บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1656 หนึ่งพริบตา
บทที่ 1656 หนึ่งพริบตา
บรรยากาศทั่วทิศแปรเปลี่ยน ทุกสายตามองมายังเฉินซีด้วยเจือเค้าเคลือบแคลงสงสัย
เชินถูเยียนหรานไม่เคยคาดคิดว่าแม้นางจะอธิบายถึงขนาดนี้ แต่ไม่เพียงสถานการณ์ไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก
สิ่งนี้ทำให้นางยิ่งไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ใบหน้างดงามเลิศล้ำเจือสีหน้าเย็นเยียบ
“แม่นางเยียนหรานอย่าสนใจพวกเขาเลย ทุกคนต่างมีอนาคตของกลุ่มในใจ จึงสงสัยในความแข็งแกร่งของสหายเต๋าเฉินซีท่านนี้” ทันใดนั้น อวี๋ชิวจิงซึ่งทำเพียงมองเฉย ๆ ก็เปิดปาก ทุกถ้อยคำแฝงความเย่อหยิ่งถือดี
“พี่อวี๋ชิวกล่าวได้ถูกต้อง”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เราไม่เคยได้ยินชื่อสหายเต๋าเฉินซีมาก่อน จึงเลี่ยงไม่ให้เราสงสัยกังวลในความสามารถของเขาไม่ได้หรอก”
คนอื่น ๆ ต่างเอ่ยขึ้นตามกัน
เมื่อพวกเขากล่าวเช่นนี้ ก็ไม่สมควรหากเชินถูเยียนหรานจะระเบิดโทสะออกมาอีก “ในภายหน้า พวกเจ้าจะเข้าใจเองว่าคุณชายเฉินซีแข็งแกร่งแค่ไหน”
เชินถูเยียนหรานขมวดคิ้ว รำพึงอยู่ในใจ ท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจเลี่ยงให้เรื่องมาลงเอยเช่นนี้อยู่ดี
นางไม่รู้ว่าควรชื่นชมคนเหล่านี้ที่หาญกล้า หรือเศร้าใจที่มีตาแต่ไร้แววดี
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวนับแต่แรกเริ่มจนบัดนี้ ทำเพียงมองเรื่องทั้งหมดอย่างเงียบเชียบ เมื่อได้ยินคำเสนอนี้ มุมปากก็คลับคล้ายยกขึ้นแผ่วเบา
ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง ใช้ได้ทุกที่ทาง!
แน่นอน เฉินซีตระหนักชัดเจนว่าหากชื่อเสียงของเขาเด่นดังพอ คนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางกล้ากร่างกำเริบเช่นนี้
สรุปก็คือ เหตุที่คนเหล่านี้กล้าตั้งคำถามซ้ำ ๆ ก็เพราะเขามาจากเอกภพมสิหิม ไม่ใช่เอกภพจักรวรรดิ ประกอบกับสัจธรรมที่ชื่อเสียงไม่ได้โด่งดัง ไม่ได้ปรากฏนามในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ คนเหล่านี้จึงกล้ากระทำการหาญกล้าเช่นนี้
ยิ่งกว่านั้น เชินถูเยียนหรานยังคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ สถานการณ์จึงพัฒนามาถึงปัจจุบัน
เฉินซีเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ มาจากเอกภพจักรวรรดิแล้ววิเศษวิโสอย่างไร? มีหลักการเช่นไรมาเคลือบแคลงเขา?
นี่คือการเหยียดหยามรูปแบบหนึ่ง เป็นการหยามหมิ่น!
“สหายเต๋าเฉินซี เจ้าคิดเช่นไร?” อวี๋ชิวจิงเอ่ยปาก อยากเห็นว่าเฉินซีมีความสามารถเพียงไรกันแน่
“ยามแม่นางเยียนหรานขอให้ข้าร่วมมือกับนาง อันที่จริงข้าปฏิเสธนางไปแล้ว” เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “แต่พูดเรื่องนี้ในปัจจุบันก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อทุกท่านสงสัยในความแข็งแกร่งของข้า เช่นนั้น…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ รอยยิ้มก็พลันคลี่ออก ชำเลืองคนทั้งหลายขณะกล่าวเสียงเรียบ “ก็สู้กันเถิด ขอข้าดูหน่อยว่าทุกท่านจากเอกภพจักรวรรดิมีคุณสมบัติอะไรมาคลางแคลงข้า!”
