บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1642 เงื่อนไขสองข้อ
บทที่ 1642 เงื่อนไขสองข้อ
ระหว่างผสานชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก อักขระโบราณดูคลุมเครือแลลึกลับปรากฏขึ้นบนผิวมันมากกว่าหนึ่งครั้ง
ที่มากไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเฉินซี เขายังจำอักษรโบราณทั้งเก้าได้จนถึงตอนนี้ ซึ่งก็คือ ‘荒’ ‘神’ ‘墟’ ‘古’ ‘帝’ ‘域’ ‘纪’ ‘主’ และตัว ‘极’
ระหว่างการชุมนุมล่าดารา เขาเคยได้ยินชื่อเอกภพจักรวรรดิมัชฌิม รู้สึกได้ราง ๆ ว่าอักษรโบราณ ที่ปรากฏบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอาจเกี่ยวข้องกัน เพราะตัวอักษร ‘帝’ และ ‘域’ หมายถึงคำว่า ‘จักรวรรดิ’ และ ‘เอกภพ’
หากแต่พอเขารู้เรื่องซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่จากจักรพรรดินีอวี้เชอขึ้นมา ก็รู้สึกว่าเบาะแสจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมีส่วนเกี่ยวข้องกับซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เป็นแน่
ซึ่งไม่ใช่การเดาสุ่มทั่วไป แต่เพราะลางสังหรณ์บอกเช่นนั้น
หากลองวิเคราะห์ดูให้ดี ก็เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นเอกภพจักรวรรดิมัชฌิมหรือซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ทั้งคู่ล้วนเป็นพื้นที่พิเศษในแดนเทพโบราณทั้งสิ้น
โดยสถานที่หลังเป็นพื้นที่ใจกลางที่มีกว่าพันเอกภพภายในแดนเทพโบราณ มีขุมกำลังและนิกายโบราณมากมายจนจินตนาการไม่ถูกอยู่ที่นั่น ผู้บ่มเพาะธรรมดาไม่อาจเดินทางไปถึงที่นั่นได้เลย
แม้ว่าเฉินซีจะไม่รู้จักที่นี่ แต่ก็เคยได้ยินมาจากจักรพรรดินีอวี้เชอ พอเข้าใจได้ว่ามันคงไม่โด่งดังเท่าเอกภพจักรวรรดิมัชฌิม แต่ก็เป็นสถานที่ไม่ธรรมดาอยู่ดี
เพราะอย่างไรมันก็กำเนิดรากเต๋าบรรพชนมาได้ ทั้งยังดึงดูดมหาเทวาวิญญาณจากเอกภพจักรวรรดิไปเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อคาดเดาได้เช่นนี้ เฉินซีจึงเชื่อมปริศนาอักษรโบราณที่ปรากฏอยู่บนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเข้าด้วยกันดู
หรือทั้งหมดนี้จะมีบางส่วนที่เชื่อมต่อกัน?
สมองเฉินซีหมุนไปไวนัก
“ตัดสินใจอย่างไร?” จักรพรรดินีอวี้เชออดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นเฉินซีคิดนาน เท่าที่นางรู้ ถึงเขาคิดปฏิเสธก็ไม่จำเป็นต้องคิดนานเช่นนี้
เฉินซีจึงได้สติกลับมาจากภวังค์ความคิด หลังจัดการความคิดเล็กน้อยก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลย จึงได้แต่ยิ้มขื่นแล้วถามออกไป “เหตุใดท่านจึงเลือกข้า?”
