บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1655 ข่าวลือเรื่องมารกระบี่
บทที่ 1655 ข่าวลือเรื่องมารกระบี่
………………..
บทที่ 1655 ข่าวลือเรื่องมารกระบี่
เมื่อเห็นเฉินซีเงียบ เชินถูเยียนหรานไม่รีบเร่งขณะช่วยอีกฝ่ายวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“เท่าที่ข้าทราบ น่าจะมีมหาเทวาวิญญาณไม่น้อยกว่าสามสิบคนที่เข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ในครั้งนี้ มีสามคนที่อยู่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ หกคนอยู่ยี่สิบอันดับแรก สิบหกคนอยู่ห้าสิบอันดับแรก ส่วนคนที่เหลือซึ่งอยู่นอกห้าสิบอันดับแรกไม่ต้องไปสนใจ”
“ทางฝั่งพวกเรา นอกจากข้าแล้ว สองในสามเป็นมหาเทวาวิญญาณอยู่ยี่สิบอันดับแรก มีหนึ่งคนอยู่สามสิบอันดับแรก หากพวกเราร่วมมือกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับลั่วฉ่าวหนงหรือเจียหนานก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด”
น้ำเสียงของนางอ่อนหวานและก้องกังวานประหนึ่งกระแสน้ำ
“มีรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าอยู่อันเดียว ต่อให้พวกเราร่วมมือกันจนสามารถชิงมาได้สำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วจะแบ่งสมบัติชิ้นนี้อย่างไร?”
เฉินซีถามเสียงดัง ในเมื่อร่วมมือกัน เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเป็นการถามให้ชัดเจนจะเป็นการดีที่สุด
“สหายเต๋าอย่าได้กังวลเรื่องนี้ ใครก็ตามที่ชิงมาได้ก็ถือว่าเป็นของตน ส่วนคนอื่นก็จะไม่เข้ามาแย่งเป็นอันขาด ยามเผชิญหน้ากับกองกำลังอื่น พวกเราซึ่งเป็นพันธมิตรกลุ่มเดียวกันจะต้องร่วมมือกันอย่างแข็งขัน”
เฉินซีครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบตกลง หลังจากใคร่ครวญถ้วนถี่แล้ว เขาก็ได้ข้อสรุปว่านี่อาจจะเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด
ยิ่งกว่านั้น พวกเชินถูเยียนหรานผู้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดจากเอกภพจักรวรรดิต้องทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในแดนรากบรรพกาลเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าการร่วมมือกับผู้อื่นไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการสันนิษฐานของเฉินซีเพียงผู้เดียว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าไปฝากความหวังกับผู้อื่น
“เอาละ เช่นนั้นข้าหวังว่าความร่วมมือของพวกเราจะประสบผลสำเร็จ” ดวงตาประหนึ่งดาราของเชินถูเยียนหรานทอประกายขณะเอ่ยคำ เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับการตัดสินใจของเฉินซี
เฉินซียิ้มก่อนประสานมือ
…
กลิ่นอายความโกลาหลในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ไม่ว่าจะขุนเขาหรือธาราต่างให้บรรยากาศความเก่าแก่
แม้สถานที่นี้จะกว้างใหญ่ดูไร้ขอบเขต แต่กลับไม่พบสิ่งปลูกสร้างใด ฟ้าดินกว้างใหญ่เต็มไปด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติ มันถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่ โอ่อ่าและรกร้าง