วาจาเรียบเฉยสำรวม แต่กลับแฝงความผยองกดดัน ไม่ใช่เพียงตอบกลับในความเคลือบแคลง มันเป็นกระทั่งการตอบโต้สวนคืน!
พวกเจ้าสงสัยฝีมือข้า?
ข้าก็สงสัยพวกเจ้าทั้งหมดเช่นกัน!
เฉินซีมีการวางตนสำรวมมั่นคง ดูเหมือนเฉยชา โดดเด่น และปลีกตัว ทว่าลึก ๆ แล้วเขาทะนงอย่างยิ่ง มีหรือจะยอมถอย
แต่เมื่อประโยคนี้เข้าหูคนทั้งหลาย มันกลับดูแสลงหูเป็นพิเศษ ทำให้ต่างคนล้วนรู้สึกไม่สบายใจ
“ฮ่า ๆ! กล้าดีจริง ๆ! ขอข้าดูหน่อยแล้วกันว่าเจ้าดีแต่ปากหรือมีความสามารถจริง ๆ!” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงหัวเราะเย็นเฉียบก็ดังขึ้น
เปรี้ยง!
พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มชุดม่วงก็สาวเท้าก้าวตรงผ่านมิติมาอยู่ตรงหน้าเฉินซีอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนู ข้ามีนามว่าเฉาเจิน มาจากคีรีสวรรค์พิศวงในเอกภพจักรวรรดิ ยามโจมตี ข้าไม่อาจคุมตนเองได้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังไว้ หากรับการโจมตีของข้าไม่ได้ เจ้าก็ยอมแพ้โดยเร็วจะดีกว่า แม่นางเยียนหรานจะได้ไม่คิดไปว่าข้าจงใจรังแกเจ้า!” ทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็กล่าวอย่างเย่อหยิ่งทันใด ดวงตาจ้องนิ่งดุจอัสนี ขณะที่สีหน้าคุโชนด้วยจิตสังหารโถมทะลัก
“โอ้” เฉินซีกล่าวเพียงแค่นั้น ชายหนุ่มเผยสีหน้าเยือกเย็นเรียบเฉย ทว่าในสายตาเฉาเจิน มันกลับไม่ต่างอะไรกกับกการดูถูกเหยียดหยาม
เปรี้ยง!
เฉาเจินแค่นเสียงเย็นชา ร่างวูบไหว พลุ่งพล่านด้วยเพลิงสีชาดโชติช่วง มันแปรลักษณ์ไปเป็นวงล้อเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แผดผลาญถล่มทะลักเข้าใส่เฉินซี
ดวงตาของคนอื่น ๆ หรี่ลง ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างพร้อมเพรียง
เฉาเจินใช้ทักษะวิชาอันน่าสะพรึงกลัวออกมาตั้งแต่แรก และพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกลายเป็นตะวันผลาญอันเรืองรองในเก้าชั้นฟ้า ชวนตะลึงอย่างแท้จริง
“สุดยอดวิชาของคีรีสวรรค์พิศวง ตะวันเพลิงจรัสแดนดิน!” ใครบางคนอุทานอย่างตกใจเมื่อตระหนักว่าเฉาเจินใช้วิชาหมายสังหารตั้งแต่เริ่มศึก เห็นได้ชัดว่าตั้งใจสั่งสอน บดขยี้เฉินซีในกระบวนเดียว
หลายคนตระหนักชัดเจน ว่าแม้เฉาเจินจะไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณ แต่เขาก็อยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณมาหลายปี และอำนาจต่อสู้ก็ทิ้งสหายร่วมขอบเขตไม่เห็นฝุ่น
“ไม่ผิดหรอก สุดท้ายเขาก็เป็นมหาเทวาวิญญาณคนหนึ่ง การใช้กลยุทธ์เช่นนี้ค่อนข้างมั่นคง และเฉาเจินก็ไม่ได้เลินเล่อ คราวนี้ เราก็แค่รอดูว่าเจ้าเด็กนี่จะยื้อเฉาเจินได้นานเพียงไร แค่สู้กับเฉาเจินอย่างสูสีได้ก็พอแล้วล่ะ” อวี๋ชิวจิงยิ้มบางขณะส่งกระแสปราณพูดกับเชินถูเยียนหราน แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาเรืองประกายของนางเผยเค้าสงสาร และดูสุดทนเกินมอง
ใช้เวลาอธิบายเสียยืดยาว ทว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพียงในพริบตา ทั้งหมดนี้คือปฏิกิริยาที่ยังเกิดในพริบตาที่เห็นเฉาเจินโจมตีเท่านั้น
…
เปรี้ยง!
