บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1648 อันตรายในมหาสมุทรสุสานเทวะ
บทที่ 1648 อันตรายในมหาสมุทรสุสานเทวะ
………………..
บทที่ 1648 อันตรายในมหาสมุทรสุสานเทวะ
ฟ้าดินที่มหาสมุทรสุสานเทวะกินพื้นที่โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายรกร้างหากแต่วุ่นวาย ซึ่งต่างจากแดนเทพโบราณอย่างสิ้นเชิง
พลังนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่กลับไม่อาจซึมซับเข้ามาได้ เหมือนเป็นพลังที่คอยขับเคลื่อนการโคจรของเต๋าสวรรค์ เป็นพลังที่ไม่ชัดเจนและไม่อาจจับต้องได้
ซึ่งทำให้เฉินซีรู้สึกตกใจ เขารู้ว่าพอเข้ามหาสมุทรสุสานเทวะไปเมื่อไหร่ ก็จะออกนอกเขตแดนเทพโบราณ และไม่สามารถทำอย่างที่เคยได้แล้ว
เขาจึงยิ่งระมัดระวังและลดความเร็วการเคลื่อนมิติลง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ในจังหวะที่เฉินซีคิดว่าตนคงคิดมากไปเอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นจากไกล ๆ อีกทั้งมันยังเป็นเสียงที่น่าผวายิ่งเพราะดังขึ้นกลางความมืดสงัด
สายฟ้าอันเย็นชาวาดผ่านนัยน์ตาเฉินซี เขากวาดสายตามองไปทันใด และเห็นว่าพื้นที่ทะเลด้านหน้าเต็มไปด้วยเลือดทวยเทพ น้ำในมหาสมุทรกลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะเห็นเงาขนาดใหญ่ที่หายลงไปใต้ท้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว คิดในใจว่า หรือใต้มหาสมุทรสุสานเทวะนี้จะมีสิ่งมีชีวิตน่าเกรงขามซ่อนตัวอยู่?
เขาคิดว่าตนคงมองไม่ผิด เมื่อครู่มีคนถูกสิ่งมีชีวิตใหญ่โตมโหฬารใต้ทะเลสังหารไปเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่มันหายไปแล้วตอนหันไปมอง
เขายังคงเดินหน้าต่อแต่ไม่ได้พบอันตรายใด ทว่ายังคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนรอบกาย ทำให้บรรยากาศใต้ท้องฟ้ายามราตรียิ่งดูน่าขนหัวลุกกว่าเดิม
เฉินซีเองก็ยิ่งแสดงสีหน้ารอบคอบมากขึ้นเช่นกัน เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องใด ๆ ขึ้นก่อนจะเดินทางถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
ฟึบ!
หลังจากผ่านไปนานก็ได้ยินเสียงมิติถูกแยกออก อสูรบินร่างยักษ์ที่มีปีกกว้างร้อยจั้งเหินร่างขึ้นมา เกิดเป็นพายุและน้ำทะเลซัดเป็นคลื่นขนาดมหึมา
พริบตานั้นมันก็บินโฉบเหนือร่างเฉินซี
มีเงาร่างคนยืนอยู่บนหลังอสูรบินนั่น ทุกคนล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาดเมื่อเห็นเฉินซีเดินทางคนเดียว
“เอ๋ นั่นมันคนที่หมายจะจีบสหายหญิงของกงเหย่เจ๋อฟูในหอกำเนิดสวรรค์นี่?”
“ฮ่า ๆ! ดอกฟ้ากับหมาข้างถนนนี่เอง ไม่คิดเลยว่าจะมาที่นี่ด้วย ทั้งยังมาคนเดียวอีก หรือจะไม่กลัวถูกปล้นและสังหารทิ้งกันนะ?”
