บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1654 ระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1654 ระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์
………………..
บทที่ 1654 ระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์
ผีเสื้อตัวนี้มีขนาดเพียงปลายนิ้ว สีเทาทั้งตัว ไร้กลิ่นอายความมีชีวิตชีวาใด เหมือนใบไม้แห้งใบหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเฉินซีเห็นมัน ดวงตาคมกริบก็หรี่ลง
เพราะด้วยพลังในปัจจุบัน ทั่วร่างจึงเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจมีพลังใดทำร้ายได้อีก เขาจึงเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ต้องพูดถึงใบไม้หรอก กระทั่งมีกระบี่บินพุ่งเข้ามา พลังภายในร่างก็จะโคจรออกมาต้านการโจมตีเอง
ทว่าผีเสื้อตัวนี้กลับเกาะติดอยู่บนตัว โดยที่เขาไม่รู้สึกเลย ซึ่งนี่ผิดปกติมาก
“ผีเสื้อตัวนี้เรียกว่าผีเสื้ออาภรณ์วิญญาณ เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ ทั่วทั้งแดนเทพโบราณนี้ มีเพียงตระกูลคุนอู๋เท่านั้นที่จะเลี้ยงมันได้” เชินถูเยียนหรานเอ่ยด้วยแววตาฉลาดเฉลียว “มีหน้าที่ไว้ใช้ติดตามศัตรูเท่านั้น ไม่ใช่เพียงเจ้า แต่กระทั่งบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลยังไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่ามันมาอยู่บนร่างแล้ว”
เฉินซีเผยแววตาเย็นชาทันใด ในที่สุดกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุนอู๋ชิงถึงมาปรากฏตัวบ่อยครั้งนัก
“ดูท่าคุนอู๋ชิงจะให้ความสำคัญกับเจ้าไม่น้อย” เชินถูเยียนหรานดูตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“คงเป็นเช่นนั้น” ริมฝีปากนุ่มอวบอิ่มของเชินถูเยียนหรานยกยิ้มเยาะเย้ย นัยน์ตาเป็นประกายดาวเผยแววรังเกียจเดียดฉันท์
“โชคดีที่เจ้าปฏิเสธไป คุนอู๋ชิงเลื่องชื่อนักในเอกภพจักรวรรดิ จนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นใครที่บอกว่าร่วมมือกับเขารอดจากมือเขาสักคน บ้างก็ถึงกับเอาชีวิตมาทิ้ง บางตระกูลก็ล่มสลาย ร่วมมือกับเขามีแต่พบจุดจบไม่สวย หากไม่ใช่ว่าตระกูลคุนอู๋เป็นตระกูลแข็งแกร่งในเอกภพจักรวรรดิ เศษสวะเช่นคุนอู๋ชิงก็คงตายไปหลายพันครั้งนานแล้ว”
ได้ยินดังนั้น เฉินซีจึงเข้าใจ ไม่แปลกที่คุนอู๋ชิงอยากร่วมมือกับข้า สรุปแล้วคนอื่นรู้สันดานเขาดีแล้วนั่นเอง มีแต่ต้องหาพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาเป็นเหยื่อ
“คนผู้นั้นแปลกเสียจริง เป็นพวกที่ยอมปล่อยให้เพื่อนตายเพื่อให้ตัวเองรอด” เฉินซีถอนหายใจออกมา
“ถูกแล้ว แม้จะช่วยเป่ยเหวิน แต่เท่าที่ข้าดูแล้ว อีกไม่นานเป่ยเหวินคงได้เดือดร้อนเพราะคุนอู๋ชิงแน่” เชินถูเยียนหรานเม้มปากคลี่ยิ้ม นัยน์ตาแวววาว เผยความงามอันน่าตื่นตะลึงออกมา
พูดจบนางก็งอนิ้วงามเล็กน้อย เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวก็ปรากฏขึ้น
ฟู่!
ผีเสื้ออาภรณ์วิญญาณที่ไร้ซึ่งพลังชีวิตใดส่งเสียงร้องแหลม กระพือปีกคิดหนี แต่ก็สายไปเสียแล้ว มันถูกเผาจนไหม้เป็นจุณด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์สีขาวนั่น
“ที่นี้แก้ปัญหาได้หมดแล้ว เราไปกันเถอะ” เชินถูเยียนหรานยิ้มมองเฉินซี ก่อนใช้วิชาเคลื่อนมิติต่อ
“เดินทางไปคุยไปเถอะ” เชินถูเยียนหรานกะพริบตายิ้มให้ “คุณชายเฉินซี หรือท่านจะไม่มีความอดทนเสียเลย? หรือว่าไม่ชอบเดินทางไปกับเยียนหรานหรือ?”
นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว เฉินซีจึงทำได้เพียงไหลไปตามน้ำ
…
ขุนเขาทอดตัวยาวไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ยังมีหุบเขาที่เต็มไปด้วยหินขรุขระรูปร่างแปลกประหลาดอยู่ท่ามกลางภูเขาเหล่านั้นด้วย
เป่ยเหวินป้องมือกล่าวขึ้น “ขอบคุณสหายเต๋าคุนอู๋ที่มีคุณธรรมช่วยเหลือ ต่อไปกลับเอกภพจักรวรรดิเมื่อไหร่ ข้าย่อมตอบแทนสหายเต๋าคุนอู๋แน่”
คุนอู๋ชิงหัวเราะ “พี่เป่ยเหวินไม่จำเป็นหรอก ที่ข้าช่วยเจ้าไว้ก็เพราะอยากสำรวจซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ด้วยกัน”
เป่ยเหวินสีหน้าเปลี่ยนผัน เหมือนนึกอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้เผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา “สหายเต๋าคุนอู๋ ข้ามีธุระสำคัญให้ต้องจัดการ เกรงว่า….”
คุนอู๋ชิงรีบขัด “พี่เป่ยเหวินไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธขนาดนั้น ฟังข้าก่อน ตอนนี้ข้าล่าอสูรดุร้ายจากมหาสมุทรสุสานเทวะได้หนึ่งร้อยกับอีกแปดตัวแล้ว ทั้งยังเก็บวิญญาณและเลือดของมันไว้ เจ้าย่อมรู้ดีว่านั่นหมายความว่าอย่างไรใช่หรือไม่?”
เป่ยเหวินตกตะลึง “เจ้า… นี่เจ้า…”
คุนอู๋ชิงยิ้มพยักหน้าให้ ก่อนเอ่ยตามตรง “ใช่แล้ว เมื่อหลายวันก่อนบังเอิญได้ยินว่าพี่เป่ยเหวินจะนำสมบัติไม่ธรรมดาเข้าซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่มาด้วย เห็นว่าสามารถทำให้หนอนวิญญาณรากบรรพชนเชื่องได้ ดังนั้นข้าจึงอยากร่วมมือ อสูรดุร้ายร้อยแปดตัวนี้เป็นสิ่งที่ข้ายอมแลกกับการร่วมมือครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ”
เป่ยเหวินสีหน้าเปลี่ยนผันเป็นเคร่งขรึม “เช่นนี้แล้ว สหายเต๋าคุนอู๋ก็วางแผนทั้งหมดไว้ก่อนจะช่วยข้าแล้วงั้นหรือ?”
คุนอู๋ชิงยิ้ม “ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ข้าได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพี่เป่ยเหวินได้ยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นที่ทำมาก็คงสูญเปล่าไม่ใช่หรือ?”
เป่ยเหวินเผยแววตาเย็นชา “ก็คิดอยู่ว่าการต่อสู้ของข้ากับเด็กคนนั้นเหมือนมีมือมืดหลังม่าน ไม่เช่นนั้นมันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นอยู่หรือ?”
คุนอู๋ชิงหน้าเคร่งคิ้วขมวดกล่าวว่า “พี่เป่ยเหวิน เจ้าจะพูดอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ถึงชื่อเสียงข้าจะย่ำแย่ แต่ก็คงไม่สามารถทำอะไรเช่นนั้นได้”
เป่ยเหวินส่งสายตาสงสัยให้คุนอู๋ชิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้นในท้ายที่สุด “หวังว่าเจ้าจะพูดความจริง ไม่เช่นนั้นข้าขอยอมตายดีกว่าต้องร่วมมือกับเจ้า”
คุนอู๋ชิงได้ยินก็ถอนหายใจโล่งอกทันที จากนั้นคำรามเสียงหัวเราะลั่น “พี่เป่ยเหวินไม่ต้องห่วง สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมดคงสูญเปล่าหากไม่มีระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า พวกเราร่วมมือกันย่อมดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็ย่อมทำสำเร็จได้”
คุนอู๋ชิงเอ่ยเสียงจริงจัง “ตกลง”
ทว่าในใจได้แต่หัวเราะเสียงเย็น ถึงขนาดเกิดจิตสังหารขึ้นมา อยากฉวยโอกาสนี้สังหารเป่ยเหวินแล้วชิงระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์มาเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยั้งความอยากไว้
เป่ยเหวินจะตายไม่ได้
ระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเป่ย ไม่เหมือนสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นที่เคยมี จะใช้มันได้ต้องใช้คาถาลึกลับบางอย่างไปพร้อมกัน และคาถานี้มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลเป่ยเท่านั้นที่รู้
แต่ถึงจะรู้คาถานั่นก็ไม่อาจใช้สมบัติได้อยู่ดี ดังนั้นคุนอู๋ชิงจึงไม่กล้าเสี่ยง
เปรี๊ยะ!
จังหวะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะเบา ๆ ออกมาจากร่างคุนอู๋ชิง ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนผัน เขาหยิบดักแด้สีเทาที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ออกมา
ดูท่าเจ้าเด็กนั่นจะรู้เรื่องผีเสื้ออาภรณ์วิญญาณแล้ว… คุนอู๋ชิงมุ่นคิ้ว นัยน์ตาวาวโรจน์
เขามองเฉินซีไม่ออกมาตั้งแต่แรกเพราะเด็กคนนั้นลึกลับเกินไป นับตั้งแต่แรกเจอก็มีลางสังหรณ์ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา จะประเมินต่ำไม่ได้
ดังนั้นตั้งแต่ที่พบเฉินซี คนผู้นี้จึงทำให้เขาเกิดความสนใจ จึงแอบติดผีเสื้ออาภรณ์วิญญาณล้ำค่าไว้กับเฉินซี อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถอะไรกันแน่
ด้วยความคิดเช่นนั้นเขาจึงเล่นเล่ห์ ชักนำให้พวกเป่ยเหวินเข้าปะทะกับเฉินซีทันทีที่มาถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นในที่สุด
โดยการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะได้รู้ความแข็งแกร่งเหนือชั้นของเฉินซี แต่ยังได้ช่วยเป่ยเหวินเอาไว้ สร้างหนี้บุญคุณ และทำให้วางสามารถดำเนินต่อไปได้
แผนการคือใช้ระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของเป่ยเหวิน รวมกับวิญญาณและเลือดของอสูรร้ายทั้งร้อยแปดตัวเพื่อล่อและทำให้หนอนวิญญาณรากบรรพชนเชื่องให้ได้!
แผนทั้งหมดของเขาเป็นเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่เข้ามหาสมุทรสุสานเทวะมา เขาก็ทำตามแผนมาโดยตลอด ตอนนี้ทุกอย่างดูราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้คุนอู๋ชิงรู้สึกพึงพอใจมาก
แต่ตอนนี้สายตาคมปลาบจ้องมองสิ่งที่สลายในมือ มั่นใจว่าผีเสื้ออาภรณ์วิญญาณบนร่างเฉินซีคงตายไปแล้ว ใจคุนอู๋ชิงพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันใด เหมือนสถานการณ์กำลังหลุดจากอำนาจควบคุม
“สหายเต๋าคุนอู๋?” เป่ยเหวินมุ่นคิ้ว
“อ้อ” เป่ยเหวินจ้องอีกฝ่ายก่อนพยักหน้าให้
…
“ร่วมมือกันหรือ?” ที่อีกฟากฝั่ง เฉินซีและเชินถูเยียนหรานเหินร่างไปคู่กันท่ามกลางหมู่เมฆจำนวนมาก เฉินซีถึงกับร้องเสียงประหลาดใจออกมาเมื่อพบว่าเชินถูเยียนหรานอยากร่วมมือกับตน
“ใช่แล้ว คุณชายสงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย” เชินถูเยียนหรานยิ้ม อาภรณ์สะบัดพลิ้วไปตามแรงลม ดูงามสง่า มีชีวิตชีวาราวกับนางฟ้าก้าวฝ่าคลื่น
“ทำไมต้องเป็นข้าด้วย?” เฉินซีถามไปตามตรง
“ไม่ซับซ้อนอะไร ก็เพราะเจ้ามีฝีมือแข็งแกร่ง เราขาดสหายที่พึ่งพาได้อยู่พอดี” เชินถูเยียนหรานตอบไปตามตรงเช่นกัน ได้พูดคุยกับเฉินซีครั้งนี้จึงทำให้รู้นิสัยเขาขึ้นมาแล้วว่าเป็นคนไม่อ้อมค้อม
เราหรือ? เฉินซีจับสังเกตคำนี้ได้ เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง “มีคนอื่นอีกหรือ?”
“ใช่แล้ว นอกจากเจ้ากับข้า ยังมีมหาเทวาวิญญาณในกลุ่มเราอีกสามคน มีเทวารู้แจ้งวิญญาณชั้นยอดที่มีประสบการณ์ต่อสู้แก่กล้าอีก” เชินถูเยียนหรานค่อย ๆ อธิบาย “ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่อันตรายมาก แต่ก็เอาตัวรอดได้ไม่ยากเกินไป ทว่าแดนรากบรรพกาลไม่เหมือนกัน กระทั่งคนอย่างลั่วฉ่าวหนง เจียหนาน และกงเหย่เจ๋อฟูยังไม่กล้าเข้าไปลำพังเลย”
แดนรากบรรพกาลเป็นพื้นที่หนึ่งในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ตามคำร่ำลือแล้ว รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าถือกำเนิดอยู่ที่นั่น
เฉินซีรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าแดนรากบรรพกาลจะน่ากลัวอะไรขนาดนั้น
ตอนนี้เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด กำลังชั่งใจว่าควรจะร่วมมือกับเชินถูเยียนหรานและคนอื่น ๆ ดีหรือไม่
………………..