บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1658 วิถีสู่การค้นพบตัวตนที่แท้จริง
บทที่ 1658 วิถีสู่การค้นพบตัวตนที่แท้จริง
ทันทีที่อวี๋ชิวจิงกล่าวจบ หลายคนก็จ้องมองไปที่เฉินซีอย่างคลุมเครือ
เห็นได้ชัดว่าหลาย ๆ คนถือคำกล่าวของอวี๋ชิวจิงเป็นดั่งคำเตือนต่อเฉินซี
เฉินซีก็ตระหนักเห็นเช่นกัน แม้สีหน้ายังคงสงบ แต่ยังรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในใจ
ตั้งแต่พริบตาแรกที่ได้พบพานอวี๋ชิวจิงมาจนถึงบัดนี้ ดูเหมือนคนผู้นี้จะมุ่งเป้ามาที่เขาอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นการยุยงให้ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นพิสูจน์พลังฝีมือของเขา หรือใช้ต้นกำเนิดเพื่อทำให้เขาถูกสงสัย แม้ท่าทีของอวี๋ชิวจิงดูเหมือนจะวางตัวเป็นกลาง แต่เฉินซีก็ตระหนักเห็นเจตนาร้ายท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน
แม้เฉินซีไม่สามารถระบุเงื่อนงำได้ แต่เขาเริ่มระวังคนผู้นี้อยู่ในใจ
“เอาละ ในเมื่อสรุปได้แล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะมุ่งหน้าไปยัง แดนรากบรรพกาลแล้ว” เล่ออู๋เหินสะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง
โอม!
น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณ!
มันเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเล่อ น้ำเต้านั้นมีพลังงานแก่นแท้ของความโกลาหลโดยกำเนิด และมีพลังที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ล่องหน ซึ่งสามารถสะบั้นวิญญาณของเทพได้อย่างไร้สุ้มเสียง ทั้งดุร้ายและครอบงำอย่างยิ่ง
ดวงตาของทุกคนเป็นประกายเมื่อเห็นสมบัตินี้ และหลายคนถึงกับเผยความอิจฉาเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ในเอกภพจักรวรรดิ แต่สมบัติวิญญาณธรรมชาติเช่นนี้ก็หายากยิ่ง
เฉินซีถอนหายใจยาวแรงเช่นกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมทรัพยากรและกองกำลังจึงน่าพรั่นพรึงนัก มีเพียงมหาอำนาจอื่น ๆ เท่านั้นที่สามารถต่อกรได้
หากคาดเดาไม่ผิด หอกสั้นสีทองสัมฤทธิ์สองด้ามที่เล่ออู๋เหินสะพายไว้บนแผ่นหลังก็เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่น่าเกรงขามเช่นกัน!
“ทุกคนไปกันเถอะ ครั้งนี้ข้าจะนำหน้า และเปิดเส้นทางที่ราบรื่นให้แก่ทุกคนเอง!” เล่ออู๋เหินแผดหัวเราะเสียงดังลั่น ขณะที่ร่างเปล่งประกายวูบไหว แล้วพาทุกคนขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน ก่อนจะพุ่งเข้าสู่น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณอย่างรวดเร็ว
โอม!
เวลาถัดมา ชั้นอากาศผันผวนอย่างรุนแรง ในขณะที่น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณส่งเสียงแปลก ๆ ดังก้อง จากนั้นมันก็ฉีกทะยานผ่านเมฆและเดินทางผ่านอวกาศ
น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณมีโลกของตัวเองอยู่ภายใน ทั้งยังถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยภูเขาและแม่น้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอาคารที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สร้างขึ้นภายใน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน
“สหายเต๋าเชิญตามสบาย มีสุราชั้นดีจากสี่ฤดูกาลและอาหารรสเลิศมากมายที่นี่ ผู้ที่ไม่ชอบเสียงดังสามารถบ่มเพาะอย่างเงียบสงบอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งด้านข้างได้ ตามที่บิดาของข้าได้กล่าวไว้ การบ่มเพาะในน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณนั้นดีกว่าการบ่มเพาะในสรวงสวรรค์แห่งการบ่มเพาะทั่วไปมาก หากทุกท่านไม่เชื่อคำข้าก็สามารถลองดูได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เล่ออู๋เหินพาทุกคนไปที่สวน ก่อนจะชี้ไปยังบริเวณโดยรอบ แล้วจึงแย้มยิ้มพลางแนะนำโลกภายในน้ำเต้า
สวนแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณศักดิ์สิทธิ์ที่อุดมสมบูรณ์ ปกคลุมไปด้วยสมุนไพรอมตะ และโต๊ะมันวาวจำนวนมากที่ขัดเงาจากหยกศักดิ์สิทธิ์ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วสวน มีสุราชั้นดี อาหารรสเลิศ ผลไม้ และของขบเคี้ยวอยู่บนโต๊ะ ซึ่งทั้งหมดนั้นอบอวลไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเลิศรสอย่างยิ่ง
“คุณชายอู๋เหินช่างรู้จักเพลิดเพลินอย่างแท้จริง” ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความชื่นชมเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาตระหนักดีว่าเล่ออู๋เหินมีนิสัยใจกว้างและไร้กังวล ทั้งยังไม่สนใจพิธีรีตอง อย่างไรก็ตาม เขาให้ความสำคัญกับความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเมื่อใด เขาก็ไม่ลืมที่จะตระเตรียมของเพื่อสร้างความบันเทิงให้ตัวเอง
ในไม่ช้า ทุกคนก็นั่งลงบนพื้น บ้างก็พูดคุยกัน บ้างก็ร่ำสุรา และบรรยากาศก็ค่อนข้างกลมกลืน
