บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1647 จงใจทำ
บทที่ 1647 จงใจทำ
สะกดพลังการบ่มเพาะ!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ยินเรื่องเช่นนี้ และอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “ดังนั้นยิ่งมีการบ่มเพาะสูง การสะกดก็จะยิ่งรุนแรงหรือ?”
อวิ๋นชิงพยักหน้า “ถูกต้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดมหาสมุทรนี้จึงถูกเรียกว่ามหาสมุทรสุสานเทวะ? เพราะในตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันไม่เคยขาดผู้ยิ่งใหญ่ที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ หมายตั้งใจพิชิตข้อจำกัดนี้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนดับสูญ”
เฉินซีรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของชื่อมหาสมุทรสุสานเทวะแล้ว
“ไม่สำคัญว่าการบ่มเพาะจะต่ำกว่าขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณหรือไม่ เพราะไม่ว่าใครที่เหยียบย่างเข้าสู่มหาสมุทร ก็ไม่สามารถต้านทานอันตรายได้ ดังนั้นมีเพียงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น ที่สามารถเดินทางไปยังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ได้อย่างปลอดภัย”
ขณะที่กล่าว เสียงอึกทึกก็ดังก้องมาจากระยะไกล
หลังจากนั้น วิหคอมตะสีม่วงที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีม่วงก็ฉีกทะยานผ่านท้องฟ้า ลงมาจากระยะไกล
ปีกของวิหคอมตะสีม่วงนั่นเป็นเหมือนเมฆที่ปกคลุมฟ้าดิน มันดูงดงามและสูงส่ง ร่างกายเต็มไปด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ซึ่งทำให้ผืนฟ้าเปลี่ยนสี
ชายหนุ่มรูปงามที่มีดวงตาสีม่วงและผมสีเงินยืนอยู่อย่างภาคภูมิบนหลังวิหคอมตะสีม่วง เสื้อผ้าพลิ้วไสว ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่กดขี่และแหลมคม ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกงเหย่เจ๋อฟู อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของตระกูลกงเหย่แห่งเอกภพจักรวรรดิ
เจิ้นหลิวชิงผู้สวมชุดสีดำ มีใบหน้าที่ใสกระจ่างและงดงาม เผยให้เห็นท่าทางสุขุมและสงบ ยืนอยู่เคียงข้างกงเหย่เจ๋อฟู ส่งผลให้กงเหย่เจ๋อฟูดูสูงส่งและพิเศษยิ่งขึ้น
เมื่อทุกคนสังเกตเห็นคนว่าสองคนนี้มาถึงด้วยวิหคอมตะสีม่วง คนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ อิจฉา และถูกกดดันอย่างหนัก
ท้ายที่สุด ในบรรดามหาเทวาวิญญาณทั้งหมดที่มาถึงยามนี้ กงเหย่เจ๋อฟูเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกถึงแรงกดดันเมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ในทางกลับกัน ทันทีที่เฉินซีเห็นเจิ้นหลิวชิง ความรู้สึกขมขื่นก็ทะลักออกมาจากใจ จากนั้นชายหนุ่มก็เบือนสายตาออก ไม่คิดมองอีกต่อไป
บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
อวิ๋นชิงสังเกตเห็นฉากทั้งหมดนี้ และอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ ชายชรารู้สึกกังวลอย่างแท้จริง หากเฉินซีต่อสู้กับกงเหย่เจ๋อฟู และอีกฝ่ายใช้เจิ้นหลิวชิงเป็นเครื่องมือ แล้วเฉินซีจะทำอย่างไร?
หลังจากที่กงเหย่เจ๋อฟูมาถึงด้วยวิหคอมตะสีม่วงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่กงเหย่เจ๋อฟูได้พาเจิ้นหลิวชิงมุ่งตรงไปยังบริเวณที่เฉินซียืนอยู่
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นชิงขมวดคิ้ว และรู้สึกลึก ๆ ว่าคนผู้นี้อาจทำโดยเจตนา!
