บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน
บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน
เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบข้างเงียบกริบไร้สำเนียง ขณะที่บรรยากาศดูกดดัน เฉินซีก็ไม่คิดรังแกเฉาเจินต่อ ชายหนุ่มประสานกำปั้นคารวะเฉาเจินอย่างนิ่งเรียบ “ขอบคุณที่ออมมือ”
เพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ความรู้สึกซับซ้อนเอ่อขึ้นในหัวใจผู้อื่นทั้งหมด
เดิมทีพวกเขาตั้งใจสั่งสอนให้เจ้าคนจากเอกภพมสิหิมสำเหนียกตนเอง แต่ไม่คาดเลยว่าสถานการณ์จะแปรเปลี่ยนเหมือนถูกตบหน้ากันแรง ๆ
ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง
แต่พวกเขาก็ยังต้องยอมรับอย่างไร้ทางเลือกว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีร้ายกาจอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุด คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ไม่กล้าตั้งคำถามกับความแข็งแกร่งของเขาอีก
หลังจากอวี๋ชิวจิงประจักษ์แก่ทุกสิ่งตรงหน้า เห็นสีหน้าดำคล้ำของทุกคนและสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเฉินซี ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้จะยอมรับแล้วว่าเฉินซีชนะ แต่ก็รับไม่ได้ที่ขวัญกำลังใจของพวกเขาถูกเฉินซีเชือดเฉือน
เพราะมันจะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่เฉินซี ขณะที่ลดความกล้าของพวกเขาเสียแทน ส่งผลเสียต่อปฏิบัติการที่พวกเขากำลังจะทำ
ทุกสายตาเรืองประกายขึ้นทันที
เมื่อจวนอวี๋สุ่ยผู้นิ่งเงียบมาจนบัดนี้เห็นเข้า ก็ขยับปากเหมือนตั้งใจจะพูดบางอย่าง แต่กลับลังเลจนไม่พูดในที่สุด
คิ้วงามของเชินถูเยียนหรานที่เลิกขึ้น เอ่ยว่า “สหายเต๋าอวี๋ชิว ขณะนี้เฉินซีพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ค่อยสมควรนะ”
อวี๋ชิวจิงยิ้มบาง “เยียนหราน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ข้าแค่คันไม้คันมือขึ้นมาเมื่อพบผู้ที่ข้าประมือด้วยได้เท่านั้น ไม่มีเจตนาข่มเหงใด ๆ เพราะถึงอย่างไร กระทั่งเจ้ายังรู้เลยนี่ว่าหลังบรรลุการบ่มเพาะอย่างเรา การหาคู่ต่อสู้นั้นยากเย็นอย่างแท้จริง”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย แล้วเบนสายตาไปกล่าวกับเฉินซีกะทันหัน “สหายเต๋าเฉินซี เจ้าคิดเช่นไร?”
เฉินซีตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”
ทว่าในใจกลับรู้สึกรำคาญเล็กน้อย แค่ร่วมมือกัน แต่กลับหาเรื่องข้าซ้ำ ๆ เพราะข้ามาจากเอกภพมสิหิมและไร้ชื่อเสียงเด่นดัง
พอยามนี้ข้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งแล้ว อวี๋ชิวจิงนี่ก็ไม่ยอมจบเรื่อง ยืนกรานจะข่มขวัญกำลังใจข้า ข้าไม่เข้าใจเจ้าพวกนี้เอาเสียเลย
ทว่าเชินถูเยียนหรานคัดค้าน ใบหน้าจิ้มลิ้มเจือเค้าเย็นชา ความอบอุ่นในดวงตาเฉิดฉายหายวับ ขณะที่บรรยากาศรอบตัวพลันปรากฏความยิ่งใหญ่ชวนเกรงขามอย่างไม่อาจพรรณนา
ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน เพราะต่างทราบแล้วว่าเชินถูเยียนหรานมีโทสะ
อวี๋ชิวจิงหรี่ตาลง ก่อนจะหัวเราะจืดเจื่อนพลางไหวไหล่ “เยียนหราน แค่ประมือเองน่า หากเจ้าไม่ชอบใจก็ช่างมันเถอะ อย่าโกรธเลย”
