บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1646 กระบี่ที่เสียหายปรากฏขึ้นอีกครั้ง
บทที่ 1646 กระบี่ที่เสียหายปรากฏขึ้นอีกครั้ง
………………..
บทที่ 1646 กระบี่ที่เสียหายปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เฉินซียังคงเงียบและรู้สึกซับซ้อนในใจ
ท้ายที่สุด เขาก็พยักหน้า โดยที่ไม่กว่าวคำใด ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากหอกำเนิดสวรรค์
เขาอยากอยู่เพียงลำพังสักพัก
…
เมืองเฟิงฉีนั้นกว้างใหญ่มาก ถนนของมันแตกแขนงออกไปทุกทิศทุกทาง ทั้งกระเบื้อง อิฐ พืชพรรณ ต้นไม้… ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่
เฉินซีเอามือไพล่หลังขณะย่ำเดินเพียงลำพังผ่านฝูงชนที่พลุกพล่านอย่างไร้จุดหมาย
บางทีอาจเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ที่พลิกผันไปมามากเกินไปตั้งแต่อายุยังน้อย จึงมักสงวนท่าทีและนิ่งเฉยอยู่เสมอเมื่อกล่าวถึงเรื่องอารมณ์
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกเฉยเมยและไม่สนใจมัน ชายหนุ่มทราบดีถึงความรู้สึกของเจิ้นหลิวชิงที่มีต่อตนอย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังอยู่ที่ราชวงศ์ซ่ง
บางทีใคร ๆ ก็สามารถตกหลุมรักคนอื่นได้ หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้าคนรักมานาน และเฉินซีก็เข้าใจสิ่งนี้ดี แต่ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าวได้ เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนิทสนมกันมากในอดีต แต่บัดนี้นางกลับปฏิเสธเขา และทำเหมือนไม่รู้จักกัน ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นโชคชะตาที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการกลายเป็นคนแปลกหน้าเสียอีก!
เพราะอย่างน้อยที่สุด คนแปลกหน้าก็ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนั้นจึงย่อมไม่เจ็บปวดเป็นธรรมดา
ทำไมกัน? เฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้
ชายหนุ่มเดินไปตามท้องถนนและเดินออกประตูเมืองทางทิศตะวันออกโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้างทันที มหาสมุทรอันกว้างใหญ่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
ครืน!
ครืน!
กระแสน้ำม้วนตัว ในขณะที่คลื่นซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดเป็นเกลียวคลื่นที่ย้อมผืนนภาเป็นสีขาว มหาสมุทรสีฟ้าที่ไร้ขอบเขตเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ เสียงดังประหนึ่งฟ้าร้อง มันเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่และอลังการ ทำให้จิตใจเปิดกว้างเมื่อมองมันจากระยะไกล
เมื่อพินิจอย่างระวัง จะสังเกตเห็นได้ว่า มหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้ทอดยาวไปจนถึงขอบฟ้า มันลัดเลาะไปตามท้องฟ้าและลึกเข้าไปในจักรวาล ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ
ดาวหลายดวงลอยอยู่ในมหาสมุทร และอันที่จริง พวกมันโคจรไปตามวิถีที่แตกต่างกัน แต่กลับงดงามมาก
ดวงตาของเฉินซีสว่างวาบ ความหดหู่ที่สะสมอยู่ในหัวใจถูกระบายออกอย่างฉับพลัน ทำให้ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นอิสระ
นี่คือมหาสมุทรสุสานเทวะ!
