บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1652 สัมภเวสีที่ไม่ไปผุดไปเกิด
บทที่ 1652 สัมภเวสีที่ไม่ไปผุดไปเกิด
………………..
บทที่ 1652 สัมภเวสีที่ไม่ไปผุดไปเกิด
ด้วยการกวัดแกว่งกระบี่เพียงครั้งเดียว ฟ้าดินก็ตกอยู่ในความเงียบงัน มหาเต๋าพังทลายสู่ความว่างเปล่า และมีเพียงเสียงกระบี่ก้องกังวานดุจเสียงคำรามของมังกร
การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งนี้น่ากลัวเกินไป มันไม่ใช่แค่ในขอบเขตจักรพรรดิกระบี่เท่านั้น แต่ยังมีร่องรอยของกลิ่นอายที่รกร้าง เก่าแก่ และดั้งเดิมอีกด้วย
แม้ว่าร่องรอยของกลิ่นอายนี้จะเล็กน้อยมาก แต่ชั่วพริบตาก็เพิ่มพลังโจมตีเป็นสองเท่าได้ในทันที!
โอม!
เสียงกระบี่กังวานก้องไปทั่วฟ้าดินประหนึ่งกระแสน้ำ
ปราณกระบี่เล่มนี้ไม่เพียงแต่มีพลังที่ไม่มีใครเทียบได้เท่านั้น แต่ยังรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ อวกาศไม่สามารถหยุดมันได้ และเวลาก็ไม่สามารถทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา การโจมตีทั้งหมดที่บดขยี้มาจากทุกทิศทางก็ถูกฟันแยกออกจากกันและถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย!
อาจกล่าวได้ว่า มันสามารถทำให้ทั้งจักรวาลตกตะลึง!
เสียงอึกทึกครึกโครม เสียงร้องโหยหวน การระเบิดจากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่แตกสลาย หรือเคล็ดวิชาที่พังทลาย….
ทันใดนั้น สนามรบทั้งหมดก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็หนีด้วยความแตกตื่น บ้างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บ้างก็กระอักเลือดจนล้มกองกับพื้น บ้างก็ร้องเสียงดังด้วยความโกรธ บ้างก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว
นี่คือการทำลายล้างที่เกิดจากการโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซี
ทว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมัน
เพราะหลังจากที่มันบดขยี้การโจมตีทั้งหมดนั้น ปราณกระบี่นี้ก็ไม่ช้าลงเลย และฟันลงไปที่เป่ยเหวิน!
“บัดซบ!” ใบหน้าอันหล่อเหลาของเป่ยเหวินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาไม่เคยคิดว่าสถานการณ์ของความพ่ายแพ้จะเกิดขึ้นทันทีที่การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่า ชายคนนี้ที่ไม่สามารถระบุต้นกำเนิดได้ กลับมีการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้ และมันเกิดความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปที่จะรู้สึกเสียใจ
ฟิ่ว!
มันเป็นโล่โบราณที่จารึกด้วยอักขระยันต์หนาแน่นและคลุมเครือจำนวนนับไม่ถ้วน เปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์หนาทึบ และเห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดา
โครม!
แต่เมื่อเผชิญกับปราณกระบี่ โล่นี้ก็เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้น พื้นผิวของโล่มีรอยแตกเกิดขึ้นดุจใยแมงมุม จากนั้นมันก็ระเบิดเสียงโครมคราม และกลายเป็นฝนแสงในที่สุด
เป่ยเหวินรู้สึกเหมือนถูกภูเขากระแทก ร่างกายถูกระเบิดกระเด็นจนกระอักเลือดออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมาถึงจุดนี้ อานุภาพของกระบวนท่ากระบี่ก็สิ้นสุดลง!