ขณะนี้ ดวงตะวันเรืองประกายเจิดจรัส เปลวเพลิงพลุ่งพล่าน ทำให้กระทั่งมิติยังหลอมเหลว เผยอำนาจน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด
ถึงขนาดที่มีใครหลายคนเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เพราะสังเกตเห็นว่าการโจมตีของเฉาเจินทรงพลังกว่าที่พวกเขาคาดไว้เสียอีก!
เจตนาของเฉาเจินคือโจมตีอย่างรวดเร็วและทรงพลัง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเฉินซีให้ป่นปี้ทันทีที่เปิดฉาก
เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะสร้างความตกตะลึงเพียงพอ
ยิ่งกว่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้ เขาจึงสามารถเผยอำนาจเหนือกว่า เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเฉินซีได้
และเช่นกัน มีเพียงการทำเช่นนี้ เขาจึงสามารถพิสูจน์แก่ทุกคนและเชินถูเยียนหรานได้ว่า ต่อให้เจ้าคนที่มาจากเอกภพมสิหิมนี้จะเป็นมหาเทวาวิญญาณ แต่ก็ไร้ค่าสิ้นดี!
แน่นอน เค้าความกังวลที่แม้แต่ตัวเองยังไม่สังเกตเห็นก็ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจเช่นกัน หากคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างที่แม่นางเยียนหรานว่าจริง ๆ แล้วข้าควรทำเช่นไร?
ดังนั้นเขาจึงโจมตีอย่างสุดกำลัง ใช้วิชาที่แข็งแกร่งสูงสุดออกมาแต่เริ่ม
…
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงหลายต่อหลายคู่ หนึ่งเสียงแผดร้องเดือดดาล ตกใจและไม่พอใจก็สนั่นขึ้นเฉียบพลัน!
ขณะนี้เอง ทุกคนจึงสังเกตพบว่าต้นเสียงมาจากเฉาเจิน!
เปรี้ยง!
ดวงตะวันกลมเกลี้ยงนั้นดูประหนึ่งขนมขิงถูกมีดคมหั่นเป็นสองท่อน ร่วงถล่มแยกกันไปด้านข้าง ขณะแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องจ้าจรัส
หนึ่งปราณกระบี่ซึ่งดูเรืองรองดุจสายฟ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉาเจิน
มันคือปราณกระบี่ของเฉินซีซึ่งฟาดฟันดวงตะวันแผดผลาญลง ก่อนจะฟาดฟันใส่เฉาเจินทันทีพร้อมประกายคมปลาบ
ปราณกระบี่สายนี้เรืองรองเหนืออัสนี รวดเร็วเกินสายลม ดุดัน ว่องไว ชวนตะลึงถึงขีดสุด
อำนาจจากปราณกระบี่นั้นพุ่งมายังข้อมือ ก่อนจะไหลพล่านทั่วร่าง รุนแรงเสียจนไร้ทางเลือกนอกจากต้องถอยหลบ
เจ็บ!
ตะลึง!
หวาดผวา!
ม่านตาของเฉาเจินหดตัวเกร็งถึงขีดสุด ขณะที่ส่งเสียงร้องลั่นอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หยาดโลหิตไหลทะลักจากมุมปาก
เกิดอะไรขึ้น?
นี่มันเต๋าแห่งกระบี่ประเภทไหน?
เหตุใดมันจึงมีอำนาจทำลายล้างน่าสะพรึงเช่นนี้?
