บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1641 ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
บทที่ 1641 ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
…………….
บทที่ 1641 ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
จนถึงขณะนี้ เฉินซีก็เข้าใจแล้วว่าพลังและอำนาจของเจ้าแห่งเอกภพมสิหิมนั้นน่ากลัวเพียงใด
เช่นเดียวกับอี้เหวิน เขาเป็นผู้อาวุโสของมหาอำนาจอย่างตระกูลอี้ และมีอำนาจมหาศาล แต่เพียงคำเดียว จักรพรรดินีอวี้เชอก็บดขยี้เขาได้ในพริบตา และยังบอกให้ผู้นำตระกูลอี้มาขออภัยแก่นาง สิ่งนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าจักรพรรดินีอวี้เชอนั่นสูงส่งและน่าเกรงขามเพียงใด
ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่และศิษย์เหล่านั้นก็ตกตะลึง ทั้งยังไม่กล้ากล่าวใด ๆ เพราะเกรงว่าจะทำให้จักรพรรดินีขุ่นเคือง
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงจึงติดตามหลังจักรพรรดินีอวี้เชอ ออกจากห้องโถงท่ามกลางสายตาที่ซับซ้อนของผู้คน
“ผู้อาวุโสอี้เหวิน!”
ในขณะนี้ เหล่าศิษย์ของตระกูลอี้ถึงได้กล้าที่จะก้าวเท้าออกมาข้างหน้า และตั้งใจที่จะพยุงอี้เหวินซึ่งนอนโรยรินอยู่บนพื้นขึ้นมา
ทว่าพวกเขากลับถูกหยุด ก่อนที่จะทันได้เข้าใกล้
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากผู้นำตระกูลอี้ไม่มาขอโทษฝ่าบาท สหายเต๋าคนนี้ก็ไม่อาจไปจากที่นี่ได้” คนผู้นั้นคืออวิ๋นชิง ใบหน้าเหี่ยวย่นปราศจากอารมณ์ และกล่าวอย่างไม่แยแส ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง พาตัวอี้เหวินจากไป ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครกล้าหยุดเขาเลยสักคน
อี้เทียนถึงกับตะลึง และเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่ก็พบว่าตัวเองไม่มีน้ำตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวถึงลงเอยเช่นนี้
เพราะเหตุใดกัน?
ทั้งที่ข้าเปิดเผยตัวตนของชายคนนั้นอย่างชัดเจน แต่ทำไมท้ายที่สุดแล้วมันกลับไม่มีผลใด ๆ ทั้งยังทำให้ผู้เฒ่าอี้เหวินถูกควบคุมตัวด้วย?
ถึงขนาดที่จักรพรรดินีอวี้เชอรู้สึกขุ่นเคือง และลากผู้นำตระกูลให้เข้ามาพัวพันด้วยเช่นกัน เหตุใดเรื่องทั้งหมดนี้ถึงเกิดขึ้น?
อี้เหวินไม่สามารถเข้าใจได้ เขาทั้งรู้สึกหงุดหงิดและจนปัญญา
เมื่อคนอื่น ๆ ในห้องโถงเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะชัดเจนแล้วว่า จักรพรรดินีอวี้เชอนั่นเข้าข้างเฉินสวินขนาดไหน!
เหตุใดจักรพรรดินีอวี้เชอจึงไม่ลังเลที่จะล่วงเกินตระกูลอี้ และยืนกรานที่จะกระทำเช่นนี้? เฉินสวินคนนั้นคือใครกันแน่ แล้วเหตุใดเขาจึงควรค่าพอที่จักรพรรดินีอวี้เชอกระทำเช่นนั้น?