“มีอยู่หลายเหตุผล ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าอยากขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล อย่างไรก็ต้องเดินทางไปซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ อีกเหตุผลคือหากเจ้าอยากหาที่ตั้งของเขาเทพพยากรณ์ เช่นนั้นก็ต้องฉวยโอกาสนี้เดินทางเข้าเอกภพจักรวรรดิมัชฌิม” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “อีกทั้งการได้จัดการกับสหายน้อยตระกูลกงเหย่นั่นยังส่งผลดีต่อเจ้าด้วย”
เฉินซีเลิกคิ้วทันที “คนตระกูลกงเหย่ผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”
เหตุผลสองข้อแรกเขาเห็นด้วย อย่างไรเขาก็รู้ดีว่าหากเขามีคุณสมบัติแห่งมหาเทวาวิญญาณ และอยากขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เช่นนั้นก็ต้องเดินทางไปซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่จริง
เพราะมีแต่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เท่านั้นที่จะสามารถสร้างรากเต๋าบรรพชนซึ่งเหมาะสมกับมหาเทวาวิญญาณขึ้นมาได้
อีกทั้งหากเฉินซีอยากรู้คำตอบว่าจะเดินทางไปเขาเทพพยากรณ์อย่างไรจากจักรพรรดินีอวี้เชอ เขาก็มีแต่ต้องตอบตกลง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เฉินซีจึงเริ่มยอมรับไป ไม่เช่นนั้นคงได้แต่สงสัยว่าคนตระกูลกงเหย่ผู้นั้นเป็นใครกันแน่
“กงเหย่เจ๋อฟู” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยเสียงเรียบ “คนผู้นี้เป็นยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลกงเหย่ เขาขึ้นอันดับที่เก้า ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ เป็นตัวตนเลื่องชื่อไปทั่วเอกภพจักรวรรดิ”
นางหยุดเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “กงเหย่เจ๋อฟูมีจุดประสงค์คือซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ก็เหมือนกับมหาเทวาวิญญาณคนอื่น ๆ ซึ่งก็คือเพื่อชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าที่เพิ่งถือกำเนิด อีกทั้งจากความสามารถในปัจจุบันของเขาก็มีโอกาสสำเร็จสูงมาก”
กงเหย่เจ๋อฟู!
ยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลกงเหย่รุ่นเยาว์ รั้งอันดับเก้า ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
แค่เท่านี้ก็ทำให้เฉินซีรู้ดีแล้วว่าคนผู้นี้มีฝีมือสูงส่งเพียงไหน
หากเทียบกับเขาแล้ว โอรสองค์ที่สิบสามของจักรพรรดิโกวเฉิน สวินหยางผิง ยังเอามาเทียบไม่ได้เลย
เพราะคนหนึ่งอยู่อันดับที่เก้าบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ อีกคนอยู่อันดับที่เจ็ดสิบหกมีความต่างพลังมากเกินไป
เฉินซียิ้มแห้งยามได้ยิน จักรพรรดินีอวี้เชอประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว อยากให้ข้าไปรับมือกับตัวประหลาดเช่นนั้นหรือ
แม้สิ่งที่เขาต้องทำคือหยุดกงเหย่เจ๋อฟูไม่ให้เอารากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไปได้ แต่เฉินซีก็รู้ดีว่านั่นแทบไม่ต่างกับการสังหารกงเหย่เจ๋อฟูเลย
“ไม่ไหว เงื่อนไขนี้อันตรายเกินไป เว้นเสียแต่ว่าจักรพรรดินีจะยอมรับเงื่อนไขของข้าได้” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดลุ่มลึกอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่สิ เงื่อนไขสองข้อของข้า”
“ว่ามา” จักรพรรดินีอวี้เชอไม่ลังเล “ไม่ต้องแค่สองข้อหรอก หากเป็นอะไรที่ข้าทำได้ ข้าตกลงได้ทุกอย่าง”
เฉินซีถึงกับชะงักไป สุดท้ายก็เข้าใจว่ายังไงเขาก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของนางสินะ
เขารีบเค้นสมองอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องการวัตถุเทวะจำนวนมากเพื่อกลั่นสมบัติ นั่นเป็นเงื่อนไขข้อแรก”