เฉาเจินไม่มีเวลาครุ่นคิดถึงคำถามเหล่านี้ เพราะทั้งความคิดและหัวใจต่างเปี่ยมด้วยความกลัวอย่างเฉียบพลัน เขาถอยกรูดหลบมาเบื้องหลังอย่างสุดชีวิตพร้อมเสียงร้องสนั่น
เขาถอยหนีว่าเร็วแล้ว แต่ปราณกระบี่นั้นพุ่งมาไวยิ่งกว่า
ประหนึ่งมันมีตา ฉีกกระชากผ่านมิติทะลวงขุนเขา เต็มไปด้วยปราณทรงพลังไร้เทียมทาน ให้ความรู้สึกเหมือนแทงทะลวงตรงหัวใจ
เฉาเจินรู้สึกสิ้นหวังในบัดดล สีหน้าซีดเป็นกระดาษ ปราณกระบี่สายนี้ร้ายกาจน่ากลัวยิ่งกว่าเงาตามตัวเสียอีก เพราะปราณกระบี่สายนี้เกี่ยวชีวิตของเขาไปได้!
“ข้ายอมแพ้!” เขาร้องออกมาอย่างเสียขวัญโดยสัญชาตญาณ ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวและอึดอัดใจ ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงพ่ายเร็วนัก และยังแพ้อย่างหมดรูปด้วย
วูบ!
ปราณกระบี่สายนั้นหยุดลงเฉียบพลันห่างจากคอของเฉาเจินเพียงชุ่น ปราณคมกริบจากมันทำให้เฉาเจินเจ็บแปลบที่คอ หนึ่งหยาดโลหิตหยดออกจากผิวกาย
สิ่งนี้ทำให้เฉาเจินรู้สึกราวพ้นประตูผีมาได้อย่างฉิวเฉียด สมองยังมึนงง ขณะที่หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดผวา
…
บรรยากาศทั่วทิศเงียบกริบ
ทุกคนยังไม่อาจฟื้นจากความตกใจได้ ยังคงนิ่งค้างกับภาพที่เห็น
เร็วไปแล้ว!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นและปิดฉากในเสี้ยวลมหายใจ นับตั้งแต่เฉาเจินลงมือ จวบจนแผดร้องยอมแพ้ เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
เพราะมันรวดเร็วเกินไป และไร้ผู้ใดคาดถึงผลลัพธ์นี้นี่เอง เหตุการณ์ตรงหน้าจึงชวนตะลึงเกินจินตนาการ
วูบ!
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันประหนึ่งป่าช้า ปราณกระบี่สายนั้นเลือนหายไปอย่างรวดเร็วดุจประกายแสง
เฉินซีเบนสายตามองรอบทิศ จากนั้นก็กล่าวกับเฉาเจินว่า “สหายเต๋า คงไม่คิดว่าข้าจงใจรังแกเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”
นี่คือคำตอบของเฉินซีต่อคำพูดก่อนหน้าของเฉาเจิน
บรรยากาศรอบข้างยิ่งเงียบลงกว่าเดิม ทุกคนต่างเปี่ยมความไม่อยากเชื่อ เพราะคิดว่าในเมื่อเฉาเจินทุ่มสุดกำลัง ต่อให้เฉินซีไม่พ่ายทันที อย่างน้อยก็ต้องตกเป็นรอง ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งตารอดูเหตุนั้นอย่างตื่นเต้น ไม่คิดว่าท้ายที่สุดจะเป็นเฉาเจินที่ถูกบดขยี้
ยิ่งกว่านั้น ยังพ่ายหมดรูปในหนึ่งกระบวนท่า
ในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่นี่ คงมีเพียงเชินถูเยียนหรานผู้เดียวที่เดาผลลัพธ์นี้ได้ เพราะนางเผยเค้าความสงสาร ไม่อาจทนมองมาตั้งแต่เริ่มศึกแล้ว
เพราะเหตุใด?
เพราะนางรู้ว่าเฉินซีไม่ธรรมดา!
เป่ยเหวินพ่ายแก่เขา ขณะที่คุนอู๋ชิงไม่กล้าทำโจมตีอย่างบุ่มบ่าม นอกจากนั้น ตัวนาง เชินถูเยียนหรานยังประเมินค่าคนผู้นี้ไว้สูง มีหรือจะเป็นคนธรรมดาไปได้?
ขณะนี้ เชินถูเยียนหรานกระทั่งรู้สึกยินดีในใจอย่างเบาบาง
………………..