวลาที่งานเลี้ยงนี้ควรจบลง เฉินสวินและเถี่ยอวิ๋นผิง พวกเจ้าตามข้ามา” จักรพรรดินีอวี้เชอหันหลังกลับแล้วจากไปท่ามกลางเสียงที่เย็นชาอันแผ่วเบาของนาง
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง แต่ก็เดินตามไปแต่โดยดี
เมื่อเห็นว่าเฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอกำลังหายตัวไปจากห้องโถง อี้เหวินดูเหมือนจะดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ฝ่าบาท แต่ว่า…”
จักรพรรดินีอวี้เชอหยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน นางไม่แม้แต่จะหันกลับไป และเพียงสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ
โครม!
จู่ ๆ พลังไร้รูปร่างก็กวาดออกไป ซึ่งแท้จริงแล้วมันได้ซัดบรรพเทวาอย่างอี้เหวินจนกระเด็น เขาร้องโหยหวนก่อนที่จะล้มลงกับพื้น ร่างกายกระตุกอย่างรุนแรง และไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก!
ทุกคนล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้างกันถ้วนหน้า เพราะนี่มันน่ากลัวเกินไป! บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลกลับถูกบดขยี้ในชั่วพริบตา!
เฉินซีก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน การบ่มเพาะของจักรพรรดินีอวี้เชอได้บรรลุถึงความสูงระดับใดกันแน่?
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก แต่เจ้ากลับไม่ฟัง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงอยู่ที่นี่ซะ บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป หากผู้นำตระกูลอี้มาขออภัยต่อเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าตระกูลอี้ของเจ้ารอให้ข้าไปหามันด้วยตัวเอง… ผลที่ตามก็คงยากจะจินตนาการได้”
เสียงที่เยือกเย็นและทุ้มลึกของจักรพรรดินีอวี้เชอดังก้องไปทั่วห้องโถง ซึ่งดูเหมือนนางจะทำสิ่งที่ธรรมดามาก
แต่เมื่อทุกคนที่อยู่โดยรอบมองไปที่อี้เหวินที่ยังคงดิ้นและร้องโหยหวนอยู่บนพื้น ควบคู่ไปกับคำเตือนจากจักรพรรดินีอวี้เชอ หัวใจของพวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกหนาวเย็นและความเย็นยะเยือกก็แล่นไปตามกระดูกสันหลัง
…………….