บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี
บทที่ 1643 เมืองเฟิงฉี
ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงสามในสิบส่วน!
นี่เป็นการพัฒนาที่น่าตกใจอย่างยิ่ง หากเป็นในการต่อสู้จริง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า แม้แต่การเพิ่มขึ้นเพียงเท่าตัวก็มากพอแล้วที่จะพลิกสถานการณ์แล้ว
เช่นเมื่อยามที่เฉินซีต่อสู้กับสวินหยางผิงก่อนหน้านี้ เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเล็กน้อย เนื่องจากยันต์ศัสตราในตอนนั้น ไม่สามารถเทียบกับสมบัติวิญญาณธรรมชาติของสวินหยางผิงได้
ไม่เช่นนั้น ด้วยพลังการต่อสู้ของเฉินซี มันก็เพียงพอแล้วที่จะทุบตีสวินหยางผิงได้อย่างง่ายดาย
ในทำนองเดียวกัน หากเขาขัดเกลายันต์ศัสตราได้สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงสวินหยางผิงที่อยู่อันดับเจ็ดสิบหกใน เทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แม้แต่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าและมีอันดับสูงกว่า เฉินซีก็ไม่กลัวเลย
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ชิ้ง!
หลังจากนั้น สายฟ้าสีดำจำนวนหนึ่งก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกระแสน้ำ กลายเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์สีดำธรรมดา ๆ ที่ดูเรียบง่ายและสะอาดหมดจด
อักขระยันต์เลือนรางปกคลุมอยู่หนาแน่น ทำให้ตัวกระบี่ดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
ครืน!
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถึงยันต์ศัสตราจะลอยอยู่บนท้องฟ้าและไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แต่พื้นที่รอบ ๆ ก็พังทลายลงเป็นชิ้น ๆ ทีละน้อย ก่อนที่จะกลายเป็นระลอกคลื่นที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเฉินซีจะไม่ได้ใช้ยันต์ศัสตรา แต่เพียงพลังของตัวกระบี่เองก็เกินพอที่จะบดขยี้พื้นที่และทำลายองค์ประกอบทั้งห้าแล้ว!
นี่คือยันต์ศัสตราหลังจากที่ถูกขัดเกลาอีกครั้ง
พลังของมันน่ากลัวมากจนเกินกว่าที่เฉินซีคาดหวังไว้เสียอีก นี่มันเทียบกับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับสูงเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับสูงในมือของผู้ที่มีขอบเขตที่สูงกว่า
โอม!
เฉินซีเปิดปาก จากนั้นก็กลืนยันต์ศัสตราที่เปลี่ยนไปเป็นอักขระยันต์รูปกระบี่ที่มีขนาดเท่ากำปั้นของทารกเข้าไป
เมื่อเขาขัดเกลายันต์ศัสตราในครั้งนี้ เฉินซีไม่เพียงแต่ใช้วัสดุศักดิ์สิทธิ์ที่หายากจนหมด แต่เขายังใช้ยันต์เทวะอนันต์ต่าง ๆ ที่เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนากฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ตนครอบครอง และเปลี่ยนพวกมันให้เป็นยันต์เทวะหลากหลายรูปแบบ ท้ายที่สุด เขาก็จารึกทั้งหมดนั้นลงบนยันต์ศัสตรา
ทำให้ยันต์ศัสตราเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธรูปแบบต่าง ๆ ตามความคิดของเฉินซีได้ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้จำกัดและไม่อาจคาดเดาพลังได้
“ไม่เลว แค่พละกำลังในยามนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติได้แล้ว” ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี
จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างสมบัติวิญญาณธรรมชาติกับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ หากมองในแง่ของความสามารถในการรุกเพียงอย่างเดียว ยันต์ศัสตราก็ไม่ได้ด้อยกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติมากนัก
แน่นอนว่ามันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หากนำไปเปรียบเทียบกับกระบี่มลทินอเวจีหรือกระบี่พิฆาตฟ้า ที่อยู่ในมือของจักรพรรดินีอวี้เชอ
หลังบ่มเพาะมาถึงระดับเดียวกับเฉินซี ความแข็งแกร่งของตนเองถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนพลังของสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ก็นับเป็นเพียงสิ่งสนับสนุนในการต่อสู้เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครสามารถพึ่งพาสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ได้อยู่ตลอดเวลา เพราะมันจะทำให้ลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไปหมด
ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าสมบัติวิญญาณประดิษฐ์จะทรงพลัง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกฝน ความเข้าใจในเต๋า และประสบการณ์การต่อสู้ของตัวเองแล้ว… มันก็เป็นเพียงแหล่งความแข็งแกร่งภายนอก และจัดเป็นวิธีการต่อสู้แบบหนึ่งเท่านั้น
“ยันต์ศัสตราของเขาเทพพยากรณ์ สมควรได้รับชื่อเสียงจริง ๆ” ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้น
“องค์จักรพรรดินี” เฉินซียืนขึ้นและประสานมือคำนับ
“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” จักรพรรดินีอวี้เชอถาม
“ถึงเวลาลงมือแล้ว” เฉินซีพยักหน้า เพราะมันได้ถึงเวลาออกเดินทางที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว
“นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ข้ารวบรวมไว้ได้ในตอนนี้ ระหว่างทางเจ้าสามารถตรวจสอบมันดูได้ บางทีมันอาจช่วยได้เมื่อเจ้าเข้าไปในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่” จักรพรรดินีอวี้เชอส่งแผ่นหยกให้ แล้วเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว “มาเถิด อวิ๋นชิงรออยู่นานแล้ว”
เฉินซีไม่ได้สนใจที่จะดูแผ่นหยกในมือ และรีบตามนางไป
…
ด้านนอกตำหนักเมฆาวารี
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่ว เมื่อการชุมนุมล่าดาราสิ้นสุดลง ศิษย์ที่เข้าร่วมทั้งหมดก็จากไป และสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่สภาพสงบสุขอีกครั้ง
ในยามนี้ ชายชราคนนั้น อวิ๋นชิงกำลังยืนรออยู่ที่หน้าตำหนักเมฆาวารี
เฉินซียิ้มและพยักหน้าเพื่อแสดงว่าตนเข้าใจ
“อวิ๋นชิง ข้าขอฝากเจ้าด้วย” จักรพรรดินีอวี้เชอมองไปทางอวิ๋นชิง “จำไว้ว่าเจ้าต้องส่งเฉินซีไปอย่างปลอดภัย”
“ขอรับ” อวิ๋นชิงพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่เฉินซีรู้ดีว่าเขาสามารถมั่นใจ ต่อความยึดมั่นในคำสั่งของชายชราผู้นี้ได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ควรออกเดินทางได้แล้ว อวิ๋นชิงจะรอการกลับมาอย่างมีชัยของเจ้า อยู่นอกซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่” ดวงตาที่กระจ่างใสของจักรพรรดินีอวี้เชอจับจ้องมาที่เฉินซี “ดูแลตัวเองด้วย”
เฉินซีประสานมือ จากนั้นก็ติดตามอวิ๋นชิงไป
ฟุ่บ!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง รถม้าสีทองแดงก็พุ่งทะลุหมู่เมฆ ตัดผ่านมิติหายไปสู่ส่วนลึกของจักรวาลทันที
“สาวน้อย เรากลับกันเถอะ” หลังจากยืนอยู่ที่นั่นและเฝ้ามองอยู่ครู่ใหญ่ จักรพรรดินีอวี้เชอก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เถี่ยอวิ๋นผิงยืนอยู่อีกด้าน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ
“เจ้าค่ะ” เถี่ยอวิ๋นผิงก้มหน้าลงและตอบรับ จากนั้นนางก็ไม่ส่งเสียงอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดินีอวี้เชอไม่ใช่คนธรรมดา ที่ต้องมองก่อนจึงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเถี่ยอวิ๋นผิง
ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีอวี้เชอคิดสิ่งใดอยู่ แต่ทันใดนั้น นางก็ถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตา นางตบบ่าเถี่ยอวิ๋นผิงแล้วพูดว่า “สาวน้อย เมื่อวันหนึ่งเจ้าไม่สนใจข้าอีกต่อไป ยามนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดและเฉยชาที่สุด”
ทันทีที่พูดจบ นางก็มือไพล่หลัง จากนั้นก็หันหลังจากไป รูปลักษณ์อันสง่างามของนางในยามนี้ดูโดดเดี่ยวยิ่ง
เถี่ยอวิ๋นผิงตกตะลึง จากนั้นนางนก็เงยหน้าขึ้นเพื่อมองด้านหลังของจักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ และคิดกับตัวเอง หรือบางทีตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นนาง ก็มีความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมเลือนได้เช่นกัน?