เห็นได้ชัดว่าเจิ้นหลิวชิงก็สังเกตเห็นเฉินซี ทำให้คิ้วสีดำของนางขมวดเข้าหากัน และพยายามขืนตัว แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล และถูกกงเหย่เจ๋อฟูพาตัวไป สิ่งนี้ทำให้คิ้วของนางขมวดแน่นยิ่งขึ้น ดวงตาเหลือบมองกงเหย่เจ๋อฟู แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำใด
เห็นได้ชัดว่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนสับสนเล็กน้อย และเปิดทางให้กงเหย่เจ๋อฟูแต่โดยดี
เฉินซีไม่อาจเมินเฉยต่อเรื่องนี้ ความเย็นชาเสี้ยวหนึ่งวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา “คนผู้นี้กำลังพยายามทำอันใด? เขาจงใจมาที่นี่เพื่อทำให้ข้าขายหน้าเหรอ?”
ทว่ากงเหย่เจ๋อฟูกลับหยุดเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ห่างจากเฉินซีสิบสองฉื่อ จากนั้นก็ยิ้มให้ แล้วจึงเริ่มพูดคุยกับเจิ้นหลิวชิง
พวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข ราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบข้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังลูบไหล่เจิ้นหลิวชิง อย่างเสน่หาอยู่บ่อยครั้ง คล้ายกำลังแสดงความรักอย่างไรอย่างนั้น
ไอ้สารเลวนั่นจงใจทำจริง ๆ… เฉินซีเฝ้าดูทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าเย็นชาและเฉยเมย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด คือตั้งแต่ต้นจนจบ เจิ้นหลิวชิงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อย และยากที่จะระบุว่าหญิงสาวกำลังคิดอันใดอยู่
“เจ้าอยากย้ายไปตรงอื่นหรือไม่?” อวิ๋นชิงเหลือบมองเฉินซีด้วยความกังวลเล็กน้อย
เฉินซีส่ายศีรษะ จากนั้นยิ้มกว้าง “ไม่จำเป็น ให้ข้าดูว่ามันจะรักษาสิ่งนี้ได้นานแค่ไหน”
รอยยิ้มของเขาสดใส แต่กลับไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง มันทำให้หัวใจของอวิ๋นชิงกระตุกวูบ และรู้ว่าการกระทำของกงเหย่เจ๋อฟูทำให้เฉินซีโกรธแค้นอย่างมาก
…
ในขณะนี้ เสียงร้องที่ก้องกังวานและชัดเจนอย่างยิ่งก็ดังขึ้น มันพุ่งทะยานผ่านฟ้าดิน และทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะท้าน
เสียงร้องนั้นดังเกินไป และดูเหมือนว่าจะมีมนต์เสน่ห์บางอย่าง ทั้งยังเปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและเย่อหยิ่ง
จู่ ๆ บรรยากาศที่ดังเซ็งแซ่โดยรอบก็เงียบลงทันที และแม้แต่กงเหย่เจ๋อฟูก็ยังตกใจ ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังระยะไกล
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น หญิงสาวที่สง่าและงดงามแปดคน สวมชุดผ้าไหมและผ้าต่วนก็ชูเกี้ยวอันงดงามขึ้น ขณะทะยานเข้ามาจากระยะไกล
ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ในเกี้ยวอันงดงาม ท่าทางดูเกียจคร้าน ผมยาวถูกปล่อยสยาย คอเสื้อแหวกกว้าง ใบหน้าหล่อเหลา และมีกลิ่นอายที่ดูชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้น เขาถือเหยือกสุราไว้ในมือ และกำลังดื่มมันอยู่
สัตว์เทวะอย่างหงส์แดงที่ดูงดงามเกาะอยู่บนไหล่ เสียงร้องที่ดังก้องกังวานเมื่อครู่นี้ ย่อมมาจากมันอย่างแน่นอน
“ลั่วฉ่าวหนงจากตระกูลลั่วแห่งเอกภพจักรวรรดิ!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ และจากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นในบริเวณโดยรอบ ทุกคนต่างมีสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะมาที่นี่จริง ๆ
ลั่วฉ่าวหนง!