“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา” จักรพรรดินีอวี้เชอรับปากทันที ก็แค่วัตถุเทวะ ฐานะอย่างนางหาได้ไม่ยาก
“เงื่อนไขข้อต่อมาคือต้องให้แม่นางน้อยเถี่ยอวิ๋นผิงคอยฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ข้างกายท่าน” พอเห็นว่านางตอบรับรวดเร็ว เขาจึงไม่ลังเลแล้วเอ่ยเงื่อนไขข้อต่อมาออกไปทันที
จักรพรรดินีอวี้เชอมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเอ็นดูนางเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังมากมายนัก ถึงจะได้ติดตามข้างกายข้าก็ตามเถอะ ในระยะเวลาสั้น ๆ คงเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่มาก”
เฉินซียิ้มกล่าว “ข้าเข้าใจดี แต่ข้าให้ความสำคัญกับกำลังใจและนิสัยใจคอนางมากกว่า สักวันหนึ่งนางต้องเขย่าใต้หล้าได้เป็นแน่”
จักรพรรดินีอวี้เชอดูตกอยู่ในภวังค์ความคิด “เจ้าพูดไม่ผิด ข้าตกลง”
เฉินซีป้องมือเคารพกล่าว “ขอบคุณจักรพรรดินี”
“มีเงื่อนไขอย่างอื่นอีกหรือไม่?” จักรพรรดินีอวี้เชอถาม “ว่ากันตามตรง เงื่อนไขสองอย่างนี้ไม่ยากเลย ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง”
เฉินซีส่ายหน้า “มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนยกนิ้วสำหรับท่าน แต่สำหรับข้านับเป็นบุญคุณยิ่งใหญ่แล้ว”
จักรพรรดินีอวี้เชอเผยแววตาชื่นชม คนผู้นี้ปราศจากความเย่อหยิ่งและความหุนหันพลันแล่น ไม่ถ่อมตัวและไม่เร่งรีบเกินไป รู้ว่าควรหยุดตรงไหน และเข้าใจเกียรติและความละอาย นิสัยคนผู้นี้หาได้ยาก มีแต่เขาเทพพยากรณ์เท่านั้นที่จะหาผู้สืบทอดเช่นนี้ได้
“เราไม่มีเวลาแล้ว ข้าจะไปเตรียมวัตถุเทวะให้เจ้าเดี๋ยวนี้ เจ้าก็เอาเวลาตรงนี้ไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ ข้าจะให้อวิ๋นชิงส่งเจ้าไปซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ในอีกหนึ่งเดือนถัดจากนี้” สั่งจบ จักรพรรดินีอวี้เชอก็ลุกขึ้นยืน ถามว่าเขาต้องการวัตถุเทวะอะไรบ้างแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
…
“ผู้อาวุโส นี่ท่าน… จะไปจริง ๆ หรือ?” ภายในเรือนพักอันเงียบสงบ เถี่ยอวิ๋นผิงถามเสียงเบา ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเผยแววลังเลและความเสียใจ
“ข้าสัญญากับจักรพรรดินีอวี้เชอไว้แล้ว การเดินทางครั้งนี้จะเต็มเรื่องอันตราย ไม่เหมาะจะพาเจ้าไปด้วย” เฉินซีรู้สึกฝืนใจอยู่บ้างที่ต้องทำเช่นนี้ จริง ๆ แล้วเขามีความชื่นชมต่อเถี่ยอวิ๋นผิงเล็กน้อย เหมือนเห็นตัวเองในวัยหนุ่ม นางก็หัวดื้อและมีนิสัยเช่นเขา
“ไม่ต้องห่วง ได้บ่มเพาะพลังอยู่ข้างกายจักรพรรดินีอวี้เชอย่อมดีกว่าอยู่กับข้าอยู่แล้ว พอเจ้าบ่มเพาะสำเร็จ จะมาหาข้าเมื่อไหร่ก็ได้”
“เจ้าค่ะ ข้ารับฟังผู้อาวุโส” เถี่ยอวิ๋นผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ในใจก่อนพยักหน้าเอ่ยคำ
เฉินซียิ้ม “เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ข้าจะไปเตรียมตัวแล้ว เจ้าพักผ่อนแล้วบ่มเพาะพลังต่อเถอะ เจ้าอยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องแน่”
ว่าแล้วเฉินซีก็หันหลังเดินจากไป
“ผู้อาวุโส… สักวันข้าจะต้องแข็งแกร่งให้ได้ ถึงตอนนั้นท่านก็ไม่ต้องทิ้งข้าไว้เช่นนี้อีก….” ระหว่างที่มองร่างสูงของเฉินซีเดินหายออกไป เถี่ยอวิ๋นผิงก็ไม่อาจคุมอารมณ์ไว้ได้อีก นางพึมพำเสียงออกมาไม่ทันรู้ตัว น้ำตารื้นขอบ
ในช่วงที่ได้อยู่กับเฉินซี นางนับถืออีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญของนางไปแล้ว นางได้เรียนรู้มากมาย รู้สึกได้ว่าเขาใส่ใจ เป็นห่วง และปกป้องนางในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เป็นเหมือนความฝันอันยากจะคว้าถึงของเด็กยากจนคนหนึ่งที่ไร้ที่พึ่งพิงมาตั้งแต่แบเบาะเช่นนางแล้ว
ทว่าตอนนี้ เหมือนนางรู้สึกว่าตนตื่นจากฝันอย่างไรก็อย่างนั้น….