พวกเขาล้วนไม่สามารถเข้าใจได้
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขารู้สึกว่าต้นกำเนิดของเฉินซีนั่นลึกลับยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าคนผู้นี้มาจากภพเบื้องล่างหรือครอบครองเหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์อยู่จริง ๆ หรือไม่
อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนยันได้อย่างหนึ่งว่าต้นกำเนิดของเฉินซีผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแค่ครอบครองศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เถี่ยอวิ๋นผิงบรรลุเป็นอันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดารา ยิ่งกว่านั้น ยังเอาชนะองค์ชายของจักรพรรดิโกวเฉิน สวินหยางผิงอีกด้วย
บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
…
คลื่นเปล่งประกายระยิบระยับไปตามผิวน้ำของทะเลสาบ วิหคเทวะกระพือปีกในท้องฟ้าอันห่างไกล และพวกมันเปล่งเสียงร้องที่ชัดเจนและดังกังวาน ซึ่งฟังดูเหมือนเสียงของธรรมชาติ
มีเวทีราบเรียบอยู่ตรงกลางทะเลสาบ และปกคลุมไปด้วยหมอก ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามจำนวนมากปลูกไว้ใกล้เคียง ดอกบัวนั้นพลิ้วไหวท่ามกลางสายลม ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา ทำให้จิตใจเบิกบานสดชื่น
นี่คือดินแดนเร้นลับ และเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีอวี้เชอบ่มเพาะ
ในขณะนี้ เฉินซีนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าโต๊ะ มีชาศักดิ์สิทธิ์ร้อน ๆ ถ้วยหนึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะ และกลิ่นหอมของชาก็ลอยฟุ้งมากระทบจมูก
เห็นได้ชัดว่าชาถ้วยนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากอย่างยิ่ง เพียงแค่สูดดมกลิ่นก็ทำให้จิตวิญญาณของเฉินซีสดชื่น ยิ่งกว่านั้น ทุกรูขุมขนบนร่างกายก็เปิดออก พลังชีวิตไหลเวียนอย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก
จักรพรรดินีอวี้เชอนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง ในขณะนี้ นางถอดมงกุฎหงส์บนศีรษะออกแล้ว ส่งผลให้เรือนผมสีดำสนิทปล่อยลงมาดุจน้ำตก ทำให้บรรยากาศของนางดูสง่าและถ่อมตัว ซึ่งลดทอนกลิ่นอายที่ภาคภูมิและเยือกเย็นของนางลงเล็กน้อย
มีเพียงผ้าคลุมหน้าสีแดงเท่านั้นที่ยังคงปกปิดใบหน้าไว้ ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้ มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่สุกใสและลุ่มลึกราวกับทะเลสาบเท่านั้นที่ยังคงอยู่ให้ทุกคนได้เห็น
แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังคงให้ความรู้สึกของความงามที่เป็นเอกลักษณ์และดูลึกลับ มันทำให้หัวใจสั่นไหว ราวกับภาพวาดของจิตรกรอันลือชื่อ และความงามที่ดูไม่เหมือนสิ่งที่ควรมีอยู่บนโลกนี้
บางครั้งเฉินซีรู้สึกสงสัยว่าหากเขาใช้เนตรเทวะแห่งความจริง จะสามารถมองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของนางได้หรือไม่ ความคิดนี้ทำให้ใจสั่นไหวด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้น แต่เขากลับไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะหากจักรพรรดินีอวี้เชอสังเกตเห็น มันก็คงไม่ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“ในแดนเทพโบราณแห่งนี้ มีผู้คนที่เชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยันต์อักขระอยู่มากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง” ทันใดนั้น จักรพรรดินีอวี้เชอก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงที่สุกใส และนางก็จ้องมองไปที่เฉินซี “ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่สามารถใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระในการต่อสู้กับอีกฝ่ายที่ขอบเขตการบ่มเพาะระดับเดียวกันและระเบิดพลังดังกล่าวเช่นเจ้า คนเหล่านี้สามารถนับได้ด้วยนิ้ว”
เฉินซีตะลึงลาน จึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะแล้วจิบ แต่กลับไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ
“เมื่อรวมกับสิ่งที่เด็กน้อยจากตระกูลอี้กล่าว ข้าจึงพอจะเดาภูมิหลังของเจ้าได้” ทันใดนั้น ดวงตาที่สุกใสของจักรพรรดินีอวี้เชอก็เต็มไปด้วยแสงเรืองรอง “เจ้าหนู เจ้ายอมรับหรือไม่”