มหาสมุทรที่ฝังเทพ ดวงดาว และดาราจักรไว้มากมายนับไม่ถ้วน มันทอดยาวข้ามสุดเขตทิศตะวันออกของแดนเทพโบราณ และตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงบัดนี้ ไม่มีมหาอำนาจใดสามารถปราบมันได้
ถึงขนาดไม่มีใครกล้าบอกว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่เพียงใดหรือจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ใด
เสื้อผ้าของเฉินซีพลิ้วไสว ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าผาที่ตั้งตระหง่านเหนือมหาสมุทร จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิก่อนที่จะมองไปยังผืนน้ำสีฟ้าที่พลุ่งพล่านในระยะไกล จิตใจพลันว่างเปล่า ไม่มีความปรารถนา และไม่มีอารมณ์ใด ๆ ราวกับได้หลุดพ้นเป็นการชั่วคราว
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึกก็เริ่มโคจรอย่างเงียบ ๆ จากนั้นแผนภาพของกระบี่เปื้อนเลือดที่เสียหายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กระบี่ที่เสียหายมีรอยกระดำกระด่างด้วยคราบเลือด แต่กลับเปล่งกลิ่นอายอันน่าสยดสยองของการเข่นฆ่ายุคสมัย และดูแคลนจักรวาล
เมื่อหลายปีก่อน เฉินซีได้บรรลุเคล็ดวิชาทั้งสามผ่านการศึกษาแผนภาพนี้ ได้แก่ ทลายเบญจธาตุ สงัดก่อนพายุโถม และสะบั้นไร้ลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ได้ในรวดเดียว
อาจกล่าวได้ว่า แม้กระบี่ที่เปื้อนเลือดจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ส่งผลกระทบอย่างล้นหลามต่อการขัดเกลาการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซี
ในขณะนี้ แผนภาพของกระบี่ที่เปื้อนเลือดได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากตื่นขึ้นจากความเงียบงันและเริ่มหมุนเวียนอย่างเงียบ ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ดึงความสนใจของเฉินซีทันที
ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเรียกหาจากพื้นที่ลี้ลับซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในมหาสมุทรสุสานเทวะ ดูเหมือนจะคลุมเครือและไม่ชัดเจน แต่ชายหนุ่มก็กล้ายืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง และไม่ใช่ความเข้าใจผิด
แต่เพียงครู่เดียว เมื่อเฉินซีตั้งใจจะลงไปถึงก้นบึ้ง ความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่แผนภาพของกระบี่ที่เปื้อนเลือดในจิตใจก็หายไปพร้อมกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตะลึง ดูเหมือนซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ น่าจะเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากจริง ๆ…
ชายหนุ่มยังคงจำได้ว่า สองในเก้าอักขระโบราณที่คลุมเครือที่เขาระบุได้จากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั่น เป็นคำว่า ‘รกร้าง’ และ ‘ซากโบราณ’
ยิ่งไปกว่านั้น การตื่นขึ้นอย่างกะทันหันของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และร่องรอยของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้ ทำให้เฉินซีระบุได้คร่าว ๆ ว่า จะต้องมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเรื่องทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกความคาดหวังที่จะมุ่งหน้าไปยังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เขาต้องการเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ที่นั่น ถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
เมื่อม่านราตรีเคลื่อนคล้อยลงมา ในที่สุด เฉินซีก็ลุกขึ้นยืนและกลับไปยังหอกำเนิดสวรรค์
“หลังจากเหตุการณ์วันนี้ ข้ากังวลมากว่า เจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดได้อีก” อวิ๋นชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเฉินซีกลับมา
“พักผ่อนอยู่ในที่พำนักแห่งนี้ไปสักระยะเถิด เมื่อมหาสมุทรสุสานเทวะเข้าสู่ช่วงคลื่นลมสงบ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถดำเนินการได้” อวิ๋นชิงแนะนำ
เฉินซีพยักหน้า
แต่เมื่อเขาตั้งใจจะจากไป อวิ๋นชิงดูเหมือนจะคิดถึงอะไรบางอย่างได้ ดังนั้นจึงหยุดเฉินซีและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายเฉินซี หากเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับกงเหย่เจ๋อฟู หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แม่นางคนนั้น… เจ้าจะทำอย่างไร?”
ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลง และนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำสิ่งที่ข้าสัญญาไว้ให้สำเร็จ”
ทันทีที่สิ้นคำ ชายหนุ่มก็จากไปและกลับไปยังที่พำนักที่จองไว้
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” อวิ๋นชิงทอดถอนใจพลางเฝ้าดูร่างสูงใหญ่จากไป
ชายชราไม่ได้กังวลว่าเฉินซีจะล่าถอย แต่เขากังวลว่าเฉินซีจะทำอย่างไร ถ้ากงเหย่เจ๋อฟูใช้เจิ้นหลิวชิงเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ในระหว่างต่อสู้ต่างหาก….
…
เมื่อเวลาผ่านไป เมืองเฟิงฉีก็คึกคักมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าผู้บ่มเพาะต่างทยอยเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศอยู่ทุกวี่วัน
แม้ว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณ แต่พวกเขาก็ดำรงอยู่อันดับต้น ๆ ในเอกภพต่าง ๆ ของแดนเทพโบราณ
นี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่นั้นลึกลับและกว้างใหญ่ โชคลาภมากมายนับไม่ถ้วนถูกซ่อนอยู่ภายในนั้น และไม่ใช่แค่รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเท่านั้น
ดังนั้นแม้พวกเขาจะทราบดีว่าไม่สามารถแข่งขันกับมหาเทวาวิญญาณจากเอกภพจักรวรรดิได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็ยังคงมาอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยเหตุนี้
หนึ่งวันก่อนที่มหาสมุทรสุสานเทวะจะเข้าสู่ช่วงคลื่นลมสงบ เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเดินออกจากที่พำนัก
วันนี้เป็นวันที่อวิ๋นชิงและเฉินซีนัดพบกัน เพราะมหาสมุทรสุสานเทวะจะเข้าสู่ช่วงคลื่นลมสงบในค่ำคืนนี้ จึงไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป
อวิ๋นชิงได้มารออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว ชายชราก็นำเฉินซีออกจากหอต้นกำเนิดสวรรค์ทันที และมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรสุสานเทวะ
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
หลายร่างฉีกทะลวงผ่านอวกาศและเคลื่อนย้ายไป มองไกล ๆ เหมือนหยดแสงที่หนาแน่น ซึ่งพุ่งยังไปทิศทางเดียวกันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์ของรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า หรือเพื่อเผชิญกับโชคลาภอื่น ๆ ภายในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ การต่อสู้และการสังหารที่โหดร้ายมากมายจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
อวิ๋นชิงและเฉินซีไม่ได้เร่งรีบ พวกเขาเคลื่อนไหวไม่เร็วไม่ช้า
“ข้าได้รวบรวมข้อมูลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ และข้าสามารถยืนยันได้ว่า ครั้งนี้มีมหาเทวาวิญญาณทั้งหมดสิบหกคนที่เข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ณ ตอนนี้ กงเหย่เจ๋อฟู่เป็นผู้เข้าร่วมเพียงคนเดียวจากบรรดาสิบอันดับแรก”
อวิ๋นชิงอธิบายข้อมูลที่รวบรวมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงมหาเทวาวิญญาณที่เผยตัวออกมาเท่านั้น และยากที่จะยืนยันว่ามีมหาเทวาวิญญาณจำนวนเท่าใดที่ซ่อนกายอยู่ในเงามืด”
เฉินซีจดจำเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างเงียบ ๆ และไม่ได้กล่าวคำใด
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ชอบมาพากลก็คือ ตามข้อมูลที่ฝ่าบาทได้รับ อัจฉริยะที่ไร้ผู้เทียบเคียงอีกสองคนซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่ากงเหย่เจ๋อฟูจะเข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เช่นกัน แต่กลับยังไม่มีข่าวใด ๆ เกี่ยวกับพวกเขาเลย” อวิ๋นชิงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่พักใหญ่ “แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องจำไว้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะโหดร้ายอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”
เฉินซีกลับถามว่า ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากงเหย่เจ๋อฟูนั่นคือใครกัน?
