บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 165 ห้าปี
บทที่ 165 ห้าปี
บทที่ 165 ห้าปี
สายลมกำเนิดมาจากพื้นดินพัดมาทางปลายหญ้าก่อน เมื่อกระแสลมพัดโชยอย่างอ่อนเบา มันก็เหมือนกับต้นหลิวต้องเมฆ แต่เมื่อมันรุนแรง มันกลับสามารถแยกทะเลและภูเขาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหากกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของมัน ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถเทียบเคียงได้
ขณะที่เฉินซีนั่งสมาธิอยู่บนขอบหน้าผาท่ามกลางมวลเมฆ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยุดบ่มเพาะเต๋ากระบี่แห่งวายุชั่วคราว และมองไปที่เต๋ากระบี่ทั้งเจ็ดที่เหลืออยู่
สัญลักษณ์เฉียนเป็นตัวแทนของท้องฟ้า กระบี่เฉียนแห่งนภานั้น มีท่วงท่ากระบี่ที่สูงส่งราวกับสวรรค์ที่ปกคลุมโลก ไม่อาจคาดเดาและกว้างใหญ่ไพศาล
สัญลักษณ์คุนเป็นตัวแทนของผืนดิน กระบี่คุนแห่งพสุธา หนักแน่น ลึกล้ำ และมีการป้องกันอย่างต่อเนื่อง
สัญลักษณ์ข่านเป็นตัวแทนของน้ำ กระบี่ข่านแห่งวารี เป็นเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากหรือทะเลที่มีพายุ
สัญลักษณ์หลีเป็นตัวแทนของไฟ กระบี่หลีแห่งอัคคีนั้นเดือดดาลและรุนแรง แผดเผาและครอบงำ
สัญลักษณ์เจิ้นเป็นตัวแทนของสายฟ้า กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้าเคลื่อนไหวเหมือนกับสายฟ้าที่สามารถพิชิตทุกสิ่ง
สัญลักษณ์เกิ้นเป็นตัวแทนของภูเขา กระบี่เกิ้นแห่งขุนเขานั้นทรงพลังและตั้งตระหง่านดั่งภูเขาสูงชัน
สัญลักษณ์ตุ้ยเป็นตัวแทนของหนองบึง กระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึงนั้นพัวพันการเคลื่อนไหวของผู้คนให้ช้าลง
มหาเต๋ากระบี่ทั้งเจ็ดเหล่านี้คล้ายกับกระบี่สวินแห่งวายุ และทั้งหมดนั้นมีรูปแบบที่หลากหลายและกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร แต่ละเคล็ดวิชามีคุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง และแฝงไปด้วยความลึกซึ้งอันมากมายของสวรรค์และโลก
อย่างน้อยในสายตาของเฉินซี นอกจากอนุมานและทำความเข้าใจแล้ว หากเขาต้องการเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่นี้อย่างถ่องแท้ เขายังต้องเข้าใจเต๋ารู้แจ้งทั้งแปด อันได้แก่ ท้องฟ้า ผืนดิน ภูเขา สายฟ้า น้ำ ไฟ ลม และหนองบึงเสียก่อน
ในบรรดาเต๋าเหล่านี้ เฉินซีได้เชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งน้ำ ไฟ ลม และสายฟ้าแล้ว ส่วนเต๋ารู้แจ้งแห่งผืนดินและเต๋ารู้แจ้งแห่งภูเขาเป็นเพียงเต๋ารอง ที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าแห่งปฐพี ในขณะที่เต๋ารู้แจ้งแห่งหนองบึงเป็นเต๋ารองที่เป็นส่วนหนึ่งมหาเต๋าแห่งวารี และเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้เขาก็ได้เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน
สรุปแล้ว ในบรรดาเต๋ารู้แจ้งทั้งแปดนี้ เฉินซียังไม่เชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาเท่านั้น ส่วนเต๋ารู้แจ้งทั้งเจ็ดประเภทที่เหลือ เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ด้วยเหตุนี้เองที่เป่ยเหิงได้กล่าวว่าคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนั้น เหมาะสมกับเฉินซีที่จะศึกษาและไตร่ตรองตามความถนัดของเขา
ทว่าเป่ยเหิงเพียงแนะนำว่า เขาควรทำความเข้าใจและอย่าได้บ่มเพาะมัน ด้วยเหตุผลที่ว่า การบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ซึ่งผู้คนในโลกต่างก็รู้ดีว่าวิชากระบี่นี้ทรงพลังขนาดไหน แต่กลับไม่มีผู้ใดบ่มเพาะมันได้เลยสักคน และเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือ? ก็เป็นเพราะมันนั้นยากเย็นแสนเข็ญ!