บุคคลที่ได้อันดับสามในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
นี่หมายความว่าในบรรดาเทวารู้แจ้งวิญญาณทั้งหมดภายในหนึ่งพันเอกภพและดาราจักรนับไม่ถ้วนในแดนเทพโบราณ เว้นแต่จะเปรียบเทียบกับบุคคลที่อันดับสูงกว่าเขาแล้ว อาจถือได้ว่าเขานั่นไร้เทียมทาน!
“คนผู้นี้… มักทำให้แปลกใจอยู่เสมอ” ดวงตาสีม่วงของกงเหย่เจ๋อฟูวูบไหวด้วยสายฟ้าอันเยียบเย็น
ในขณะนี้ แม้แต่เฉินซีก็หัวใจสั่นไหว เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายของลั่วฉ่าวหนงนั้นน่าเกรงขามมาก จนแทบไม่เคยเห็นใครที่มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเช่นนี้มาก่อน
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีทอดถอนใจยาวแรง มีตัวประหลาดมากมายในโลกนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตนแล้ว สวินหยางผิงนั้นไม่มีอะไรน่ากล่าวถึงเลย
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่เจียหนานของนิกายพุทธหรอกเหรอ?” ทันใดนั้นก็มีคนอุทานด้วยความประหลาดใจ
มันเหมือนกับก้อนหินที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพันบนผิวน้ำ ทุกคนพลันสังเกตเห็นหลวงจีนองค์หนึ่งก็ยืนอยู่ห่างออกไปไกลโพ้น
เขาสวมจีวรของหลวงจีนสีขาวนวล ซึ่งทำด้วยผ้าเนื้อหยาบ และสวมรองเท้าฟาง ในมือถือไม้เท้าที่เหี่ยวแห้ง มีรูปลักษณ์ธรรมดาไม่โดดเด่น ท่าทางสงบเหมือนหินบนหน้าผา สูงตระหง่านและมั่นคง หากไม่มองดี ๆ ก็อาจมองข้ามคนผู้นี้ไปได้ง่าย ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีที่ลั่วฉ่าวหนงปรากฏตัว เจียหนานกลับทำตัวไม่โดดเด่นกว่ามาก ทำให้คนเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อครู่นี้เอง
ทว่าไม่มีใครกล้าดูถูกเขา เพราะคนผู้นี้อยู่ในอันดับที่เจ็ดในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
อันดับของเขาอยู่สูงกว่ากงเหย่เจ๋อฟูถึงสองอันดับ!
ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกกงเหย่เจ๋อฟู แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าอัจฉริยะทั้งสองคนนี้จะมาที่นี่ในเวลานี้
ดูเหมือนว่าข้อมูลที่จักรพรรดินีอวี้เชอได้รับนั้นไม่ผิด ลั่วฉ่าวหนงและเจียหนานมาถึงแล้ว…
ปฏิกิริยาของเฉินซีดูเหมือนจะสงบลงมาก การมาที่นี่ในครั้งนี้ เขาไม่ได้สนใจรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิชั้นเก้ามากนัก และเมื่อรวมกับเหตุการณ์ระหว่างตนกับเจิ้นหลิวชิง จิตใจของเขาก็จดจ่ออยู่กับกงเหย่เจ๋อฟูโดยสมบูรณ์ คิดเพียงว่าจะหยุดการกระทำของอีกฝ่ายได้อย่างไร
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง และเมื่อม่านราตรีเคลื่อนคล้อยปกคลุมผืนฟ้าทั้งหมด มหาสมุทรสุสานเทวะก็ตกลงสู่สภาวะสงบเงียบโดยสมบูรณ์ มันเงียบสนิทโดยปราศจากคลื่นลม และไม่มีแม้แต่ร่องรอยของระลอกคลื่นด้วยซ้ำ มันอบอวลไปด้วยความเงียบอันแปลกประหลาด ทั้งยังดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
ทว่าฉาเหตุการณ์นี้กลับทำให้จิตวิญญาณของเหล่าผู้บ่มเพาะสดชื่น และตื่นตัวอย่างยิ่ง
“ในที่สุดเวลาก็มาถึง!”