ในทางกลับกัน ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เฉินซีได้ทำให้มหาเทวาวิญญาณและแปดผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณบาดเจ็บสาหัส สิ่งดังกล่าวอาจอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนและสร้างความตกตะลึงไปทั่วปฐพี
…
ในขณะนี้ สภาพของเฉินซีก็ไม่ดีไปกว่ากัน การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งนี้กลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างมาก แต่เนื่องจากเขาครอบครองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ดังนั้นเฉินซีจึงไม่ตกอยู่ในสภาวะคับขันนัก
ความเหนื่อยล้าที่แท้จริงที่เขาเผชิญนั่นเป็นเพราะพลังดวงใจ การโจมตีครั้งนี้เพียงอย่างเดียวทำให้พลังดวงใจของเฉินซีเกือบหมดสิ้น ส่งผลให้ความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจระงับได้แล่นไปทั่วร่างกายของเขา
แม้ว่ามันจะไม่ถึงขนาดทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่หากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป มันจะทำให้เขาเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดอย่างแน่นอน ในท้ายที่สุดเขาจะตกอยู่ในสภาวะที่มีพลังดวงใจไม่เพียงพอ และไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้
มิหนำซ้ำ ตั้งแต่ที่เขาบรรลุขอบเขตราชันเซียน การบ่มเพาะพลังดวงใจของเฉินซีได้บรรลุขอบเขตทารกดวงใจมานานแล้ว และมันเหนือกว่าผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกันกับเขา
ทว่าเพียงแค่โจมตีด้วยกระบี่ครั้งเดียวก็แทบกลืนกินพลังดวงใจของเขาไปจนหมดสิ้น และเป็นที่ประจักษ์ว่า การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งนี้ผิดปกติเพียงใด
โชคดีที่อานุภาพของมันน่าทึ่งอย่างยิ่งเช่นกัน อย่างน้อยการโจมตีครั้งนี้ก็สามารถบดขยี้การโจมตีของศัตรูทั้งหมดได้ ทั้งยังทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัส
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เฉินซีสามารถครองตำแหน่งที่ได้เปรียบอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย!
…
“นั่นเป็นเคล็ดวิชากระบี่ใดกัน?”
“เจ้า…. เจ้า…. เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นทั้งตกตะลึงและโมโห และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเห็นภูตผีวิญญาณร้าย สายตาของพวกเขาที่จดจ้องไปยังเฉินซียังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างหนาแน่น
พรวด!
เฉินซีไม่ได้กล่าววาจาแม้แต่คำเดียว ร่างของเขาวูบไหว พลางฟันด้วยกระบี่ในมือ และเก็บเกี่ยวศีรษะที่โชกเลือด
เขาไม่มีอารมณ์จะเสียเวลากับอีกฝ่ายจริง ๆ เนื่องจากการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้วและความเป็นปฏิปักษ์ได้ก่อตัวขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะคลี่คลายได้
เนื่องจากมันไม่สามารถคลี่คลายได้ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด และทำลายล้างศัตรูให้หมดสิ้น!
ในทางกลับกัน เฉินซีไม่เคยแสดงความเมตตาต่อศัตรูเลยสักครั้ง!
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าคนเหล่านี้ไม่เพียงแค่พยายามที่จะแย่งชิงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ของเขาอย่างไม่มีเหตุผลเท่านั้น มิหนำซ้ำพวกมันยังหยาบคาย และตั้งใจฆ่าเขาเพียงเพราะขัดแย้งกันเล็กน้อย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีจะมีอารมณ์มาเสียเวลากับพวกเขาได้อย่างไร? ถึงขนาดที่เขาไม่สนใจที่จะเยาะเย้ยและเหยียดหยามอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“บัดซบ!”
“มารดามัน! ไอ้หมอนี่ตั้งใจจะฆ่าพวกเราปิดปาก!”
เมื่อเห็นว่าเฉินซีเก็บเกี่ยวชีวิตสหายของพวกเขาโดยไม่กล่าววาจาใด ๆ สักคำ มันทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวและโกรธแค้นถึงขีดสุด
พวกเขาพยายามข่มขู่เฉินซีเพื่อทำให้เขาหยุด
ทว่าแท้จริงแล้ว เฉินซีกลับไม่แยแสเลย และพุ่งปราดไปข้างหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเปิดฉากสังหารโดยไม่ลังเลใด ๆ
เขาฟันกระบี่อีกครั้ง
มันพุ่งผ่านความว่างเปล่าอย่างลึกลับ แล้วจึงหายไปในอากาศ ในช่วงเวลาต่อมา มันปรากฏตัวต่อหน้าผู้บ่มเพาะ และผ่าร่างเขาออกเป็นสองซีก เลือดสาดกระเซ็นอย่างรุนแรง จนเขาไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนตายด้วยซ้ำ
“ไอ้สารเลว!” ใบหน้าของเป่ยเหวินมืดมนอย่างยิ่ง ดวงตาที่หว่างคิ้วของเขาพลุ่งพล่านด้วยแสงสีเลือดที่งดงาม และเขาลอบโจมตีเฉินซีจากทางด้านข้าง
เฉินซีพลิกฝ่ามือตวัดฟันขวางด้วยกระบี่ยันต์ศัสตรา ราวกับว่าเขากำลังแกว่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์
โครม!