แม้ว่าอายุขัยของผู้บ่มเพาะจะยาวนานกว่าคนทั่วไปในโลกมนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ถ้าใครไม่สามารถบรรลุเป็นเซียนสวรรค์ที่มีอายุขัยเท่ากับสวรรค์และโลก ก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่คนคนนั้นจะล้มตายจากการสิ้นอายุขัย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครยอมเสียเวลาอันมีค่าเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้สำเร็จ
นี่เป็นมุมมองทั่วไปของคนส่วนใหญ่ หรืออาจจะมีคนที่บ่มเพาะมันได้สำเร็จ แต่คนเหล่านี้มีตัวตนที่คล้ายกับขนวิหคเพลิงและเขากิเลนและอาจจะไม่มีใครสักคนเดียวในบรรดาสิบล้านคน
แต่เฉินซีตั้งใจจะบ่มเพาะมัน เขาไม่ได้พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาผิด และไม่ใช่เพราะเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่ามันยาก แต่มันเป็นแรงกระตุ้นประเภทหนึ่งที่มาจากใจล้วน ๆ ซึ่งคล้ายกับสร้างเครื่องรางของขลัง เป็นเพราะเขาชอบมันเท่านั้น และไม่มีเหตุผลอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้อย่างรางเลือนว่า หากเขาสามารถบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบได้สำเร็จ มันจะเกิดประโยชน์ต่อการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาอย่างมหาศาล
แก่นแท้ของเต๋าแห่งยันต์อักขระคือการสรุปความลึกซึ้งของสวรรค์และโลก เพื่อเปลี่ยนความเสื่อมโทรมให้กลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนี้จะอนุมานเคล็ดวิชากระบี่ได้ แต่เหตุใดเคล็ดวิชากระบี่กลับไม่ได้หลอมรวมเอาความลึกซึ้งของสวรรค์และโลกเข้าไปด้วย?
‘หากข้าสามารถบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบได้สำเร็จ ก่อนที่ข้าจะก้าวไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง บางทีข้าอาจจะสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งไร้ผู้ต้านในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่ง…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะกระบี่สวินแห่งวายุในทันที
ในทะเลจิตสำนึกของเขา ความแข็งแกร่งทางวิญญาณของเฉินซีกำลังโคจร ขณะที่เขาดื่มด่ำไปกับการเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขอบเขต สิ่งที่เขาต้องทำคืออนุมานการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของกระบี่สวินแห่งวายุและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
นี่เป็นแผนการอันยิ่งใหญ่ที่เหมือนกับการจดจำวิถีโคจรของดวงดาวนับร้อยล้านดวง มันทั้งซับซ้อน น่าเบื่อหน่าย และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
โชคดีที่เฉินซีมีฐานการบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระที่มั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และเขาปรารถนาที่จะบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบจากก้นบึ้งของหัวใจเขา ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับเฉินซีที่หมกมุ่นอยู่กับการอนุมานของเขา จนไม่ได้ใส่ใจถึงวันเวลาที่ล่วงเลย วันแล้ววันเล่าคืนแล้วคืนเล่า เขายังคงนั่งสมาธิอยู่ข้างหน้าผาบนยอดเขาใจสัจธรรมตลอดเวลา ไม่ขยับ ไม่กิน ไม่ดื่ม ราวกับเป็นรูปปั้นดินเผาที่ต้านลมและฝนอยู่ตลอดกาล
ในช่วงเวลานี้ บนยอดเขาใจสัจธรรมทั้งหมดได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ศิษย์หญิงและชายทั้งเจ็ดสิบสองคนต่างก็ยุ่งกับงานของตัวเองและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในตอนนี้ ชื่อของเฉินซีได้เลื่องลือไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางตอนใต้ทั้งหมดแล้ว และเหล่าศิษย์สายในทั้งเจ็ดสิบสองคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากสิ่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเฉินซีเป็นพี่น้องร่วมสาบานของบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง ทรัพยากรและผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่แจกจ่ายโดยนิกายไปยังยอดเขาใจสัจธรรม เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ใจกว้างที่สุดในนิกายทั้งหมด และทำให้ศิษย์ชัั้นยอดคนอื่น ๆ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสของนิกายก็ต้องรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น และไม่อาจแสดงความไม่พอใจหรืออิจฉาออกมา เพราะพวกเขาเกรงกลัวเป่ยเหิงที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฉินซีนั่นเอง
แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ หลังจากที่ตระกูลซูถูกทำลายล้าง ซูเฉิน บุตรชายคนโตของตระกูลซู ซึ่งแต่เดิมเป็นศิษย์ของบรรพจารย์หลิงตู้ได้หายตัวไปอย่างกะทันหัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาหายตัวไปที่ใด มีชีวิตอยู่หรือล้มตายไปแล้ว บางคนบอกว่าเขาถูกฆ่าโดยศัตรู บ้างก็บอกว่าเขาหนีเอาชีวิตรอด และมีมุมมองหลากหลายต่อเรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ชื่อของซูเฉินก็ค่อย ๆ จางหายไปจากการรับรู้ของผู้คน และไม่มีใครกล่าวถึงเขาอีกเลย