ขณะเดียวกัน เขาก็หันไปพูดกับเฉินซี “แต่ข้าล่ะอิจฉาสหายเต๋าเฉินซีจริง ๆ ที่ทำให้เยียนหรานชื่นชอบดูแลได้เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อิจฉานิด ๆ นะ”
สีหน้าของเชินถูเยียนหรานผ่อนลงเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนท่าทีของอวี๋ชิวจิง “เรากล่าวได้ว่าโชคดีที่ได้ร่วมมือกัน ย่อมต้องดูแลช่วยเหลือกัน ไม่มีเรื่องอย่างลำเอียงเข้าข้างใคร”
เฉินซีเองก็ยิ้ม ไร้คำพูดใด ๆ
เขาตระหนักชัดเจนว่าแม้สถานการณ์จะผ่อนลงในชั่วขณะนี้ แต่การกระทบกระทั่งระหว่างเรายังไม่ถูกสะสาง เว้นแต่เขาจะลงมือให้อวี๋ชิวจิงรู้ซึ้งในความแข็งแกร่งอย่างถึงทรวง
มิเช่นนั้น อวี๋ชิวจิงคงไม่มีทางยอมรับความแข็งแกร่งของเฉินซีเป็นแน่
“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าไม่เคยคาดคิดว่าหนนี้ข้าจะสายที่สุด น้องหญิงเยียนหรานคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอันเปี่ยมความมาดมั่นก็กึกก้องมาจากไกล ๆ สะท้านหมู่เมฆจนสลายแหลก
พร้อมกันนั้น หนึ่งร่างก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ณ ยอดเขา
คนผู้นี้สวมอาภรณ์ผ้าธรรมดา มีการวางตัวงามสง่า สีหน้าลอยชายไร้กังวล ดวงตาเฉียบคมเจิดจรัส สะพายหอกสั้นสำริดสองเล่มไว้บนหลัง รอยยิ้มเฉิดฉายบนใบหน้า ดูบ้าบิ่น กล้าแกร่ง ดุดัน และมีเสน่ห์เฉพาะตัว
ทุกคนต่างใจชื้น เข้าไปทักทายผู้มาใหม่ตาม ๆ กัน
“พี่อู๋เหิน”
“พี่ใหญ่อู๋เหินมาแล้ว”
เมื่อเห็นผู้มาใหม่ กระทั่งมุมปากของเชินถูเยียนหรานยังยกยิ้มบาง ดวงตาเรืองรองเจิดจรัส “เจ้านี่นะ ยังเกียจคร้านเช่นเคย”
“เขาไม่ใช่เพียงเกียจคร้านนะ แต่ยังไม่เห็นเราในสายตาเลยชัด ๆ” อวี๋ชิวจิงแสร้งโมโหหยอกเขาเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ! หากพวกเจ้ายังเอาแต่พูดเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวแล้วนะ” ชายหนุ่มชุดเทาหัวเราะร่าเผยซี่ฟันขาวเรียงรายในปาก ฉีกยิ้มเจิดจรัสอันติดต่อสู่ผู้อื่นได้
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ก็อดยิ้มตามไม่ได้เช่นกัน
การวางตัวอบอุ่น ดูเป็นคนอิสระลอยชาย จึงง่ายนักที่จะเกิดความรู้สึกเป็นมิตรต่อกัน
เฉินซียิ้มตอบ “ผู้น้อยเฉินซี”
ทว่าเฉินซีตะลึงอยู่ในใจ เพราะชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่อยู่ในลำดับสิบเอ็ดบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แต่ยังมีการวางตัวไม่ธรรมดาอีกด้วย
กระทั่งคนอย่างอวี๋ชิวจิงยังดูด้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนผู้นี้เล็กน้อย
ถึงขนาดที่ ในหมู่บุคคลที่เฉินซีให้ความสนใจอย่างจริงจังที่นี่ หากจะมีผู้ใดนอกจากเชินถูเยียนหรานและจวนอวี๋สุ่ยซึ่งเงียบมาตลอด ก็เล่ออู๋เหินผู้นี้นี่แหละ
ส่วนอวี๋ชิวจิง แม้ความแข็งแกร่งจะร้ายกาจ กระทั่งมีลำดับสูงกว่าจวนอวี๋สุ่ย แต่ท่าทีการวางตัวยังต่ำกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อย
ยามบรรลุการบ่มเพาะอย่างเฉินซี ความแข็งแกร่งอย่างเดียวก็ไม่อาจตัดสินคนได้ ยังขึ้นกับการวางตัวและความสามารถที่แสดงออกด้วยเช่นกัน เพราะทั้งหมดนี้ล้วนปรากฏเบาะแสให้ตรวจจับมากมาย
“เฉินซี?” เล่ออู๋เหินเหมือนคิดถึงบางสิ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อเจ้าที่ใด แต่ยังนึกไม่ออกในขณะนี้ ขอบังอาจถาม สหายเต๋ามาจากเอกภพจักรวรรดิหรือไม่?”
