บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1645 ทุกข์ทนลึกล้ำ
บทที่ 1645 ทุกข์ทนลึกล้ำ
เพราะการมาถึงของชายหญิงคู่นี้ บรรยากาศทั่วทั้งโถงจึงเงียบสงัดลงเฉียบพลัน
สายตาทุกคู่พุ่งมารวมกันที่ชายหนุ่มผมสีเงินตาสีม่วง สีหน้าของพวกเขาแฝงความตะลึงไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกัน ทันทีที่สายตาของเฉินซีมาหยุดที่สตรีผู้นั้น เขาก็ไม่อาจเลื่อนสายตาไปที่อื่นได้อีก
ม่านตาของเขาหดตัว หัวใจสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งร่างของเขายังเกร็งค้าง ตะลึงลานกับที่
สตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีดำ ผิวพรรณเนียนนุ่มเปล่งปลั่ง เรือนผมดกดำรวบมวยปักปิ่นไม้ เผยรูปหน้ากลมจิ้มลิ้มกระจ่างใส
นางมีกิริยาสง่างาม รูปร่างเพรียวบาง เพียงยืนเฉยก็เผยความงามสงบเงียบเป็นธรรมชาติ ดุจบัวหิมะอันบริสุทธิ์บนยอดผา
เจิ้นหลิวชิง!
เฉินซีสาบานได้ว่าสตรีที่เขาเห็นในขณะนี้เป็นเจิ้นหลิวชิงไม่ผิดแน่ เพราะรูปลักษณ์และกิริยาของนางยังคงเรียบง่ายสง่างามเหมือนเช่นอดีต
แต่เฉินซีไม่คาดเลยว่าหลังจากกันไปหลายปี พวกเขาจะได้พบกันอีก ณ เมืองเฟิงฉีในแดนเทพโบราณ นอกจากจะทำให้เขาตะลึงไม่ทันตั้งตัว ยังรู้สึกดั่งต้องอัสนีฟาด ทำให้เขาแน่นิ่งอยู่กับที่
กาลก่อนยามพวกเขามุ่งหน้าสู่แดนภวังค์ทมิฬจากสมรภูมิบรรพกาล เจิ้นหลิวชิงถูกมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ผู้เป็นศิษย์พี่ของนางพาตัวไป และจากนั้นมา ไม่ว่าจะเป็นในแดนภวังค์ทมิฬหรือหลังมาถึงภพเซียน เฉินซีก็ไม่เคยพบนางอีกเลย
ในอดีต เขาค้นพบเรื่องเกี่ยวกับหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดในซากโบราณสถานแรกกำเนิด และทราบว่าเจิ้นหลิวชิงกับอาจารย์ของนาง นักพรตเต๋าเซวี่ยอาศัยอยู่ที่นั่น ทว่ายามไปหานาง กลับได้ทราบจากมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ว่าเจิ้นหลิวชิงและอาจารย์ของพวกเขา นักพรตเต๋าเซวี่ยออกเดินทางไปนานแล้ว
ภายหลัง เมื่อเขาได้เป็นเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เฉินซีก็ยังไม่ลดละความพยายามตามหาเจิ้นหลิวชิง โชคไม่ดีที่นางเหมือนกับระเหยหายจากโลกหล้า ไม่อาจหาพบได้เลย…
ทว่ายามนี้ นางกลับมาปรากฏตัวในเมืองเฟิงฉี แล้วเฉินซีจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?
แต่อึดใจต่อมา อารมณ์เหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความลิงโลดตื่นเต้น เพราะเฉินซีดีใจยิ่งที่ได้พบเจิ้นหลิวชิงที่นี่
สายตาของเขาไม่ได้เยือกเย็นอีกต่อไป มันเจือความยินดีอย่างไม่อาจอำพราง
ขณะเดียวกันนั้นเอง เจิ้นหลิวชิงก็เหมือนสังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน และหันศีรษะมาทางเฉินซี ทว่านางทำเพียงชำเลืองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไป เหมือนไม่รู้จักเฉินซีเลยสักนิด
เฉินซีอดผงะไปเล็กน้อยไม่ได้ หรือนางจะจำข้าไม่ได้?
