บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1644 มรสุมก่อตัว
บทที่ 1644 มรสุมก่อตัว
เมืองเฟิงฉี
เมืองโบราณซึ่งสร้างขึ้นบนยอดเมฆาเหนือท้องนภาแห่งนี้กว้างใหญ่สุดขั้ว มันเรืองรองทองอร่าม งดงามตระการตา
นี่คือสถานที่อาศัยของเหล่าผู้บ่มเพาะระหว่างการสำรวจ เป็นเมืองเพียงหนึ่งเดียว ณ สุดชายแดนของแดนเทพโบราณ
มหาสมุทรสุสานเทวะอยู่ถัดออกไป ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของแดนเทพโบราณอีกต่อไป
เพราะมหาสมุทรสุสานเทวะแตกต่างจากมหาสมุทรทั่วไป มันทอดยาวไร้ขอบเขตสู่แดนดินอันไม่อาจรับรู้ ซึ่งก็คือแดนไร้นาม!
หากจะบอกว่าหนึ่งสมุทรนี้กว้างใหญ่เกินดาราจักรก็ไม่ใช่โอ้อวดเกินจริง ถึงขนาดที่ท่ามกลางห้วงสมุทรนี้ ยังพบดวงดาราเรืองรองมากมาย
กระทั่งถึงขนาดที่มีข่าวลือว่าในมหาสมุทรสุสานเทวะไม่ได้มีเพียงสังหารเทพ แต่มีดาราจักรนับไม่ถ้วนฝังอยู่ด้วยเช่นกัน!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นโดยไร้กังขาว่ามหาสมุทรสุสานเทวะไพศาลเพียงไร มันเกินคาดฝันอย่างแน่แท้ และเพราะเช่นนี้เอง อาณาเขตของแดนเทพโบราณจึงชะงักลงอย่างเฉียบพลันที่นี่ ไม่อาจขยับขยายได้อีก
เหตุผลเป็นเพราะมหาสมุทรสุสานเทวะหยุดมันไว้
ขณะเดียวกัน เมืองเฟิงฉีซึ่งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรสุสานเทวะก็ครึกครื้นขึ้นมาเพราะข่าวนี้
ทุกวันมีผู้บ่มเพาะจากเอกภพต่าง ๆ เดินทางมาไม่เว้นว่าง รอคอยยามที่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่หวนปรากฏสู่โลกา เพื่อรอโอกาสของพวกตนที่จะได้สู้แย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิ!
…
“คุณชายเฉินซี มหาสมุทรสุสานเทวะจะเข้าสู่ช่วงสงบเงียบในครึ่งเดือนจากนี้ ยามนั้นเป็นโอกาสดีที่สุดในการไปยังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ดังนั้นในชั่วขณะนี้ ผู้บ่มเพาะซึ่งตั้งใจไปสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ทำได้เพียงรอคอยอยู่ในเมืองเฟิงฉี” อวิ๋นชิงเก็บรถม้าอาชาเขานิลไปแล้วนำทางเฉินซีเข้าสู่เมืองเฟิงฉีพลางอธิบายสถานการณ์ที่นี่
เฉินซีฟังอย่างเงียบเชียบ สายตาพินิจไปรอบ ๆ บ่อยครั้ง
นครลอยฟ้าแห่งนี้แตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันที่เขาเคยเห็นในอดีต มันยิ่งใหญ่กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นถนนหรืออาคารล้วนให้บรรยากาศเก่าแก่ มีร่องรอยแห่งเวลา การผันผ่านแห่งประวัติศาสตร์
คนทั้งหมดบนถนนล้วนเป็นผู้บ่มเพาะ ทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งทุกขนาดและรูปแบบจากเผ่าอื่น ๆ
แต่ผู้ที่เห็นได้มากที่สุดคือ เหล่าทาสเทพ!
เพียงตลอดชั่วเวลาที่เขาเดินเข้าสู่เมืองมากับอวิ๋นชิง เขาเห็นเรือดังกล่าวมาไม่ต่ำกว่าร้อยลำ และทาสเทพนับไม่ถ้วนซึ่งถูกส่งตัวมาที่นี่ เหตุการณ์นี้ชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ทาสเทพทั้งหมดนี้มาจากภพเบื้องล่าง ถูกกองกำลังจากดาราจักรต่าง ๆ ในแดนเทพโบราณจับตัวมา หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกบังคับล่ามตรวนส่งมาที่นี่ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ทาสเทพเหล่านี้มุ่งหน้าไปสำรวจพื้นที่และทรัพยากรใหม่ ๆ ที่แดนไร้นาม” อวิ๋นชิงเอ่ยเสียงเรียบ “ปกติแล้ว ทาสเทพเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในแดนไร้นาม แม้จะมีบางคนโชคดีพอรอดมาได้ พวกเขาก็มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นเพียงทาสที่ถูกกองกำลังใหญ่ใช้งานจนวันตาย”
เฉินซีขมวดคิ้ว ขณะที่ความรู้สึกอึดอัดใจปรากฏขึ้นเจือจางในอก
เขาตระหนักชัดเจนว่าหากคราก่อนตนไม่แข็งแกร่งพอ คงถูกตระกูลอี้จับตัวเป็นทาสเทพไปนับแต่เข้าสู่แดนโลกาวินาศแล้ว
ดังนั้นยามเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ประกอบกับคำอธิบายของอวิ๋นชิง เฉินซีจึงรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน ทั้งหนักอึ้งและรังเกียจ
ทว่าก็ตระหนักชัดเจนว่าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกซอกมุมในแดนเทพโบราณ และสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแดนเทพโบราณ พวกเขาเห็นเหตุการณ์เหล่านี้จนชาชิน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งใดด้วยตนเองได้เลย
แล้วอวิ๋นชิงซึ่งยืนอยู่ข้างเขาไม่ใช่ทาสเทพของจักรพรรดินีอวี้เชอเหมือนกันหรือไร?