…
ฟุ่บ!
ทิวทัศน์สับเปลี่ยนยามรถม้าสีทองแดงแล่นผ่านไป กวางหยกนิลทั้งสี่ที่ดึงรถม้านั้น ทั้งพิเศษและงดงามมาก
รถม้าคันนี้เป็นของจักรพรรดินีอวี้เชอ มันถูกเรียกว่ารถม้าอาชาเขานิล และเทียบได้กับรถม้าเสาวคนธ์เมฆาของจักรพรรดิโกวเฉินเลยทีเดียว
รถม้าคันนี้สามารถเดินทางผ่านดาราจักรนับพัน และสำรวจพื้นที่นับสิบได้ภายในวันเดียว ความเร็วของมันรวดเร็วมากจนน่าทึ่ง อย่างน้อยที่สุด ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเฉินซี ก็ไม่มีความสามารถเคลื่อนย้ายเทียบกับความเร็วของรถม้าคันนี้ได้เลย
อวิ๋นชิงมุ่งความสนใจไปที่การบังคับรถม้า ในขณะที่เฉินซีนั่งอยู่คนเดียวด้านในและกำลังอ่านแผ่นหยกที่จักรพรรดินีมอบให้ก่อนหน้านี้
แผ่นหยกนี้บรรจุข้อมูลทั่วไปภายในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เอาไว้ ทำให้เฉินซีค้นพบว่าที่ตั้งของซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่นี้ จริง ๆ แล้วอยู่นอกขอบชายแดนด้านตะวันออกสุดของแดนเทพโบราณ!
หากจะกล่าวอย่างจริงจัง ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่นั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแดนเทพโบราณ และอยู่ใน ‘แดนไร้นาม’ ซึ่งไร้ขอบเขต
แดนไร้นามเป็นดินแดนที่ยังไม่ถูกสำรวจ มหาอำนาจบางส่วนเองก็จับทาสเทพมา และส่งพวกเขาไปยังแดนไร้นามเหล่านี้ เพื่อสำรวจขุดค้นดินแดนและทรัพยากรที่มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เฉินซีสงสัยก็คือ ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่นั้นถูกค้นพบโดยผู้เยี่ยมยุทธ์ของแดนเทพโบราณ แล้วเหตุใดจึงไม่มีใครเข้าครอบครองมัน?