บรรยากาศในโถงเดิมทีเงียบดุจป่าช้า ดังนั้นเมื่อจู่ ๆ เฉินซีก็ลุกขึ้นปริปากทักทายเจิ้นหลิวชิง จึงกลายเป็นที่สนใจจากทั่วทิศทันที
ขณะเดียวกันนั้น ดวงตาของชายหนุ่มผมสีเงินก็หรี่ลง เขาเหลือบมองสตรีข้างกายตน แล้วจึงเหลือบมองเฉินซีซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปอย่างเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ
ขณะนี้ อวิ๋นชิงก็ตะลึงไปเช่นกัน แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฉินซีทักทายเพียงสตรีชุดดำ เขาก็ผ่อนหายในโล่งอก ขณะเดียวกัน เขาก็อดรู้สึกสับสนเล็กน้อยไม่ได้ เจ้าเด็กนี่รู้จักนางหรือ?
“คุณชายท่านนี้ เหมือนจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าคือผู้อื่นหรือไม่?” สตรีชุดดำขมวดคิ้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มกระจ่างใสยังคงเรียบเฉยเช่นเมื่อครู่
ข้าจำผิด คิดว่านางคือผู้อื่น? สีหน้าของเฉินซีชะงัก เขาจ้องมองเจิ้นหลิวชิงอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “แม่นางเจิ้น ล้อกันเล่นอยู่หรือไม่?”
“ล้อเล่น?” คิ้วทรงใบหลิวของหญิงสาวยิ่งขมวดแน่น นางกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “คุณชาย ข้าไม่ล้อเล่นกับคนที่ข้าไม่รู้จักหรอก”
หัวใจของเฉินซีร่วงวูบ เขาประหลาดใจและตะลึงเล็กน้อย หรือข้าจะทักนางเป็นเจิ้นหลิวชิงผิดจริง ๆ?
ขณะเดียวกัน สายตาของทุกผู้ในโถงซึ่งมองมายังเฉินซีก็เปลี่ยนจากแค่ประหลาดใจเป็นเคลือบแคลงเล็กน้อยเช่นกัน เป็นสีหน้าประหลาดพิกล
“เจ้ารู้ชื่อของนางหรือ?” ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล เจือเสน่ห์เฉพาะตัว
พร้อมกันนั้น นางก็หันหลังตั้งใจจาก
“รอเดี๋ยวสิ ข้าว่าสหายเต๋าท่านนี้รู้จักเจ้าดีเอาการเลยนะ” ชายหนุ่มรั้งแขนหญิงสาวไว้พลางกล่าวยิ้ม ๆ
ร่างของสตรีผู้นั้นชะงักค้าง ตั้งใจจะสะบัดให้หลุด ทว่าสุดท้ายก็หยุดมือ แม้สีหน้าของนางจะมืดทะมึนลงเล็กน้อย
เฉินซีเลิกคิ้ว เขาเหลือบมองชายหนุ่มก่อนจะเบนไปทางหญิงสาว จึงกล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิด เช่นนั้นแม่นางท่านนี้ก็เป็นเจิ้นหลิวชิงสหายข้าแน่”
มุมปากของชายหนุ่มพลันยกยิ้มบาง เหลือบมองเฉินซีด้วยรอยยิ้มเย้าหยอก “เจ้าพูดถูก นางชื่อเจิ้นหลิวชิงจริง ๆ”
ทุกคนในโถงได้ยินเช่นนี้ต่างตะลึงจังงัง หรือเจ้าเด็กนี่จะรู้จักสตรีผู้นั้นจริง ๆ?
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ไยสตรีผู้นั้นจึงทำเหมือนไม่รู้จักเขากัน?
ความคิดเช่นนี้ปรากฏในใจคนทุกผู้อย่างช่วยไม่ได้ หรือระหว่างสตรีผู้นั้นกับเจ้าเด็กนั่นจะมีความหลังบางอย่างกัน? ยามนี้เมื่อนางพบคนใหม่ ก็ตั้งใจทำเหมือนไม่รู้จักหรือ?