“หนึ่งในนั้นคือผู้นำรุ่นเยาว์แห่งเผ่าหลัว ลั่วฉ่าวหนง และอีกคนคือผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายพุทธ เจียหนาน ทั้งสองอยู่ในอันดับที่สามและเจ็ดของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ และความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่อาจหยั่งถึงได้ ทั้งสองเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาและมีชื่อเสียงโด่งดังในเอกภพจักรวรรดิ” เมื่อกล่าวถึงคนสองคนนี้ อวิ๋นชิงก็ทอดถอนใจยาวแรง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและความชื่นชม
เฉินซีไม่สนใจว่าลั่วฉ่าวหนงเป็นใคร แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเจียหนานน่าสนใจนัก เพราะเจียหนานทำให้เขาอดนึกถึงเจิ่นลู่ที่เฉินซีรู้จักในสามภพ
ดูเหมือนไม่อาจมองข้ามกองกำลังของภพพุทธองค์ในแดนเทพโบราณได้เช่นกัน
เฉินซีดูเหมือนกำลังครุ่นคิด และมันก็ถึงขนาดที่ต้องไตร่ตรองซ้ำ ๆ เนื่องจากภพพุทธองค์มีกองกำลังของตัวเองในแดนเทพโบราณ แล้วเผ่าวิหคอมตะและภพมังกรล่ะ? พวกมันคงมีกองกำลังด้วยเช่นกันกระมัง?
ถ้าข้ามีโอกาส ข้าต้องแวะไปที่เอกภพจักรวรรดิสักครั้ง นั่นคือจุดศูนย์กลางของแดนเทพโบราณ และมีแต่ต้องไปที่นั่นเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถพบเบาะแสที่ข้าต้องการได้
โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็เดินทางออกมานอกเมืองแล้ว มหาสมุทรสุสานเทวะอันไร้ขอบเขตที่ทอดยาวไปสู่ส่วนลึกของจักรวาลก็อยู่เบื้องหน้า
ทว่าไม่เหมือนกับสิ่งที่เฉินซีเห็นในวันนั้น มหาสมุทรสุสานเทวะที่พลุ่งพล่านแต่เดิมนั้นค่อย ๆ สงบลงเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะจำศีล
เมื่อมองจากระยะไกล มหาสมุทรสีฟ้านั้นไร้ขอบเขต และมีระลอกคลื่นเล็ก ๆ มันเหมือนกับกระจกใสที่สะท้อนภาพบนสวรรค์ และแม้แต่ดวงดาวที่ลอยอยู่ในน้ำทะเลก็ยังหยุดเคลื่อนคล้อย
เป็นที่ประจักษ์ว่า มหาสมุทรแห่งนี้ซึ่งส่งผลทำให้สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปเพียงแค่เอ่ยถึงมัน จวนจะเข้าสู่ช่วงคลื่นลมสงบแล้ว
ในขณะนี้ ที่ริมฝั่งของมหาสมุทร มีร่างจำนวนนับไม่ถ้วนยืนแออัดอยู่หนาแน่น เมื่อลองนับคร่าว ๆ คาดว่ามีอย่างน้อยหนึ่งพันคน!
ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเป็นอย่างน้อย และมีแม้กระทั่งบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลด้วยซ้ำ!
ทว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงผู้ติดตาม เป็นดั่งผู้พิทักษ์ เช่นเดียวกับอวิ๋นชิงที่ยืนเคียงข้างเฉินซี
อวิ๋นชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกจากด้านข้าง “เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเหล่านั้น แม้ว่ามหาสมุทรสุสานเทวะจะตกสู่ช่วงคลื่นลมสงบ แต่สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีการบ่มเพาะเหนือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ มันกลับน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเมื่อก้าวเข้าสู่มหาสมุทร การบ่มเพาะของพวกเขาจะต้องถูกสะกด ทำให้ไม่อาจทำอะไรได้!”
………………..