ในไม่ช้า เฉินซีก็ได้รับคำตอบจากแผ่นหยก เหตุผลก็คือ สภาพแวดล้อมภายในซากโบราณนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยมิติแปลก ๆ และลึกลับมากมายที่อันตรายมาก ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน มีมหาอำนาจมากมายพยายามจะยึดครองมัน แต่ก็ต้องกลับคืนมามือเปล่า รวมไปถึงมหาอำนาจเก่าแก่บางส่วนของเอกภพจักรวรรดิด้วย!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อย คือแม้ว่าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่จะน่ากลัว แต่มันจะเข้าสู่ช่วงที่คล้ายกับการ ‘จำศีล’ หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ อันตรายภายในนั้นจะลดลงอย่างมาก และผู้เยี่ยมยุทธ์ก็จะสามารถเข้าไปสำรวจได้อย่างปลอดภัย
“บางทีเมื่อไปถึงที่นั่น ข้าอาจจะสามารถค้นหาได้ว่า ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เกี่ยวข้องกับอักษรโบราณบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากหรือไม่… ” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็เก็บแผ่นหยกนั้นไป และจมลงในความคิด
เขาไม่มั่นใจในภารกิจนี้มากนัก ท้ายที่สุด จากสิ่งที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว ผู้คนทั้งหมดที่เข้าไปในซากโบราณในครั้งนี้ล้วนเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณระดับสูง และเกือบทั้งหมดล้วนมาจากขุมอำนาจเก่าแก่ของเอกภพจักรวรรดิ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า หลังจากเข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขากับอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ปะทุขึ้น
ดังนั้นเฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
กงเหย่เจ๋อฟู… เฉินซีนึกถึงชื่อนี้อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า ตระกูลกงเหย่ที่กงเหย่เจ๋อฟูอยู่นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายอำนาจเทวะอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่แม้แต่สมาชิกคนสำคัญมากมายจากจระกูล ได้เข้ามารับตำแหน่งที่สำคัญต่าง ๆ ในนิกายอำนาจเทวะ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีอำนาจมากมายนัก
นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวว่า การจัดการกับกงเหย่เจ๋อฟูนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเฉินซี
สิ่งนี้ยังช่วยให้ชายหนุ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะในแดนเทพโบราณนั้นทรงพลังเพียงใด อาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ทั่วโลก
สิ่งเดียวที่ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเฉินซี คือความสัมพันธ์ระหว่างสามภพและแดนเทพโบราณ ไม่ว่าจะเป็น เขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา หรือนิกายอำนาจเทวะ พวกเขาต่างก็ลงหลักปักฐานในแดนเทพโบราณมานานแล้ว แล้วเหตุใดพวกเขาถึงให้ความสำคัญกับสามภพขนาดนั้น?
หากสามภพเป็นเหมือน ‘ภพที่ต่ำกว่า’ ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของแดนเทพโบราณดูถูกเหยียดหยาม แล้วทำไมพวกเขาถึงมีความสัมพันธ์ที่แยกกันไม่ออกกับทั้งสามนิกายที่ยิ่งใหญ่ได้กัน?
ทั้งหมดนี้มีเหตุผลเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน!
เฉินซีมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ปัจจุบัน เขาก็ยังคงไม่สามารถให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงได้
…
ครึ่งเดือนต่อมา จู่ ๆ เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ
ในตอนนี้ รถม้าอาชาเขานิลที่ก็หยุดลงกะทันหัน ในเวลาเดียวกัน เสียงแก่ชราและไม่แยแสของอวิ๋นชิงก็ดังมาจากด้านนอก
“คุณชายเฉินซี เรามาถึงเมืองเฟิงฉีแล้ว”
“มาถึงแล้ว?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินลงจากรถม้า แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป มันใหญ่โตและงดงาม ราวกับอาณาจักรที่สร้างขึ้นบนท้องฟ้า
นี่คือเมืองเฟิงฉี เมืองที่ถูกสร้างขึ้นที่บนชายแดนสุดขอบตะวันออกของแดนเทพโบราณ ที่คงอยู่มานานจนไม่อาจนับ
ไกลออกไปทางตะวันออกของเมืองเฟิงฉี คือมหาสมุทรอันเลื่องชื่อที่กล่าวกันว่า มีซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่อยู่ภายในนั้น ‘มหาสมุทรสุสานเทวะ’!
………………..