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เฉินซีเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบร่างยืนอยู่บนยอดเขาราวสิบคน
ในบรรดาคนเหล่านั้น ผู้ชายแก่กล้าสามารถ ผู้หญิงว่องไวงามงด บรรยากาศของพวกเขาล้วนพิเศษขณะปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นตัวตนของทวยเทพ
คนที่สะดุดตาที่สุดย่อมเป็นผู้ชายสองคนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในนั้นสวมชุดสีขาวดุจหิมะและมีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เหน็บอยู่ข้างเอว แม้ยืนด้วยท่วงท่าเรียบง่าย แต่กลับดูองอาจไร้ใครเทียบเคียง
อีกคนมีใบหน้าหยาบกร้าน ดวงตาคมปลาบประหนึ่งอัสนี ท่อนบนเปลือยเปล่า มัดกล้ามคล้ายถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กกล้า โดยพลังมหาศาลบางอย่างระเบิดออกมา นอกจากนี้ยังมีลวดลายซับซ้อนบางอย่างประทับบนผิวหนังราวกับจารึกโบราณ ดูลึกลับยิ่งนัก
“เขาคืออวี๋ชิวจิง มหาเทวาวิญญาณแห่งตระกูลอวี๋ชิวแห่งเอกภพจักรวรรดิ เขาอยู่อันดับสิบหกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ วิถีกระบี่ไร้เทียมทานจนกระทั่งไปถึงขอบเขตจักรพรรดิกระบี่”
เชินถูเยียนหรานรีบส่งกระแสปราณเพื่อแนะนำเฉินซี “อีกคนคือจวนอวี๋สุ่ยจากตระกูลจวนอวี๋แห่งเอกภพจักรวรรดิ อยู่อันดับยี่สิบสาม เขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร อีกทั้งยังเชี่ยวชาญมรดกอย่าง ‘แดนชำระเพลิงอสนีสวรรค์ที่สามสิบหก’ จนถึงขั้นที่สามารถเปลี่ยนเป็นของตัวเองได้ พลังของเขาไม่อาจดูถูกได้”
หลังจากนิ่งไป นางเอ่ยคำต่อ “ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เหลือล้วนเป็นมือดีที่สุดที่อยู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณในเอกภพจักรวรรดิ พวกเขาส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอวี๋ชิวจิงกับจวนอวี๋สุ่ย”
เฉินซีพยักหน้า แค่ได้ฟังการแนะนำมันก็ชัดเจนแล้วว่าผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นจะต้องเชื่อฟังอวี๋ชิวจิงกับจวนอวี๋สุ่ยเป็นแน่
“แม่นางเยียนหราน”
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดแม่นางเยียนหรานก็มา”
เมื่อเห็นเชินถูเยียนหรานมาถึงยอดเขา คนอื่น ๆ ต่างมีชีวิตชีวาขณะเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
แม้กระทั่งสีหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์บางส่วนยังเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคารพและนับถือ
เห็นได้ชัดว่าสถานะและชื่อเสียงของเชินถูเยียนหรานในหมู่ผู้คนเหล่านี้ค่อนข้างสูงส่งประหนึ่งดวงจันทร์เจิดจ้าพร่างพราว
“คนผู้นี้คือใคร?”
เมื่ออวี๋ชิวจิงเห็นเฉินซี เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
คนอื่นสังเกตถึงค่อยสังเกตเห็นเฉินซีก่อนจะพินิจสักพัก นอกจากความสงสัยใคร่รู้แล้ว แววตาของพวกเขายังเต็มไปด้วยความประหลาดใจราวกับไม่คาดคิดว่าเชินถูเยียนหรานจะพาผู้ชายมาด้วย
“ข้าลืมแนะนำเขาไปเลย คนผู้นี้คือพันธมิตรใหม่ของพวกเรา มีนามว่าเฉินซีจากเอกภพมสิหิม เขาคือมหาเทวาวิญญาณเช่นกัน พลังของเขขานับว่าไม่ธรรมดา” เชินถูเยียนหรานแนะนำพลางคลี่ยิ้ม
เอกภพมสิหิมหรือ?