เฉินซีวางถ้วยชาในมือลง “ฝ่าบาทช่างมีสายตาที่เฉียบแหลม ข้ามาจากเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ สำหรับสาเหตุที่ปิดบังตัวตน เป็นเพราะข้าไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะไม่ถือสา”
คำตอบของเขาตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ทำให้จักรพรรดินีอวี้เชอตกตะลึง “ข้าคิดว่าเจ้าจะปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาดเสียอีก เหมือนกับที่เจ้าทำในตำหนักเมฆาวารีก่อนหน้านี้”
เฉินซียักไหล่และยิ้มอย่างขมขื่น “หากข้าทำเช่นนั้น ข้าเกรงว่าฝ่าบาทจะขุ่นเคือง”
จักรพรรดินีอวี้เชอพยักหน้า “ใช่แล้ว หากเจ้ากล้าที่จะทำเช่นนั้น ข้าก็จะมอบเจ้าให้กับตระกูลอี้ทันที”
ใบหน้าของเฉินซีแข็งทื่อ
เสี้ยวของความบันเทิงอันหาได้ยาก พลันปรากฏขึ้นในดวงตางดงามของจักรพรรดินีอวี้เชอ และหายไปในชั่วพริบตา “อันที่จริง ข้าพอเดาต้นกำเนิดของเจ้าได้คร่าว ๆ ตั้งแต่ระหว่างการชุมนุมล่าดาราแล้ว และแม้ในเวลานั้น ศิษย์บางคนของนิกายอำนาจเทวะจะมาหาข้าก็ตาม เพราะพวกมันตั้งใจขอความช่วยเหลือจากข้าเพื่อจับกุมใครบางคน”
เฉินซีตกตะลึง ดวงตาพลันหรี่ลงทันที หูตาของนิกายอำนาจเทวะมีอยู่ทั่วแห่งหนจริง ๆ และมันเหมือนกับวิญญาณหลอกหลอนไม่ยอมไปผุดไปเกิด!
“แต่ข้าก็ฏิเสธ” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวอย่างเฉยเมย “มันไม่ใช่เพราะเจ้า แต่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมนุมล่าดาราด้วย ไม่ว่าผู้ใดคิดฝ่าฝืนกฎของข้า คนผู้นั้นต้องไตร่ตรองถึงผลที่ตามมาจากการทำให้ข้าขุ่นเคือง”
เฉินซีมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ และตระหนักได้ว่านางช่วยเขาจัดการกับภัยคุกคามของนิกายอำนาจเทวะโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริง เฉินซีรู้มานานแล้วว่านับตั้งแต่เยี่ยเหยียนแห่งนิกายอำนาจเทวะหลบหนีไป เขาก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามของนิกายอำนาจเทวะในไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยจักรพรรดินีอวี้เชอเลยสักนิด เพราะด้วยฐานะของนาง นางไม่จำเป็นต้องหลอกลวงเลยสักนิด
“ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าต้องขอบคุณฝ่าบาทที่คอยปกป้องข้า” เฉินซีประสานมือและกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
จักรพรรดินีอวี้เชอโบกมือวูบหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในเมื่อเจ้าช่วยให้สาวน้อยคนนั้นได้อันดับหนึ่งในการชุมนุมล่าดาราในครั้งนี้ ข้าจึงมอบรางวัลให้เจ้าด้วย บอกข้าสิ เจ้ามีคำถามเกี่ยวกับการบ่มเพาะหรือไม่ เจ้าสามารถถามได้ตามต้องการ และถ้าข้าสามารถตอบเจ้าได้ ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน”
เฉินซีไตร่ตรองสั้น ๆ จากนั้นจึงกล่าว “ตอนนี้ข้ายังไม่พบอุปสรรคใด ๆ ในการบ่มเพาะ แต่มีบางอย่างที่ทำให้ข้าน้อยหนักใจ และข้าหวังพึ่งพาฝ่าบาทเพื่อคลี่คลาย”
“ว่ามา” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว
“ข้าอยากรู้ว่าเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาอยู่ที่ใด” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะถามคำถามนี้ สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
จักรพรรดินีอวี้เชอตกตะลึง จากนั้นนางก็ตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน ท่าทางของนางจะเหมือนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก และกล่าวหยอกล้อว่า “เจ้ามาจากเขาเทพพยากรณ์ แต่เจ้าไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าข้าไม่ได้ยืนยันตัวตนของเจ้า ข้าคงจะสงสัยว่าเจ้าเป็นทายาทที่แท้จริงของเขาเทพพยากรณ์หรือไม่”
เฉินซีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “เหล่าศิษย์พี่ของข้านั่นเร่งรีบเกินไป พวกเขาไม่ได้บอกอันใดแก่ข้าเลย”
จักรพรรดินีอวี้เชอพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ “ข้ารู้คำตอบ หากเจ้าต้องการให้บอก เจ้าก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าเสียก่อน”
เฉินซีตกตะลึง ข้าต้องยอมรับเงื่อนไขของนางเหรอ?