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบเช่นนี้ และเพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปี
ในวันนี้ หิมะตกลงมาอย่างหนัก ทำให้สวรรค์และโลกขาวโพลนเป็นบริเวณกว้าง เป่ยเหิงมาถึงยอดเขาใจสัจธรรมในตอนรุ่งสาง แต่เขากลับพบว่าเฉินซียังคงบ่มเพาะอยู่ และร่างของเขาถูกฝังอยู่ในหิมะ จึงทำให้ชายชรามองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้
“เขาบ่มเพาะอยู่ที่นี่มาตลอดเวลาเลยหรือ?” เป่ยเหิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ในช่วงปีที่แล้ว เขาอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ ตัวเขาในตอนนี้จึงอยากมาดูว่าการบ่มเพาะของเฉินซีเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่า ชายหนุ่มจะอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วขอรับ ท่านพี่ของข้านั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ขยับเขยื้อนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว” เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างเป่ยเหิง อธิบายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ตั้งแต่ปีที่แล้วหรือ? หรือว่าน้องเฉินทำความเข้าใจคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบอยู่ตลอดเวลา?” สีหน้าของเป่ยเหิงแข็งทื่อ ทันใดนั้น เขาก็ได้มาถึงข้างกายของเฉินซีอย่างเร่งรีบ และตรงตามที่คาดไว้ เขาพบว่ากลิ่นอายในร่างกายของเฉินซีนั้นเงียบสงบและนิ่งสงบ และเจ้าตัวก็ไม่ได้โคจรการบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ดังนั้น มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ เฉินซีกำลังอนุมานคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบอยู่ในใจของเขา!
“จริงหรือนี่… ข้าจะทำอย่างไรดี?” คิ้วของเป่ยเหิงเลิกขึ้น และดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะลุกโชน แต่ก็ต้องฝืนมันไว้ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “หากข้ารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ข้าไม่ควรมอบคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบให้กับเขาเลย”
“คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ? สิ่งนั้นคือเคล็ดวิชากระบี่ที่บ่มเพาะได้ยากที่สุดในโลก และน้อยคนที่จะสามารถบ่มเพาะได้สำเร็จไม่ใช่หรือขอรับ?” เฉินฮ่าวเข้าใจในทันใด ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนกล่าวถึงเคล็ดวิชากระบี่นี้ และเขาย่อมรู้ถึงความยากลำบากในการบ่มเพาะมัน
“แล้วไปเถิด จงบ่มเพาะตราบเท่าที่จะสามารถทำได้ ข้าหวังว่าเขาจะสามารถถอนตัวเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบากในขณะบ่มเพาะ มิฉะนั้นมันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า” เป่ยเหิงส่ายศีรษะก่อนจะหันหลังกลับและจากไปในทันที
“ถอนตัวหลังจากบ่มเพาะแล้วประสบกับความยากลำบากหรือ? ข้าหวังว่าท่านพี่จะสามารถบ่มเพาะได้สำเร็จ… อืม ข้าก็ต้องบ่มเพาะให้มากขึ้นเหมือนกัน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้าจะกลับไปที่เมืองหมอกสนและฟื้นฟูตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของท่านปู่บนสวรรค์” เฉินฮ่าวพึมพำก่อนจะจากไปเช่นกัน
ลมหนาวได้พัดผ่านไปอีกหนึ่งปี เฉินซียังคงนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างหน้าผาเป็นเวลาถึงสองปีแล้ว และไม่มีทีท่าว่าเขาจะฟื้นตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย
นอกจากการบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียรแล้ว เฉินฮ่าวก็มักจะมาที่ยอดเขาเพื่อเยี่ยมเยียนพี่ชายของเขา เด็กหนุ่มสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใบหน้าของเฉินซีนั้นซีดเซียวมากขึ้นเรื่อย ๆ แก้มของเขาเริ่มตอบ ผมและหนวดเคราที่ยาวรุงรังจนกองอยู่บนพื้นแล้ว และรูปร่างของเขาก็ซูบผอมมาก
เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ ผู้เป็นน้องชายจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพี่ชาย การใช้พลังงานมากเกินไปเป็นย่อมอันตรายต่อการบ่มเพาะของคนผู้นั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อพลังชีวิตเท่านั้น ยังเป็นเรื่องง่ายมากที่จะประสบกับการธาตุไฟเข้าแทรก หากเป็นเช่นนี้ การบ่มเพาะของคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นพิการอย่างสมบูรณ์
ในช่วงเวลานี้ เป่ยเหิง เหวินเสวี่ยน หลิงคงจื่อ ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ ซ่งหลิน และคนอื่น ๆ ต่างก็คอยมาเยี่ยมเยียนเฉินซี แต่เมื่อพวกเขาพบว่าเฉินซีกำลังทำความเข้าใจต่อคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบอยู่ตลอดเวลา พวกเขาก็ได้แต่ทอดถอนใจเช่นกัน
พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าพรสวรรค์ของเฉินซีนั้นไม่ธรรมดา และความแข็งแกร่งของเขาก็น่าเกรงขามเช่นเดียวกัน แต่ที่ทุกคนกังวลนั้น เป็นเพราะโอกาสที่เขาจะบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบได้สำเร็จนั้นมีน้อยมาก และการกระทำของเฉินซีกลับกลายเป็นปัญหาที่ไม่จำเป็น ซึ่งมันเสียเวลาเปล่าโดยสิ้นเชิง และเป็นการบ่มเพาะที่ยากลำบากแต่กลับไร้ผลประโยชน์เกื้อหนุนใด ๆ
ภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทั้งหมดก็ค่อย ๆ รู้ว่าเฉินซีกำลังบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ บางคนก็ถอนหายใจด้วยความชื่นชม บางคนประหลาดใจ แต่พวกเขากลับยิ่งสงสัย เพราะไม่มีผู้ใดคิดว่าเฉินซีจะบ่มเพาะสำเร็จ และพวกเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง อัจฉริยะที่อายุยังน้อย แต่ตอนนี้กลับไม่ต่างจากคนฟั่นเฟือน และทำให้คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความกระวนกระวายอย่างแท้จริง
เข้าปีที่สาม
สู่ปีที่สี่
จนในปีที่ห้า ขณะที่เฉินฮ่าวจ้องมองไปยังเฉินซี ซึ่งยังเงียบสงบและไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เด็กหนุ่มก็ไม่อาจทนต่อความกังวลในใจของเขาได้อีกต่อไป และตั้งใจจะปลุกพี่ชายของเขา เพราะเขาสัมผัสได้ว่า กลิ่นอายของพลังชีวิตของเฉินซีอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก และมันก็แทบที่จะเหือดแห้งในไม่ช้า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เฉินซีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หืม? เมื่อเฉินฮ่าวตั้งใจจะลงมือ จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าร่างกายของเฉินซีนั้น ดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ยังคงนิ่งสงบและไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ
“หรือว่าข้ากำลังประสาทหลอน?” เมื่อเฉินฮ่าวกำลังรู้สึกงุนงง ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าเฉินซีได้ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นโลหิต จึงทำให้พวกมันกลายเป็นสีแดงและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านพี่ ท่านฟื้นแล้วหรือ” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
เฉินซีไม่ได้สนใจเฉินฮ่าว และเขากลับยืนขึ้นแทน ร่างกายของเขาผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูก แก้มและดวงตาของเขาตอบลึกจนดูน่ากลัวยิ่งนัก
“ฮู่ววว!” เฉินซีเริ่มหายใจลึก ๆ และโคจรปราณจ้าววิญญาณของเขา ทันใดนั้น เส้นโลหิตในดวงตาของเขาก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวหนังรอบร่างกายของเขาได้ขยายขึ้นมาอีกครั้ง และริ้วรอยเหี่ยวย่นของเขาก็ได้หายไป ฟื้นคืนสู่ประกายแวววาวราวกับหยกอุ่น ๆ ใบหน้าของเขากลับมาหล่อเหลาอีกครั้งเฉกเช่นเมื่อก่อน
เพียงชั่วพริบตา เฉินซีได้กลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังหล่อเหลาเป็นพิเศษ และไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เลวร้ายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
“ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็ตระหนักได้ว่าหลงทางและหวนคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนั้นจะน่าเกรงขามสักเพียงใด หากท่านไม่บ่มเพาะมันก็ไม่เป็นอะไร” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง และเขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ก่อนที่จะสร้างกระบี่ด้วยนิ้วของเขาและแทงออกไป
นิ้วนี้ไม่มีร่องรอยของปราณแท้อยู่แม้แต่น้อย แต่ในสายตาของเฉินฮ่าว เขากลับรู้สึกว่ามันได้หลอมรวมเข้ากับพื้นที่โดยรอบได้อย่างไร้ที่ติ คาดเดาไม่ได้ กว้างใหญ่ไพศาล และเข้าใจได้ยาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของนิ้วนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม และทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและไร้อำนาจ
พลังของนิ้วนี้คาดเดาไม่ได้และลึกซึ้งเหมือนท้องฟ้าในสมัยโบราณ มันคือกระบี่เฉียนแห่งนภาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฉินฮ่าวฝึกฝนในเต๋าแห่งกระบี่ตั้งแต่เขายังเด็ก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาสามารถขัดเกลาเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่เขาหยั่งรู้ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น และในไม่ช้าก็ใกล้ที่จะสัมผัสขอบเขตแดนเต๋าแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ต่อสู้ได้อย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยนิ้วที่ผ่อนคลายของเฉินซี?