…
โลหะเย็นเกล็ดมังกร สมุนไพรวิบัติหยกสีหมึก สมุนไพรผสานปราณ หินเปล่งแสงหยก….
ในคืนนั้นเอง จักรพรรดินีอวี้เชอก็ส่งลูกมือไปเตรียมวัตถุเทวะที่เฉินซีต้องการทั้งหมดมา โดยมีทั้งหมดสามร้อยเจ็ดสิบสองอย่าง ทุกชิ้นล้วนเป็นวัตถุเทวะล้ำค่าหายากที่มีมูลค่าสูงจนตาตั้ง
ถึงขั้นที่หากดูจากราคาในตลาด ราคาวัตถุเทวะทั้งหมดคงสูงกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติคุณภาพดีสักชิ้นไปแล้ว!
แต่ในตอนนี้ วัตถุเทวะทั้งหมดกลับมากองอยู่ตรงหน้าเฉินซี เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ นางเป็นจ้าวเอกภพของเอกภพมสิหิม จักรพรรดินีอวี้เชอช่างลงมือรวดเร็วน่ากลัวเสียจริง
หากเขาต้องออกเงินซื้อของพวกนี้เองคงไม่สามารถหามาทั้งหมดได้ภายในวันเดียวแน่
วิ้ง~
เฉินซีหยิบยันต์ศัสตราออกมาอย่างไร้ความลังเล และก็เหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มเริ่มกลั่นวัตถุเทวะทันใด….
วิธีกลั่นยันต์ศัสตราเป็นวิชาลับพิเศษที่รู้กันเพียงในเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น ซึ่งต่างจากสมบัติทั่วไปในใต้หล้า
เพราะมันไม่เพียงมีอำนาจมาก แต่ยังมีความสามารถในการพัฒนาอย่างไรที่สิ้นสุด แค่เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่สมบัติชิ้นอื่นไม่สามารถเทียบได้แล้ว
แต่พร้อมกันนั้น การกลั่นยันต์ศัสตราและพัฒนาคุณภาพของมันก็ต้องใช้วัตถุเทวะจำนวนมาก นับว่ามากกว่าสมบัติชิ้นอื่นหลายเท่า
หากเอาวัตถุเทวะเหล่านี้ไปใช้กลั่นสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ ก็คงสามารถกลั่นออกมาเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางเจ็ดหรือแปดชิ้นได้ด้วยซ้ำ
หากแต่เมื่อเอามาใช้กลั่นยันต์ศัสตรา ของพวกนี้ก็ทำได้แค่พัฒนาอำนาจยันต์ศัสตราให้เหนือกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางระดับหกได้ ด้อยกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงระดับเจ็ดอยู่เพียงเล็กน้อย
หากแต่ผลลัพธ์ที่เฉินซีได้จากการทุ่มทรัพยากรไปขนาดนั้นก็น่าตื่นตามากเช่นกัน เพราะอย่างน้อยอำนาจของยันต์ศัสตราก็มีความได้เปรียบกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางส่วนมาก
อีกทั้งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางนั้นก็มีพลังที่เทวารู้แจ้งวิญญาณสามารถใช้ได้พอดิบพอดี หากอำนาจสูงกว่าเพียงนิดก็จะใช้ได้ยาก
แต่เฉินซีก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มากมาย เขาเพียงคิดว่าหากกลั่นยันต์ศัสตราครั้งนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ก็จะสามารถดึงพลังทั้งหมดของเขาออกมาได้ เขาจะแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยสามในสิบส่วน!
…………….