บางทีสิ่งเดียวที่ทำให้อวิ๋นชิงไม่เหมือนทาสเทพซึ่งถูกส่งมายังเมืองเฟิงฉีเหล่านั้นคงเป็นโชคชะตาอันแตกต่างโดยสิ้นเชิง
…
หลังจากนั้น เฉินซีก็หมดอารมณ์เที่ยวสำราญในเมืองเฟิงฉี ให้อวิ๋นชิงนำไปยังหนึ่งสถานที่นาม ‘หอกำเนิดสวรรค์’ และจองเคหาสองแห่ง ก่อนจะรวมตัวกันที่โถงชั้นหนึ่ง สั่งอาหารเครื่องดื่มมาคุยเล่นกัน
หอกำเนิดสวรรค์เป็นภัตตาคารขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเฟิงฉี กล่าวกันว่าเจ้าของมันมีอำนาจเหนือธรรมดาในเอกภพจักรวรรดิ ดังนั้นจึงไร้ผู้ใดกล้ามาก่อเรื่องที่นี่นับแต่ก่อตั้งมา
ขณะนี้ โถงชั้นแรกเต็มไปด้วยแขกเหรื่อ พวกเขาล้วนเป็นผู้บ่มเพาะในอาภรณ์หรูหรา ท่าทางไม่ธรรมดา
เป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่าผู้แสวงสุขที่นี่ได้จะเป็นตัวตนทั่วไป เนื่องจากแค่ราคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปจ่ายไหวแล้ว
โถงชั้นหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่อย่างยิ่ง เพราะเหล่าแขกทุกโต๊ะต่างกำลังหารือเรื่องซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่กันทั้งสิ้น
“สถานการณ์แย่นิดหน่อยนะ จากที่ข้าทราบ แค่วันนี้ลำพังก็มีมหาเทวาวิญญาณจากเอกภพจักรวรรดิมาถึงที่นี่อีกสามคน ซึ่งก็คืออวี๋ชิวจิงจากตระกูลอวี๋ คุนอู๋ชิงจากตระกูลคุนอู๋ และจวนอวี๋สุ่ยจากตระกูลจวนอวี๋ พวกเขาอยู่ในลำดับที่สิบหก สิบเก้าและยี่สิบสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณตามลำดับ!”
“นั่นสินะ หากรวมมหาเทวาวิญญาณเก้าคนที่มาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนไปด้วย ในเมืองเฟิงฉีก็มีมหาเทวาวิญญาณมารวมตัวกันสิบสองคนแล้ว ในอดีตเคยมีเรื่องหายากเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?”
“เฮ้อ ที่พวกเจ้าพูดถึงมันก็แค่มหาเทวาวิญญาณที่แสดงตัวแล้ว เรายังไม่รู้เลยนะว่าในที่ลับยังมีมหาเทวาวิญญาณอีกมากมายเพียงใด!”
“ข้ารู้สึกท้อแท้นัก อัจฉริยะไร้เทียมทานซึ่งเดิมยากพานพบมารวมตัวกันในเมืองเฟิงฉีช่วงนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าการประชันจะป่าเถื่อนเพียงไร เราทั้งหลายคงยากเย็นแสนเข็ญหากจะหาประโยชน์ใด ๆ ได้จากซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่แล้ว”
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า ข้าล่ะสงสัยจริงว่าไอ้บ้าสมควรตายผู้ใดเอาเรื่องนี้มาปากสว่าง ทำให้ผู้บ่มเพาะทั่วเมืองเฟิงฉีเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันคืน เป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์คงยิ่งเสียเปรียบสำหรับเทวารู้แจ้งวิญญาณทั่วไปอย่างเราทุกขณะ”
“นั่นสิ เรื่องน่าฆ่าที่สุดก็คือกว่ามหาสมุทรสุสานเทวะจะเข้าสู่ช่วงสงบนิ่งก็ครึ่งเดือนหน้า หากไม่ใช่เพราะเช่นนั้น ข้าคงออกเดินทางสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ไปนานแล้ว มีหรือจะมานั่งรออย่างกระสับกระส่ายจนใจที่นี่”
“ฮ่า ๆ! ข้าลืมบอกไปว่าจากที่รู้ กงเหย่เจ๋อฟูจากตระกูลกงเหย่ก็จะมาในวันนี้เช่นกัน!”