นอกจากนี้ พวกเขาไม่คุ้นชื่อเฉินซีแม้แต่น้อย จึงสูญสิ้นความกระตือรือร้นไป
“ข้ามีนามว่าเฉินซี ยินดีที่ได้พบทุกท่าน” เฉินซียิ้มก่อนประสานมือราวกับไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบข้าง
“พวกเขาล้วนเติบโตในเอกภพจักรวรรดิ ถ้าไม่มาจากตระกูลโด่งดังก็มีสายเลือดสูงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเย่อหยิ่งและถือตัวก็เลยคิดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในเอกภพอื่นด้อยกว่าตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา เจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ” เชินถูเยียนหรานกระซิบจากข้างกาย
“อย่างนี้นี่เอง” เฉินซียิ้ม
ทว่าแม้เฉินซีจะไม่สนใจ แต่คนอื่นกลับไม่เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นอีกฝ่ายกับเชินถูเยียนหรานยืนจนไหล่ชิดและกระซิบกระซาบราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ในใจพวกเขา เชินถูเยียนหรานคือตัวตนประหนึ่งเทพธิดาผู้งามสง่ามากด้วยปัญญา นางจะไปอยู่กับคนที่มาจากเอกภพมสิหิมได้อย่างไร?
เอกภพมสิหิมหรือ?
นั่นจะนับเป็นอะไรได้?
“เอกภพมสิหิมหรือ? เหอะเหอะ สถานที่อย่างเอกภพมสิหิมจะไปมีมหาเทวาวิญญาณได้อย่างไร?”
ทุกคนต่างแสยะยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อเฉินซีเห็นเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเลือนหาย เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ยอมรับเขา
“เลี่ยฉง ยังมีสวรรค์อยู่นอกผืนฟ้า มียอดฝีมืออีกมากในโลกหล้า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าเหยียดหยันแม้กระทั่งมหาเทวาวิญญาณ?”
ดวงตาประหนึ่งดาราของเชินถูเยียนหรานชำเลืองมองชายคนนั้น แม้น้ำเสียงจะสงบแต่กลับแฝงด้วยร่องรอยความไม่ยินดี ราวกับกำลังกล่าวโทษที่อีกฝ่ายสร้างปัญหา
เมื่อชายหนุ่มร่างผอมในชุดผ้าทอนามเลี่ยฉงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าพลันแข็งทื่อก่อนจะเอ่ยคำ “แม่นางเยียนหรานเข้าใจผิดแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางดูถูกสหายผู้นี้อย่างแน่นอน ความจริง ข้าไม่คาดคิดต่างหากว่าสถานที่อย่างเอกภพมสิหิมจะถึงกับ… ถึงกับให้กำเนิดมหาเทวาวิญญาณได้ นับว่าหายากนัก”
เชินถูเยียนหรานส่ายหน้าแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
“ในเมื่อเขาเป็นมหาเทวาวิญญาณ เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยเห็นชื่อของเขาในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเลยล่ะ?”
ใครบางคนโพล่งถามขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่เชินถูเยียนหรานปกป้องเฉินซี
“นั่นสิ ในบรรดามหาเทวาวิญญาณหนึ่งร้อยอันดับแรก ไม่เห็นมีคนชื่อเฉินซีเลย หรือว่าเขาอ่อนแอเกินกว่าจะติดอยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ?”
เฉินซีคิ้วขมวด ดูท่าข้าจะมาผิดเวลาเสียแล้ว
เชินถูเยียนหรานคิ้วขมวด ตอนพาเฉินซีมาที่นี่ นางทราบอยู่แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถึงอย่างไรเฉินซีก็ไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในเอกภพจักรวรรดิ ตัวตนผิดแผก ซึ่งจะทำให้เกิดความสงสัยท่ามกลางฝูงชน
แต่นางไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะบานปลายถึงขนาดนี้ คนเหล่านั้นไม่เพียงเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ยังเต็มไปด้วยร่องรอยการปฏิเสธกับความเป็นปฏิปักษ์
“ทุกท่าน ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสงสัยเกี่ยวกับพลังของสหายเต๋าเฉินซี ดังนั้นข้าอาจจะต้องบอกตามความจริง เมื่อไม่นานมานี้ เป่ยเหวินซึ่งเป็นคุณชายตระกูลเป่ยแห่งเอกภพจักรวรรดิพ่ายแพ้ด้วยเงื้อมมือของสหายเต๋าเฉินซี” เชินถูเยียนหรานเอ่ยคำอย่างสงบ นางไม่อยากให้สถานการณ์มันบานปลายไปมากกว่านี้
ว่าไงนะ?