“เร็วลงมือเร็วเข้า! หากเราชักช้าเกินไป ก็คงไม่เหลือแม้แต่เศษซาก”
“ไปกันเถอะ!”
ท่ามกลางคลื่นเสียงอึกทึกครึกโครม ลำแสงหลากสีได้ฉีกผ่านความว่างเปล่าและส่องสว่างบนท้องฟ้า บังเกิดเป็นเสียงลมหวีดหวิว ขณะที่พวกมันพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรสุสานเทวะ
แต่ไม่ว่าจะรวดเร็วเพียงใด ก็ไม่สามารถเทียบได้กับลั่วฉ่าวหนง เจียหนาน และกงเหย่เจ๋อฟู ทั้งสามออกเดินทางตั้งแต่พริบตาแรกที่คลื่นลมสงบ และหายไปเหนือมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตในทันที
“จำไว้ เจ้าต้องระมัดระวังตัว ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่นั่นอันตรายอย่างยิ่ง และแตกต่างจากแดนเทพโบราณอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าพบกับอันตรายใด ๆ เจ้าต้องคำนึงความปลอดภัยของตนเป็นอันดับแรก” อวิ๋นชิงกำชับอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เฉินซีพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
“ไปเถิด ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ ดูแลตัวเองด้วย” อวิ๋นชิงกล่าว
ฟิ่ว!
เฉินซีประสานมือคำนับ จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็วูบไหวและพุ่งผ่านท้องฟ้าไปยังมหาสมุทรสุสานเทวะทันที
เพียงครู่เดียว เขาก็หายตัวไปอย่างสมบูรณ์
“นับตั้งแต่สมัยโบราณ วีรบุรุษมักไม่ผ่านด่านหญิงงาม เด็กน้อย เจ้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองล้มลงเพราะนาง…” อวิ๋นชิงเฝ้าดูร่างของเฉินซีหายไป และอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง
เรามักจะเห็นลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากพื้นผิวมหาสมุทร ก่อนที่มันจะส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน มันคือแสงดาวที่เปล่งออกมาจากดวงดาวนับแสนล้านที่ยังคงอยู่ใต้ผืนน้ำ ทั้งยังเผยให้เห็นรูปร่างที่งดงามและเจิดจรัส
มหาสมุทรสุสานเทวะนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต
หลังจากทะยานอยู่ราวหนึ่งถ้วยชา ก็ยากที่จะมองเห็นคนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง และมันรู้สึกราวกับว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่
นี่เป็นเรื่องปกติมาก เมื่อทุกคนเข้าสู่มหาสมุทรสุสานเทวะ ก็หมายความว่าการแข่งขันระหว่างได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นเว้นแต่จะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันดี ก็คงไม่มีใครเต็มใจที่จะรวมกลุ่มกับคนอื่น
เฉินซีก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
ตามที่คาดไว้ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่นี่เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ฟ้าดินก็มีพลังงานที่ดูวุ่นวายและรกร้าง บางทีอาจเป็นเพราะพลังงานนี้ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลและเหนือขึ้นไปกว่านั้น ไม่กล้าย่างกรายเข้าสู่มหาสมุทรนี้ เฉินซีตรวจสอบสภาพแวดล้อมพลางทะยานไปด้วย และสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งภายในมหาสมุทรสุสานเทวะนั้นค่อนข้างแตกต่างจากแดนเทพโบราณจริง ๆ
เหตุผลก็คือพลังงานที่ดูวุ่นวายและรกร้าง ทั้งยังหนาทึบและดูลึกลับนั่นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มิหนำซ้ำยังปกคลุมทั่วทั้งมหาสมุทรสุสานเทวะนี้
………………..