“ดูแล้วคนโง่พวกนี้มีความกล้าหาญยิ่ง”
เฉินซีเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้น จากนั้นเริ่มหัวเราะ ที่ถูกถากถางที่หอกำเนิดสวรรค์ในวันนั้นเขาทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เพราะมีคนมาก หากเกิดปัญหาก็คงไม่คุ้มกัน
แต่ตอนนี้มีเพียงแค่คนขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้นถึงจะเข้ามหาสมุทรสุสานเทวะมาได้ ทั้งยังกว้างขวางนัก และอยู่ในช่วงดึกสงัดเหมาะแก่การสังหาร เฉินซีจึงไม่คิดปล่อยให้ตนเองถูกรังแกไปเปล่า ๆ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นได้แค่ไอ้ขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง
ฟ่าว!
เฉินซีตวัดกระบี่ไปเพียงนิด ปราณกระบี่สว่างจ้ากรีดผ่านฟ้าไป มันดูลึกลับไม่เหมือนใคร ไม่อาจต้านทานพลังมันได้เลย
ผู้บ่มเพาะพลังที่กำลังเอ่ยเยาะเย้ยพลันร่างซวนเซ เกือบร่วงลงจากหลังอสูร
จากนั้นก็เห็นว่าปีกอสูรบินถูกฟันขาด ทั้งขนทั้งเลือดโปรยลงจากฟ้าพร้อมกับเสียงร้องเจ็บปวดดังลั่น
“เจ้าบ้า! ไอ้นั่นมันกล้าลอบโจมตีเรา!”
“เวรเอ๊ย! เขาทำร้ายอินทรีเหมันต์ตาหยกข้า! เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นหน้าคว่ำด้วยความโกรธ ต่างกระโดดลงมาพร้อมกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้วพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างดุดัน
เฉินซีไม่แม้แต่จะหันมองก็ซัดกระบี่ออกไปอีกครั้ง คราวนี้กระแสปราณกระบี่อันน่าเกรงขามหาใครเทียบก็ซัดออกไป
ครืน!
พริบตาเดียวกระแสปราณกระบี่ก็ทำลายทุกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาได้อย่างง่ายดายเหมือนฟันใบไม้แห้ง
ผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มนี้แกร่งมาก เป็นยอดอัจฉริยะขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ น่าเสียดายที่ต้องมาเจอเฉินซีที่นับว่ารับมือพวกเขาได้ไม่ยาก เพราะมีความต่างพลังมากเกินไป
กระทั่งโอรสองค์ที่สิบสามของจักรพรรดิโกวเฉิน สวินหยางผิง ที่เป็นถึงมหาเทวาวิญญาณยังถูกเฉินซีเล่นเสียไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วพวกเขาจะเหลือหรือ
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?” ทุกคนเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง แค่ท่ากระบี่เมื่อครู่ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา มีฝีมือเหนือกว่าพวกเขาเป็นแน่
อึดใจต่อมา พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก เพราะกระแสปราณกระบี่เมื่อครู่ส่งผลกระทบจนพวกเขากระอักเลือดออกมา เหมือนถูกกระแทกเข้ากับขุนเขายักษ์จนร่างกระเด็น จมลงสู่มหาสมุทรสุสานเทวะ
เฉินซีไม่คิดสงสารคนประเภทนี้ ให้ได้รู้ซะบ้างว่าปากพาซวยมันเป็นอย่างไร
แต่เฉินซีก็ไม่ได้ใช้ท่าสังหาร เพราะรู้สึกว่าแค่สั่งสอนบทเรียนสักหน่อยก็คงพอแล้ว เขาไม่ได้ใจแคบถึงขนาดสังหารคนที่กล่าวว่าเขาหรอก
กรรร!
อสูรดุร้ายมีรูปร่างเหมือนวัวกุย แต่มีดวงตาสีแดงก่ำ และมีเขามังกร ทั่วร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำสนิทสะท้อนแสงคล้ายโลหะเย็น
“อ๊าก!!!” พลันได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมดังออกจากปากอสูรร้าย แต่ไม่เท่าไหร่ก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่าคงตายอยู่ในท้องอสูรแล้ว
เฉินซีเห็นแล้วก็ไม่ได้สงสาร เพียงแต่ประหลาดใจและทำให้ระแวดระวังขึ้นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท้องมหาสมุทรที่นี่จะอันตรายขนาดนี้
ฟึบ!