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำให้เฉินซีไม่อาจเลี่ยงความตกตะลึงเล็กน้อยได้ หรือโลกนี้จะมีเฉินซีคนอื่นอยู่?
ไม่เพียงเฉินซีเท่านั้น กระทั่งคนอื่น ๆ ยังงุนงง เล่ออู๋เหินเป็นประมุขน้อยของตระกูลเล่อโบราณ ณ เอกภพจักรวรรดิ สถานะสูงส่งอย่างยิ่ง แต่ตัวตนอย่างเขากลับเคยได้ยินชื่อเฉินซีมาก่อน? มันผิดปกติอยู่เอาการ
“พี่อู๋เหิน สหายเต๋าเฉินซีมาจากเอกภพมสิหิม แต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง กระทั่งข้ายังคันไม้คันมือ อยากจะประมือกับเขาเหลือเกิน” อวี๋ชิวจิงยิ้มบางเอ่ยชมจากข้าง ๆ ส่วนคำพูดนั้นจะมาจากใจหรือไม่ มีเพียงเจ้าตัวที่ทราบคำตอบ
“เอกภพมสิหิม…” เล่ออู๋เหินตบหน้าผากตนเอง แล้วจึงกล่าวยิ้ม ๆ “เหมือนข้าจะเข้าใจผิดเอง เพราะผู้ที่กล่าวนามนี้คือผู้อาวุโสท่านหนึ่งจากตำหนักเต๋าหนี่หวาในเอกภพจักรวรรดิ ข้าว่าคงไม่ใช่คนเดียวกันหรอก”
ตำหนักเต๋าหนี่หวา?
คนอื่น ๆ แย้มยิ้มและส่ายหน้าทันทีที่ได้ยิน รู้สึกเฉยชานักด้วยไม่คิดว่าเฉินซีกับนิกายโบราณเช่นนั้นจะมีสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน
ทว่าขณะที่ได้ยินคำว่าตำหนักเต๋าหนี่หวา เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในใจอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ยังมีความรู้สึกตื่นตะลึงไม่อยากเชื่ออยู่ด้วยเล็กน้อย
เขาแน่ใจว่าตำหนักเต๋าหนี่หวาที่เล่ออู๋เหินกล่าวถึงคือตำหนักเต๋าหนี่หวาที่ตนคุ้นเคย แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนในตำหนักเต๋าหนี่หวาพูดชื่อของเขา เป็นชิงซิ่วอี้หรือไม่?