เขาซัดเป่ยเหวินจนกระเด็นอย่างแรงอีกครั้ง ทำให้กระดูกในร่างแตกหักจนนับไม่ถ้วน และมันทำให้เป่ยเหวินเจ็บปวดจนถึงจุดที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยว และเผยให้เห็นสีหน้าน่าเกลียด
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณที่มีอันดับสูงสุด แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้อยู่ในอันดับต้น ๆ!
ทว่าบัดนี้ เขากลับไร้พลังที่จะต้านทานพลังของเฉินซี!
อันที่จริงมันเป็นเรื่องปกติ ย้อนกลับไปเช้าในวันนั้น เฉินซีได้บรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ และทำให้เยี่ยเหยียนผู้เป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลหวาดกลัวจนต้องหลบหนี
ต่อมาเมื่อต่อสู้กับกระบี่มลทินอเวจีบนดาววิญญาณมลทิน เขาได้รับความช่วยเหลือจากน้ำค้างธุวดาราศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดินีอวี้เชอโดยไม่คาดคิด ทำให้สามารถสร้างและปรับสภาพร่างกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น พลังบ่มเพาะยังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และอยู่ห่างจากการบรรลุความสมบูรณ์ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ดังนั้นยามนี้เขาจึงแข็งแกร่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับเยี่ยเหยียนมากกว่าสองเท่า
เมื่อประกอบกับความจริงที่ว่าพลังของยันต์ศัสตราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน รวมถึงมรดกที่ได้รับจากแผนภาพของกระบี่เปื้อนเลือด พลังของเฉินซีในเวลานี้ ย่อมเหนือล้ำกว่าในอดีตมาก
แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจมรดกจากแผนภาพของกระบี่เปื้อนเลือด และอาศัยความทรงจำเพื่อสำแดงพลังของกลิ่นอายเก่าแก่ที่รกร้างโบราณ แต่อานุภาพของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะต้านทานได้
อย่างน้อยที่สุด เป่ยเหวินก็ไม่สามารถต้านทานได้!
…
ในครั้งแรก เป่ยเหวินได้ใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อต้านทานมัน แต่โล่นั้นถูกทำลายไปแล้ว ทำให้ตัวเขายังถูกซัดจนกระเด็น
ถ้าครั้งแรกถือว่าโชคดี การถูกซัดครั้งที่สองนั่นคงไม่ใช่เพราะโชคแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีครั้งนี้ยังทำให้กระดูกในร่างกายแตกหักจนนับไม่ถ้วน ในขณะที่เลือดไหลทะลักออกมาจากทวารทั้งห้า เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เฉินซีจะโชคดี
ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย และมันทำให้ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อและสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง
“หนีไป!”
“เจ้าเด็กนี้รับมือยาก และไม่มีทางเอาชนะมันได้!”
“หนีไป!”
พวกเขาไม่ลังเลที่จะหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง และดูเหมือนว่าไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากเกิดมาพร้อมกับขาอีกสองขา
เฉินซีไม่ได้หยุดคนเหล่านี้ สายตาจับจ้องอยู่ที่เป่ยเหวินมาโดยตลอด ถ้าจะฆ่า เขาก็ต้องฆ่าบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน!