“เข้ามาเลย!” เฉินฮ่าวตะโกนเสียงดัง และเขาก็สร้างกระบี่ด้วยนิ้วของเขาในทำนองเดียวกัน ก่อนที่จะกวาดออกไปในอากาศ ทันใดนั้น ลมปราณอันกว้างใหญ่ ทรงพลัง และเที่ยงธรรมสูงส่งก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา และทะยานไปข้างหน้าอย่างไร้เทียมทานขณะที่มันปะทะกับปลายนิ้วของเฉินซีโดยตรง
เฉินซีเพียงยิ้มบาง ๆ พลางส่ายนิ้วไปมา ทันใดนั้น ราวกับว่าแม่น้ำสายใหญ่ที่ถาโถมไปข้างหน้าด้วยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ได้ก่อตัวขึ้น ราวกับมันสามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลก จนสามารถสลายการโจมตีของเฉินฮ่าว และกลับคืนสู่ความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่นุ่มนวลกว่าน้ำ แต่แม้การโจมตีที่รุนแรงก็ไม่สามารถเอาชนะกระบี่ข่านแห่งวารีได้
การเคลื่อนไหวของเฉินฮ่าวที่ถูกสกัดกั้น กลับกระตุ้นความดื้อรั้นในใจของเขา ร่างของเด็กหนุ่มขยับซ้ำไปซ้ำมาในทันที วิถีกระบี่เที่ยงธรรมของเขานั้น เหมือนกับบัณฑิตที่ใช้งานปักสื่อถึงอารยธรรมและจารึกประวัติศาสตร์ ทุกท่วงท่านั้นล้วนสง่างามและเที่ยงธรรม มันครอบคลุมพื้นที่ไปทั่วบริเวณ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้าที่มาถึงแดนมนุษย์และไม่ยอมให้มีการละเมิดใด ๆ เป็นอันขาด
เฉินซีแย้มยิ้ม และขยับนิ้วของเขาอีกครั้ง และใช้กระบี่คุนแห่งพสุธา กระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึง กระบี่หลีแห่งอัคคี กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า และกระบี่เกิ้นแห่งขุนเขาอย่างต่อเนื่อง พวกมันต่างก็ไล่ต้อนการโจมตีของเฉินฮ่าวด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และกระบวนท่ากระบี่ของเขาคงไม่มีผู้ใดเทียบได้ในโลก
“พอแล้ว พอแล้ว” เฉินฮ่าวกระโจนหลบหลีกและกล่าวเสียงดังว่า “แต่ข้าจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะเหนือกว่าท่านในสักวันหนึ่ง”
“เช่นนั้นหรือ งั้นข้าจะรอแล้วกัน ฮ่า ๆๆ…” เสียงหัวเราะของเฉินซีดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงของเขากังวานและไพเราะเสมือนเสียงคำรามของมังกร ซึ่งดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก เผยให้เห็นถึงความยินดีที่สุดแสนจะพรรณา
‘ทนนั่งบากบั่นอยู่เป็นเวลาถึงห้าปี โดยไม่แตะต้องอาหารหรือการพักผ่อนใด ๆ ขณะที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ความอันตรายและความยากลำบากเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้ เว้นแต่จะประสบด้วยตนเอง…’ เฉินซีครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดห้าปีอยู่ในใจ