ตาสีแดงเลือดของอสูรร้ายกวาดมองทางเฉินซี ก่อนร่างมันจะหายลงไปในผืนน้ำ มันไม่คิดต่อสู้กับเขาเหนือน้ำนั่นเอง
ดูท่าอสูรดุร้ายพวกนี้จะฉลาดไม่น้อย รู้จักสู้รู้จักถอย ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง มีความรู้สึกว่ามหาสมุทรที่นี่ไม่ปกติ
ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นล้วนเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณระดับสูงสุด ฉะนั้นถึงพวกเขาจะบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงแก่น ทั้งยังถูกอสูรร้ายตัวนี้กลืนเข้าไปในคราวเดียวได้ เห็นได้ชัดว่าอสูรตัวนี้มีอำนาจขนาดไหน
มหาสมุทรสุสานเทวะ มหาสมุทรสุสานเทวะ… ไม่แปลกใจเลยที่มันชื่อนี้ เฉินซีคิดแล้วถอนใจ จากนั้นเงาร่างก็แวบไป เหินร่างขึ้นฟ้าสูงเพื่อออกห่างพื้นน้ำ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินทางไปอีกราวล้านลี้ เฉินซีพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกลึกถึงกระดูก ก่อนจะได้กลิ่นเลือดจาง ๆ
ชายหนุ่มหรี่ตาลงทันใด เขาสังเกตเห็นว่าท้องน้ำที่ขอบฟ้าไกลถูกแช่แข็ง ไม่รู้ว่าหนามากเท่าไหร่ แต่ก็เห็นน้ำแข็งกระจายตัวไปหลายหมื่นลี้ โดยมีทั้งศพ ทั้งกระดูกของอสูร และซากสมบัติศักดิ์สิทธิ์กองอยู่บนนั้น อีกทั้งยังมีแขนขาที่ถูกแช่แข็งไว้ เป็นภาพที่ดูแปลกตายิ่ง
คงจะเป็นวิชาธาตุน้ำแข็งขั้นสูง ความเข้าใจเต๋าศักดิ์สิทธิ์วารีของคนผู้นี้คงจะอยู่ในขั้นต้นได้… เฉินซีประเมินอยู่ในใจ ดูแล้วอีกฝ่ายคงไม่ด้อยไปกว่าเขาแน่
ครืน!
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลั่นครืนดังมาจากใต้ชั้นน้ำแข็ง ก่อนแผ่นน้ำแข็งจะแตกออก จากนั้นร่างขนาดใหญ่สีทองอร่ามก็พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้น
มันคืออสูรดุร้ายยาวกว่าหกลี้ มีตัวหนาและใหญ่มาก มองแล้วคล้ายมังกร แต่มองอีกทีก็ไม่คล้าย เหมือนงูแต่ก็ไม่เหมือน และยังมีกรงเล็บสี่อันอยู่ที่ท้อง
ทันทีที่มันพุ่งออกมา มันก็อ้าปากสีแดงเลือดดูดกลืนเข้าไป ทำให้แขนขา ซากร่าง และทุกสิ่งอย่างบนชั้นน้ำแข็งแตก ๆ ถูกดูดเข้าไปในปากมัน
เหมือนจะเป็น… กับดักนะ? เฉินซีหรี่ตาลง เงาร่างสูงใหญ่หายวับไป จากนั้นหลบไปอยู่ที่ไกลเสีย
ฟ่าว!
แทบในพร้อมกันนั้น แสงเย็นยะเยือกก็พุ่งมาจากห้วงอากาศทิศหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งทรงพระจันทร์เสี้ยวซัดลงมา
ฉัวะ!
มันสะบั้นศีรษะอสูรดุร้ายได้อย่างง่ายดาย ร่างยักษ์ของสัตว์ร้ายสั่นสะท้าน ก่อนจะเห็นโลหิตพุ่งออกมาเหมือนน้ำตก
ฟึบ!