“อะไรนะ? กงเหย่เจ๋อฟูมาจริง ๆ หรือ?”
“กงเหย่เจ๋อฟู….”
เมื่อนามของกงเหย่เจ๋อฟูถูกกล่าวถึง เสียงหารือในชั้นแรกก็เอะอะขึ้นมาทันที ไม่ขาดเสียงตะลึงประหลาดใจกันเลย
เฉินซีได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน และอดทอดถอนใจในความคิดไม่ได้ แค่สวินหยางผิงคนเดียวก็ก่อปัญหาให้ผู้บ่มเพาะทั้งมวลจากเอกภพมสิหิมตกตะลึงกันได้แล้วในกาลก่อน หากพวกเขามาเห็นเช่นนี้ จะรู้สึกเช่นไรกันหนอ?
ใช่แล้ว ในเมืองเฟิงฉีขณะนี้มีมหาเทวาวิญญาณมารวมตัวกันมากมายนัก! มันเกินความคิดฝัน และน่าจะทำให้เกิดเสียงฮือฮาเกินธรรมดาได้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดในแดนเทพโบราณ
ขณะนี้ อัจฉริยะอันเจิดจรัสทั้งหลายทยอยกันมารวมตัว ณ ที่นี่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยหากจะไร้เสียงฮือฮา
ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่ารากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเย้ายวนเพียงไร เพราะกระทั่งมหาเทวาวิญญาณยังไม่อาจปฏิเสธมันลง
อวี๋ชิวจิง คุนอู๋ชิง จวนอวี๋สุ่ย… เฉินซีครุ่นคิดถึงข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาในใจเงียบ ๆ
ในความเห็นของเฉินซี มีเพียงยอดฝีมือซึ่งมีศักยภาพเป็นมหาเทวาวิญญาณเหมือนกันเท่านั้นที่ทำให้เขาสนใจจริงจังได้
เช่นสามนามอันสื่อถึงยอดฝีมืออันดับสิบหก สิบเก้าและยี่สิบสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเหล่านี้
เพียงลำดับของพวกเขาลำพังก็ชี้ชัดแล้วว่าความแข็งแกร่งร้ายกาจเพียงใด และพวกเขาก็เป็นผู้โดดเด่นแม้กระทั่งในหมู่มหาเทวาวิญญาณด้วยกัน
แผ่นหยกที่จักรพรรดินีอวี้เชอให้มามีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสามบุคคลนี้สลักไว้เช่นกัน
กล่าวได้ว่าทั้งสามล้วนมาจากตระกูลโบราณในเอกภพจักรวรรดิ และภูมิหลังของทุกคนล้วนชวนตะลึงยิ่ง
ยามประชันกับบุคคลเหล่านี้ อีกฝ่ายกระทั่งต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาว่าจะล่วงเกินพวกเขาหรือไม่ และกองกำลังเบื้องหลังตัวตนเหล่านี้จะมุ่งร้ายใส่พวกเขาหรือไม่
อวิ๋นชิงเว้นช่วงเล็กน้อย จึงกล่าวต่อ “อีกอย่าง ด้วยภูมิหลังของเจ้า ไม่จำเป็นต้องกลัวกองกำลังเหล่านี้เลย”
ความนัยนั้นคือ เฉินซีเป็นศิษย์เขาเทพพยากรณ์ผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องนึกถึงผลจากการล่วงเกินคนเหล่านี้เลยสักนิด
เฉินซีอดผงะไปไม่ได้ เขาดูเหมือนนิ่งเงียบเหม่อลอยในภวังค์ความคิด เพราะเพียงคำพูดนี้ก็ทำให้เกิดความเข้าใจถึงอิทธิพลอำนาจของเขาเทพพยากรณ์ในแดนเทพโบราณมากขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน เสียงเอะอะก็พลันดังขึ้นจากนอกหอกำเนิดสวรรค์ จากนั้นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีก็เดินเคียงกันเข้ามาในโถงชั้นแรก
ฝ่ายบุรุษรูปร่างสูง มีดวงตาสีม่วง เส้นผมสีเงิน รูปลักษณ์หล่อเหลาไร้คู่เปรียบ สวมชุดคลุมสีดำ ผิวขาวเนียนดุจหยก ยามก้าวเดินเข้ามาก็ให้บรรยากาศคมกริบกดดันตามธรรมชาติ น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ชายผู้นี้ เสียงเอะอะในโถงพลันเงียบกริบเช่นป่าช้า ขณะที่สีหน้าคนทั้งหลายเผยความตื่นตะลึง
เฉินซีก็อดชำเลืองมองมาไม่ได้ น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
แต่เมื่อสายตาของเขาเลื่อนผ่านบุรุษผู้นั้นไปยังสตรีข้างกายเขา สายตาของเขาพลันชะงักค้างกับที่ แล้วม่านตาของเขาก็หดตัว ร่างเกร็งกับที่กะทันหัน