ในขณะนี้ ท่าทางของเฉินซีเฉยเมยและสงบ ชายหนุ่มก้าวมาถึงตรงหน้าหน้าเป่ยเหวินพร้อมกับยันต์ศัสตราในมือ เป็นเหมือนเทพแห่งความตายที่ไร้เทียมทาน ดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เป่ยเหวินตระหนักว่าตนตกอยู่ในอันตรายแล้ว ทันใดนั้น เขาก็พยายามดิ้นรนและกล่าวว่า “ช้าก่อน สหายเต๋า ไม่มีความเป็นศัตรูกันอย่างลึกซึ้งระหว่างเรา หากเจ้าหักใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ มันจะนำปัญญามาแก่เจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน”
ขณะที่กล่าว ตะเกียงแก้วที่มีรูปร่างเหมือนดอกบัวก็ลอยขึ้นมาปรากฏบนฝ่ามือของเขา เปลวไฟของตะเกียงเล็ดลอดออกมาเป็นเส้นแสงที่ดูเหมือนผ้าผูกผม ทั้งยังแผ่ปราณโกลาหลเช่นกัน ทำให้มันดูลึกลับอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงทันทีที่จ้องมองตะเกียงนี้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงร่องรอยของอันตราย ดังนั้นเขาจึงหยุดชะงักฝีเท้าทันที
“นี่คือสมบัติบรรพชนของตระกูลเป่ย และมันเรียกว่าตะเกียงอัคคีสกัดเทพ ถ้าข้าต่อสู้อย่างแลกชีวิต มันก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อเราทั้งคู่ และมันจะส่งผลร้ายต่อเราอีกเช่นกัน” เป่ยเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุด และกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “หากครั้งนี้เจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ตกลงหรือไม่”
“ไม่” เฉินซีส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
ดวงตาของเป่ยเหวินหดตัว และขมวดคิ้วพลางถาม “หรือว่าสหายเต๋าต้องการสู้จนกว่าเราทั้งคู่จะตายตกตามกัน?”
“ข้าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้ามอบสมบัติในมือ ตกลงหรือไม่?” เฉินซีตอบกลับด้วยคำถาม
“ไร้สาระ!” เป่ยเหวินโกรธมาก “นี่คือสมบัติบรรพชนของตระกูลเป่ย ข้าจะมอบมันให้กับคนนอกเช่นเจ้าได้อย่างไร!”
“ถูกต้อง ตอนนี้เราเป็นศัตรูกันแล้ว แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?” เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส
ใบหน้าของเป่ยเหวินกลายเป็นมืดมนทันควัน “ ดังนั้นด้วยเหตุนี้ สหายเต๋าตั้งใจที่จะต่อสู้จนกว่าเราทั้งคู่จะพินาศจริง ๆ?”
เป่ยเหวินดูเหมือนราวกับถูกโจมตีจุดอ่อน และร่างกายแข็งทื่อ ในขณะที่เขาคำรามอย่างโกรธเคือง “เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าถึงไม่ลงมือทันที เจ้าคิดเล่นตลกกับข้าเหรอ!?”
“เพราะ….” ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีก็เต็มไปด้วยความหนาวเย็น จากนั้นมองไปยังพื้นที่ด้านข้างและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “สหายเต๋า หากเจ้ายังไม่แสดงตัว ก็อย่าตำหนิข้าที่โหดเหี้ยม !”
เป่ยเหวินรู้สึกหวาดกลัว “มีคนซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ เหรอ?”
“ฮ่า ฮ่า! ข้าไม่ได้ตัดสินเจ้าผิดจริง ๆ สหายเต๋าปกปิดพลังได้อย่างลึกซึ้งจริง ๆ” พร้อมกับเสียงแผดหัวเราะ คุนอู๋ชิงก็ก้าวยาว ๆ ออกมาจากห้วงมิติ
ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่จุดที่เขายืนอยู่นั้น บังเอิญอยู่ตรงหน้าเป่ยเหวินพอดิบพอดี
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีขมวดคิ้ว พลางกล่าวเสียงเย็น “หึ เจ้าคิดช่วยเขา?”
“ข้าไม่ได้ช่วย แต่สหายเต๋า เจ้าไม่อาจฆ่าเขาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าในอนาคต” คุนอู๋ชิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋า เจ้าอาจไม่รู้ แต่ในเอกภพจักรวรรดิ เป่ยอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นปู่ของเป่ยเหวินนั่นมีชื่อเสียงในด้านการปกป้องคนในตระกูล หากเจ้าฆ่าหลานชายของเขา เจ้าคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ?”
ดูเหมือนว่าเป่ยเหวินจะรู้จักคุนอู๋ชิง และรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าคุนอู๋ชิงพยายามช่วยตนจริง ๆ ดังนั้นจึงจ้องมองไปที่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋าคุนอู๋กล่าวถูกต้องแล้ว หากเจ้าปล่อยข้าไปในครั้งนี้ มันจะเป็นผลดีสำหรับพวกเราทุกคนอย่างแน่นอน”
“แล้วถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ?” ดวงตาสีดำสนิทของเฉินซีเต็มไปด้วยความเย็นชา คุนอู๋ชิงผู้นี้เป็นดั่งสัมภเวสีที่ไม่ไปผุดไปเกิดจริง ๆ โผล่มาทุกที่ที่ข้าไป
………………..