แล้วเก็บซากร่างของมันเข้าไปในขวดหยกนั่น
“ไม่เลวเลย มีซากมังกรอสรพิษสี่กรงเล็บเป็นเหยื่อ ก็คงล่อหนอนวิญญาณรากบรรพชนหลังเข้าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่มาได้….” ชายหนุ่มในชุดเขียวยิ้มบาง ก่อนจะเก็บขวดหยกไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นสายตาก็ตวัดมองไปทางจุดที่เฉินซีหลบซ่อนอยู่
มุมปากเขาขยับยกขึ้น “สหายเต๋า ในเมื่อพบหน้ากันแล้วเหตุใดต้องซ่อนตัวด้วย? ข้า คุนอู๋ชิง ไม่ใช่คนเลว หรือเจ้าคิดว่าข้าจะกินเจ้างั้นหรือ?”
“อาจจะไม่กิน แต่ก็วางกับดักให้คนมาตาย” ร่างสูงของเฉินซีปรากฏขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชา
พร้อมกันนั้น เฉินซีก็ต้องตกใจ คุนอู๋ชิง? นั่นมันมหาเทวาวิญญาณอันดับที่สิบเก้า บนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ?
“อ้อ? หมายความว่าอะไรหรือ?” คุนอู๋ชิงพูดยิ้ม ๆ
“เพื่อล่อให้สัตว์อสูรออกมา เจ้าสังหารสามเทวารู้แจ้งวิญญาณ แช่แข็งศพไว้ในน้ำแข็ง วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้อย่างไรเล่า” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ
“ฮ่า ๆ! ก็แค่ขยะไม่กี่ชิ้น ให้ข้าได้เอาพวกมันมาใช้งานก็นับเป็นเกียรติของพวกมันมากแล้ว” คุนอู๋ชิงไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังระเบิดหัวเราะเสียอีก ใบหน้าไม่ใส่ใจอะไรส่งผลให้เฉินซีขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าคุนอู๋ชิงมีนิสัยกระหายเลือด คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเช่นนี้
“ข้าเพียงแต่สงสัยว่า แค่เพื่อล่าอสูรดุร้ายสักตัว ด้วยฐานะของเจ้าแล้ว เหตุใดถึงจำเป็นต้องใช้วิธีโฉดชั่วเช่นนี้ด้วย?” เฉินซีพูดไปก็เลิกคิ้วไป
“อ้อ ดูท่าสหายเต๋าจะยังไม่รู้สถานการณ์ อสูรร้ายในมหาสมุทรแห่งนี้ล่ายากเป็นอย่างยิ่ง เว้นเสียแต่จะใช้เลือดเนื้อของคนขอบเขตเทวามาเป็นเหยื่อล่อ ไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่เผยตัวเลย” คุนอู๋ชิงกล่าวเสียงเนิบช้า “ข้าจึงได้แต่ใช้วิธีเช่นนี้ ไม่งั้นมีหรือข้าจะยอมมือเปื้อนเลือดพวกขยะเช่นนั้น?”
พูดถึงจุดนี้ นัยน์ตาเขาก็ฉายอารมณ์อ่านยาก พลางมองเฉินซีแล้วกล่าว “หากข้าต้องเลือกคู่ต่อสู้สักคน เป็นไปได้ข้าคงเลือกคนอย่างสหายเต๋า ไม่ใช่ขยะพวกนั้นแน่”
ใจเฉินซีเกิดแววระวังตัวขึ้นมา “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าหลังจากได้เห็นอะไรแบบนั้น ข้าก็อยากได้คำชี้แนะจากสหายเต๋าเช่นกัน”
คุนอู๋ชิงหรี่ตาลง จ้องเฉินซีอยู่นาน แต่กลับหัวเราะลั่นออกมา ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป
“ข้าอ่านเจ้าไม่ออก ฉะนั้นอย่าลงมือกับเจ้าเลยดีกว่า อีกทั้งถึงจะลงมือจริง ค่อยรอตอนเข้าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ไปแล้วก็ยังไม่สาย แต่อย่างไรก็ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่…” เงาร่างนั้นฉีกมิติแล้วหายไปท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น
………………..