ทันใดนั้น ทุกคนต่างตื่นเต้น พวกเขาตระหนักชัดเจนว่าตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หากเจ้าเด็กนั่นเป็นถ่านไฟเก่าของสตรีข้างกายชายหนุ่มผู้นั้นจริง เช่นนั้นก็เป็นละครที่น่าดูโดยแท้
ขณะนี้ ความตื่นเต้นยินดีในใจเฉินซีเย็นเยียบลง โดยเฉพาะเมื่อเห็นเจิ้นหลิวชิงทำเหมือนไม่รู้จักเขาเลย หัวใจพลันเย็นเยือกลงเล็กน้อย ประหนึ่งถูกน้ำเย็นเฉียบสาดใส่
เขาไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปดังที่เห็น และไม่คาดฝันว่าเจิ้นหลิวชิงจะไร้หัวใจเพียงนี้
ในอดีตนางไม่ใช่เช่นนี้เลย!
เพราะถึงอย่างไร ยามพวกเขาอยู่ในราชวงศ์ซ่ง นางยังยอมทิ้งโอกาสสู้กับชิงซิ่วอี้ในการชุมนุมดาวรุ่งเพื่อเขา
ทว่านางกลับทำเหมือนไม่รู้จักเขาเลย….
ยิ่งคิด หัวใจยิ่งปั่นป่วน สัมผัสความเจ็บปวดอย่างไม่อาจตีความ ทำให้สีหน้าของเขาค่อย ๆ หมองลง
เขาไม่ใช่คนมากรัก แต่แค่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสายสัมพันธ์ฉันมิตรมาเสมอ ไม่ต้องพูดถึงว่าความสัมพันธ์ของเขากับเจิ้นหลิวชิงก้าวข้ามขอบเขตความธรรมดาไปเนิ่นนานแล้ว
ยามนี้ หลังจากได้พานพบ นางกลับทักทายเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา กระทำราวไม่รู้จักกัน ความกระทบกระเทือนร้ายแรงเช่นนี้ทำให้เฉินซีไม่อาจยอมรับได้ในกาลอันสั้น
เพราะเหตุใด? ทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?
เฉินซีพลันสูดหายใจลึกๆ สายตาของเขามองไปยังชายหนุ่มข้างกายนางดุจอัสนี ก่อนจะหันมองเจิ้นหลิวชิงอีกครั้ง ขณะที่กล่าวขึ้นเสียงเบา “เพราะเขาหรือ? หรือบางทีอาจมีบางสิ่งที่เจ้าไม่อาจอธิบาย ทำให้เจ้าไร้ทางเลือกนอกจากทำเช่นนี้?”
เสียงของเขาเจือเค้าความหวัง เขาหวังจริง ๆ ว่ามันจะเป็นเพราะเงื่อนงำบางอย่าง นางจึงปฏิเสธไม่ยอมรับว่ารู้จักเขาอย่างไร้เยื่อใย
“น่าขัน! เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง?” เจิ้นหลิวชิงหัวเราะเสียงเย็น
เพียงวาจานั้นก็ทำให้หัวใจของเฉินซีหนักอึ้งจนยากหายใจ อดกำหมัดแน่น พยายามควบคุมอารมณ์อย่างหนักไม่ได้
“เอาละ สหายเต๋าท่านนี้ เราไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มพลันแย้มยิ้ม จากนั้นก็ดึงตัวเจิ้นหลิวชิงเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจึงมองเฉินซีอย่างหยอกเย้า “นอกจากนั้น หากเจ้าอยากเกี้ยวสตรีในภายหน้า ก็ต้องเลือกเป้าหมายให้ถูกด้วยนะ หนนี้ข้าจะปล่อยไป แต่หากยังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงสุดขีดเลยล่ะ”
พริบตาที่เขาเห็นเจิ้นหลิวชิงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น เฉินซีรู้สึกราวถูกเข็มตำหัวใจ โทสะอันไม่อาจอธิบายพลุ่งพล่านในอก เจียนคุมตัวเองไม่ให้ลงมือไม่ได้ แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสีหน้าของเจิ้นหลิวชิง หัวใจของเขาพลันเย็นเยียบดุจตกลงสู่โพรงน้ำแข็ง
นับแต่แรกจนบัดนี้ นางหาขัดขืนใด ๆ ไม่ ถึงขนาดที่สีหน้าของนางดูสนิทสนมลึกซึ้งเสียด้วย…
กร๊อบ!
เฉินซีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วลั่นขึ้นสีขาว ดวงตาเย็นชาถึงขีดสุด
ขณะเดียวกัน นับแต่แรกจนบัดนี้ เจิ้นหลิวชิงก็ไม่หันกลับมาเลย…
เฉินซียืนนิ่งดุจรูปปั้นด้วยสีหน้าเย็นเฉียบ ไร้ผู้ใดรับรู้ว่าในใจเขารวดร้าวดิ้นรนเช่นไร และรู้สึกเดือดดาล เคียดแค้น คับข้องใจเช่นไร!
ยามชายหนุ่มและเจิ้นหลิวชิงจากไป บรรยากาศทั่วโถงก็แปรเปลี่ยนเป็นเอะอะมะเทิ่งอีกครั้งในทันที
ทว่าประเด็นการสนทนาเปลี่ยนไปแล้ว
“ฮ่า ๆ! เจ้าเด็กนั่นพยายามเอื้อมคว้าสิ่งที่อยู่เกินตัวแท้ ๆ ไม่รู้หรือไรว่านางเป็นของผู้ใด?”
“จะเสวนากับสตรีก็ต้องดูกาลเทศะ เขาดันไม่ดูตาม้าตาเรือไปเกี้ยวผู้หญิงของกงเหย่เจ๋อฟูต่อหน้าต่อตาเจ้าตัว อยากตายหรือไร?”
“ข้าว่าสหายเต๋าท่านนี้น่าจะเสียสติเพราะความงามของนางกระมัง จิตอ่อนเกินไปโดยแท้ เขากระทั่งกล้าพยายามชิงผู้หญิงของกงเหย่เจ๋อฟู เล่นกับไฟแท้ ยังดีที่กงเหย่เจ๋อฟูใจกว้างไม่เอาความ ไม่เช่นนั้น มีหรือเขาจะยังรอดอยู่ได้?”
“นั่นสิ กงเหย่เจ๋อฟูคงไม่มานั่งจู้จี้จุกจิกกับใครก็ไม่รู้เช่นเขาหรอกกระมัง?”
“จะว่าไป พวกท่านคนใดรู้จักเจ้าเด็กนั่นบ้าง?”
“ไม่เลย แต่เขาไม่ใช่ศิษย์สำนักชั้นสูงจากเอกภพจักรวรรดิแน่นอน ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่รู้จักกงเหย่เจ๋อฟูได้อย่างไร?”
กงเหย่เจ๋อฟู!
เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ พยายามสงบตนเองลงอย่างเต็มที่ ก่อนจะหันกลับไปนั่งลงที่เดิมด้วยสีหน้าที่ยังเจือความหม่นหมองไม่อาจลบล้าง
“เหอะ ๆ ข้าไม่คาดเลยว่าเป้าหมายของข้าในครานี้จะเป็นคนรักของเจิ้นหลิวชิงไปได้ ถึงขนาดที่นางทำเหมือนไม่รู้จักข้าเพื่อเขา….” เฉินซีพลันรู้สึกอยากหัวร่อ รู้สึกว่าโชคชะตาจงใจล้อเล่นกับเขา หรือบางที มันอาจกำลังลงโทษเขาอยู่ก็ได้กระมัง?
มันกำลังลงโทษเขาที่ไม่ออกตามหาเจิ้นหลิวชิงเลย!
“ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องหาคำตอบของบางเรื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวกับ ‘ความรู้สึก’ อย่าทำเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา ให้ทำเพื่อปลดปล่อยตัวเจ้าเองออกมาเท่านั้น” อวิ๋นชิงมองเฉินซีอยู่เนิ่นนานก่อนจะเปิดปาก สายตาเปี่ยมปัญญาอันมีเพียงการขัดเกลาผ่านอายุและประสบการณ์จึงมีได้ “แน่นอน ผลลัพธ์อาจจะเป็นเรื่องชวนประหลาดใจน่ายินดีก็ได้ ใครจะรู้?”
………………..