เป่ยเหวินพ่ายแพ้คนตรงหน้านี้งั้นหรือ?
ทุกคนตกตะลึงเมื่อทราบเรื่องนี้ บางคนถึงขั้นไม่อยากเชื่อ
แม้กระทั่งอวี๋ชิวจิงผู้เฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชากับจวนอวี๋สุ่ยผู้เงียบมาโดยตลอดยังหรี่ตาพลางครุ่นคิด
“เป็นไปได้อย่างไร เป่ยเหวินอยู่อันดับห้าสิบสี่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ หากสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ นั่นไม่เท่ากับว่าเขาแข็งแกร่งพอจะติดอยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณหรือ? เช่นนั้นทำไมชื่อของเขาถึงไม่ปรากฏล่ะ?”
ใครบางคนคิ้วขมวดแล้วเอ่ยคำ “หรือจะบอกว่ามีความผิดพลาดกับเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ? แต่รู้ ๆ อยู่มันเป็นไปไม่ได้!”
คนอื่นสับสนเช่นกัน ใช่แล้ว เทียบอันดับเทวาเปรียบได้กับความนิรันดร์ที่แพร่กระจายไปทั่วเต๋าสวรรค์ คงอยู่ทุกหนแห่ง มันจึงไม่มีทางผิดพลาดไปได้
เมื่อเชินถูเยียนหรานเห็นว่าพูดขนาดนี้แต่ยังมีใครบางคนเคลือบแคลง นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อย “ทุกท่าน นี่คือสิ่งที่ข้าเห็นมากับตา คิดว่าข้า เชินถูเยียนหราน จะกล้าหลอกผู้อื่นงั้นหรือ?”
ทุกคนต่างส่ายหน้าซ้ำไปมา พวกเขาไม่กล้าต่อต้านเชินถูเยียนหราน แต่เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป เมื่อรวมกับความเกลียดชังที่มีต่อเฉินซี ดังนั้นจึงมุ่งเป้าไปที่เฉินซีโดยธรรมชาติ
“ที่สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของแดนเทพโบราณ มีชื่อมากมายที่ไม่ปรากฏบนเทียบอันดับเทวา แต่พวกเขาทรงพลังมากพอที่จะดำรงอยู่ในยุคสมัยได้อย่างภาคภูมิ”
เชินถูเยียนหรานเอ่ยคำอย่างเนิบช้าขณะดวงตาทอประกาย “อย่าลืมสิว่าเมื่อแปดพันปีก่อน หวังเจี้ยนเฉินผู้ไร้เทียมทานต่อสู้กับเทวาวิญญาณสามพันคนจากสำนักเต๋าแห่งเอกภพจักรวรรดิเพียงลำพัง อีกทั้งยังทะลวงสวรรค์สิบแปดชั้นได้ไม่ใช่หรือ?”
หวังเจี้ยนเฉิน!
ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ กำลังนึกถึงความทรงจำแบบไหน แต่พวกเขาต่างพากันตกตะลึงอยู่ภายในก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย นั่นคือมารกระบี่แห่งยุคสมัยผู้ไร้เทียมทาน เมื่อแปดพันปีก่อน เขาเหมือนกับดาวตกที่สาดแสงไปทั่วเอกภพจักรวรรดิในยามค่ำคืน โดยเฉพาะการต่อสู้ในสำนักเต๋าที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเอกภพ
แต่ไม่ช้า พวกเขาก็สงบลงก่อนจะพบว่าเชินถูเยียนหรานถึงกับเทียบเฉินซีกับหวังเจี้ยนเฉินเมื่อแปดพันปีก่อน ในใจพวกเขาพลันรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา เด็กคนนี้ได้รับความนับถือขนาดนั้นได้อย่างไร?
………………..