“เพราะข้าสัญญาว่าจะชี้แนะเจ้าในการบ่มเพาะเท่านั้น และข้าไม่เคยตกลงที่จะตอบคำถามอื่นใดเลย” จักรพรรดินีอวี้เชอคลี่ยิ้มเล็กน้อย ดูมีความสุขที่เห็นเฉินซีต้องทนทุกข์ทรมาน นางรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้สงบสุขุมเกินไป ซึ่งต่อให้ฟ้าจะถล่มก็คงไม่สามารถสั่นคลอนหัวใจและจิตวิญญาณเขาได้ ความสงบเช่นนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
“ฝ่าบาทโปรดบอกเงื่อนไขให้ข้าทราบก่อน เพื่อให้ข้าไตร่ตรองได้หรือไม่?” เฉินซีขมวดคิ้วมุ่นอย่างหนักใจ
“แน่นอน อันที่จริง แม้ว่าเจ้าจะไม่ตอบตกลง แต่ข้าก็ยังจะบอกเจ้าว่าเงื่อนไขนั้นคืออะไร” จักรพรรดินีอวี้เชอตอบกลับทันที
นางเงยหน้าขึ้นและมองออกไปไกลโพ้น สิ่งที่นางนึกถึงนั้นไม่มีผู้ใดร่วงรู้ แต่แววตากลับทอประกายเย็นชาอยู่วูบหนึ่ง จากนั้นนางกลับคืนสู่ท่าทีสงบอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน เสียงที่ไพเราะ ชัดเจน และทุ้มต่ำของนางก็สะท้อนอยู่บนเวทีนี้
“เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวที่น่าตกใจซึ่งแพร่กระจายไปทั่วเอกภพจักรวรรดิมัชฌิม รากเต๋าบรรพชนต้นใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพของมันยังบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิระดับเก้าอีกด้วย และมันทำให้มหาอำนาจยิ่งใหญ่ตกอยู่ในความปั่นป่วน”
“ตามความรู้ของข้า มหาเทวาวิญญาณซึ่งได้รับการส่งเสริมโดยมหาอำนาจมากมายในเอกภพจักรวรรดิได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ และหมายยึดรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้านั้น ว่ากันว่า แม้แต่บุคคลที่ไร้ผู้เปรียบในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
“เงื่อนไขที่ข้าต้องการให้เจ้ายอมรับนั้น อันที่จริงนั่นง่ายมาก ข้าอยากให้เจ้ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะสามารถยึดรากเต๋าบรรพชนนี้ได้หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กน้อยจากตระกูลกงเหย่ได้มันไปเป็นอันขาด”
เมื่อนางกล่าวถึงตระกูลกงเหย่ ความเกลียดชังปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในน้ำเสียง และมันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ทำให้หัวใจของผู้ฟังรู้สึกหนาวเหน็บ
เฉินซีอดเลิกคิ้วไม่ได้ เขาเดาว่าอาจมีความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างจักรพรรดินีอวี้เชอและตระกูลกงเหย่
“อันที่จริง แม้เราจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ก็ตาม แต่ด้วยศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณที่เจ้ามี ดังนั้นเจ้าต้องเดินทางไปยังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เพื่อพุ่งเข้าสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เพราะมีเพียงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เท่านั้นที่ครอบครองรากเต๋าบรรพชนที่เจ้าต้องการ” จักรพรรดินีอวี้เชอชำเลืองมองเฉินซี และเสียงของนางก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
รากเต๋าบรรพชน เป็นรากฐานในการสร้างขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเช่นเดียวกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณที่ส่องสว่างในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา และแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ รากเต๋าบรรพชนเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
เฉินซีตระหนักดีถึงเรื่องนี้ และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริง คือเมื่อได้ยินคำว่าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ก็พลันรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เขาหวนนึกถึงถ่อยคำที่คลุมเครือและลึกลับที่ปรากฏบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากทันที
น่าตกใจที่ตัวอักษร ‘荒’ และ ‘墟’ ที่อ้างอิงถึงคำว่า ‘รกร้าง’ และ ‘ซากปรักหักพัง’ ตามลำดับก็อยู่ในหมู่พวกมันด้วย!
…………….