ขณะเดียวกัน เฉินซีก็ยืนยันได้ว่า ‘เฉินซี’ ที่เล่ออู๋เหินกล่าวถึงคือตนแน่นอน เพราะไม่มีเฉินซีคนอื่นแล้วในตำหนักเต๋าหนี่หวา
ดูเหมือนว่าตำหนักเต๋าหนี่หวาจะอยู่ในเอกภพจักรวรรดิ ณ แดนเทพโบราณจริง ๆ… แม้ความคิดสารพันจะไหลพล่านในใจ แต่สีหน้าเฉินซีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ทันทีที่เล่ออู๋เหินมาถึง คณะของพวกเขาก็รวมตัวเสร็จสิ้น
หากพินิจให้ดี จะสังเกตได้ว่ากลุ่มนี้มีมหาเทวาวิญญาณห้าคน และมีถึงสามคนที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ซึ่งก็คือเล่ออู๋เหินอันดับสิบเอ็ด เชินถูเยียนหรานอันดับสิบสาม และอวี๋ชิวจิงอันดับสิบหก
ขณะเดียวกัน จวนอวี๋สุ่ยอยู่ในอันดับยี่สิบสาม เป็นตัวตนซึ่งบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร เพียงเรื่องนี้ลำพังก็ทำให้เป็นผู้ที่ไม่อาจประเมินต่ำได้แล้ว
มหาเทวาวิญญาณคนสุดท้ายคือเฉินซี แม้เขาจะไม่มีอันดับบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ยามเอาชนะเฉาเจินก็ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งแล้ว
นอกจากพวกเขาทั้งห้า ผู้บ่มเพาะอีกสิบกว่าคนในกลุ่มล้วนแต่เป็นตัวตนสูงสุดจากเอกภพจักรวรรดิเช่นกัน กลุ่มเช่นนี้จึงถือได้ว่ายิ่งใหญ่ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
จากการประมาณการของเชินถูเยียนหราน มีเพียงคนอย่างลั่วฉ่าวหนง เจียหนาน และกงเหย่เจ๋อฟูเท่านั้นที่ควรค่าให้พวกเขารับมือด้วยอย่างระมัดระวัง ส่วนผู้อื่นนั้น ไม่ต้องใส่ใจนักก็ได้
“ในแดนรากบรรพกาลมีรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเพียงหนึ่ง กล่าวคือโอกาสยิ่งใหญ่เช่นนี้มีเพียงผู้เดียวที่รับไปได้ ข้าหารือกับสหายเต๋าท่านอื่น ๆ จนตกลงกันได้แล้ว” อวี๋ชิวจิงกล่าวอย่างสุขุมมั่นใจ จากคำพูดของเขา หลังเข้าสู่แดนรากบรรพกาล พวกเขาจะต้องใช้เวลาหารากเต๋าบรรพชนให้แก่ผู้บ่มเพาะแต่ละคนในคณะ
แน่นอน ลำดับของเรื่องนี้เปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ เช่นจะสู้ชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิก่อน จึงค่อยหารากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ ให้คนที่เหลือก็ได้
มันสมเหตุสมผลอย่างมาก รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไม่ใช่รากเต๋าบรรพชนหนึ่งเดียวในแดนรากบรรพกาล ยังมีรากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ อีกมากมาย แค่คุณภาพของมันเทียบกับรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไม่ได้เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะซึ่งไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณไม่มีทางสู้แย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าได้เลย ดังนั้นการพอใจในสิ่งที่ดีรองลงมา เลือกรากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ จึงนับว่าอยู่กับความเป็นจริง
นี่คือสัจธรรม หากเฉินซีและมหาเทวาวิญญาณคนอื่น ๆ ไม่สามารถชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้านั้นมาในตอนท้าย พวกเขาก็ทำได้เพียงเลือกรากเต๋าบรรพชนอื่นซึ่งมีคุณภาพด้อยลงมานิดหน่อย เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจพัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้อย่างราบรื่น
หลังอวี๋ชิวจิงพูดจบ สายตาของเขาก็เบนมาทางเฉินซี “สหายเต๋าเฉินซี เจ้ามาใหม่ ข้าถือวิสาสะว่าเจ้าตระหนักเรื่องทั้งหมดแล้วในยามนี้ เช่นนั้น เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
เฉินซีพยักหน้า “แน่นอน”
“ดี ในเมื่อทุกคนตกลงกันแล้ว ก็ให้เป็นไปตามนี้ แต่ข้าขอพูดตรง ๆ ไว้ก่อนว่าเราจะต้องเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันยามเข้าสู่แดนรากบรรพกาล ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของคณะในทุกแง่มุม หากผู้ใดฝืนกฎ ผู้นั้นคือศัตรูร่วมของเรา!” สีหน้าของอวี๋ชิวจิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวขึ้นเสียงเบา สายตาเหมือนจงใจมองมาทางเฉินซี ประหนึ่งคำเตือนระคนปลุกสติ ชวนให้ครุ่นคิดยิ่งนัก