“สหายเต๋าเฉินซี ดูเหมือนเจ้าจะไม่สนใจรากเต๋าบรรพบุรุษระดับจักรพรรดิระดับเก้าเลยเหรอ?” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ แต่เล่ออู๋เหินกลับนั่งอยู่ข้าง ๆ เฉินซี และเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความใคร่รู้ เมื่อสังเกตเห็นเฉินซีดื่มอยู่คนเดียวโดยไม่กล่าววาจาใด ๆ ทว่าคำพูดของเล่ออู๋เหินกลับกระตุ้นให้เกิดความสงสัยแทน
“โดยธรรมชาติแล้ว ข้าย่อมสนใจเรื่องนี้ แต่ข้าไม่กล้าอ้างว่าจะครอบครองมันได้อย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว มียอดผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเฉกเช่นนายน้อยอู๋เหิน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้ามั่นใจมากนัก” เฉินซีส่ายศีรษะแล้วยิ้มพลางกล่าว
เฉินซีไม่ได้กระตือรือร้นที่จะครอบครองสมบัติชิ้นนี้ หากเป็นไปได้ เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้มันมา แต่สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือต้องขัดขวางกงเหย่เจ๋อฟูเสียก่อน
นี่คือจรรยาบรรณของเฉินซี เมื่อเขาสัญญากับจักรพรรดินีอวี้เชอแล้ว เขาย่อมไม่บิดพลิ้ว
“ฮะ! ผู้เยี่ยมยุทธ์? แดนรากบรรพกาลนั้นเหนือล้ำเกินธรรมดา มันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีวาสนาด้วย หากไร้ซึ่งวาสนาไม่ว่าผู้นั้นจะแข็งแกร่งปานใด มันก็ไร้ความหมาย” เล่ออู๋เหินแผดเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน
เฉินซียิ้มพลางกล่าวว่า “วาสนายังคงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งในการครอบครอง”
เล่ออู๋เหินเห็นด้วยอย่างยิ่ง และถอนหายใจยาวแรง “แน่นอนว่าทุกย่างก้าวในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั่นยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะกับมหาเทวาวิญญาณอย่างพวกเรา ซึ่งแท้จริงแล้ว มันยากที่จะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และต่อสู้เพื่อชิงความเป็นใหญ่ ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ข้ามาที่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่”
เขากรอกสุราเข้าปากอึกใหญ่แล้วกล่าวต่อ “แม้ข้าจะไม่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด แต่มันก็คงไม่แย่นักถ้าข้าสามารถได้รับรากบรรพชนขั้นกษัตริย์ระดับเจ็ดหรือรากบรรพชนขั้นราชาระดับแปด”
ปัจจุบัน เฉินซีทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า รากเต๋าบรรพชนถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับตามคุณภาพของพวกมัน สามระดับแรกอาจกล่าวได้ว่าเป็นรากเต๋าบรรพชนธรรมดา แม้ว่าจะยังค่อนข้างหายาก แต่ก็ยังสามารถพบได้ในเอกภพต่าง ๆ ของแดนเทพโบราณ
รากเต๋าบรรพชนระดับสี่ถึงหก ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงแล้ว และมีเพียงมหาอำนาจชั้นนำเท่านั้นที่สามารถค้นหาสรวงสวรรค์ที่สร้างสมบัติดังกล่าวได้
ในทางกลับกัน รากเต๋าบรรพชนที่อยู่เหนือระดับหกนั้นถือว่าหายากมาก แม้ในพันเอกภพของแดนเทพโบราณ แต่การจะได้ครอบครองพวกมันล้วนขึ้นอยู่กับโชคเท่านั้น ถึงขั้นที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปไม่กล้าละโมบต่อมัน
เนื่องจากรากเต๋าบรรพชนที่มีคุณภาพเช่นนี้หายากเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงถูกครอบครองด้วยมหาอำนาจเก่าแก่ต่าง ๆ
รากเต๋าบรรพชนที่มีคุณภาพดังกล่าวถูกแบ่งคร่าว ๆ ออกเป็นขั้นกษัตริย์ระดับเจ็ด ขั้นราชาระดับแปด และขั้นจักรพรรดิระดับเก้า!
กษัตริย์ ราชา และจักรพรรดิ!
แม้จะเป็นคำสามคำที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นตัวแทนของรากเต๋าบรรพชนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ละขั้นนั้นหายากกว่าอีกขั้นหนึ่ง และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง แม้แต่จะเป็นมหาเทวาวิญญาณก็ยังได้แต่ใฝ่ฝันถึง
ทว่าตอนนี้ เมื่อซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่เปิดขึ้น มีข่าวลือว่ารากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าได้ถือกำเนิดขึ้นภายในนั้น จึงทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนปรารถนาต่อมัน
สิ่งสำคัญที่สุด คือรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้านั้น ไม่ได้มีอยู่ในแดนรากบรรพกาลแค่ต้นเดียว!
“ฮ่า ฮ่า! พี่อู๋เหินกล่าวล้อเล่นอีกแล้ว ในด้านความแข็งแกร่ง พันธมิตรของเราไม่ด้อยกว่าใครทั้งสิ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุใดเราจึงต้องกังวลว่าจะไม่สามารถยึดครองรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิได้?” ในขณะนี้ อวี๋ชิวจิงหัวเราะขึ้นแล้วพลันกล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาระหว่างเฉินซีและเล่ออู๋เหิน
เล่ออู๋เหินยิ้มอย่างสบายใจ “ไม่อาจกล่าวเช่นนั้น พวกเราทั้งห้ามีโอกาสที่จะได้รับมันในครั้งนี้ และมันก็หาได้สำคัญไม่ ตราบใดที่เราทำให้ดีที่สุดและกระทำภายใต้ขอบเขตของเรา”
ในยามนี้ พวกเขาอยู่ภายในน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณ แต่กลับประสบกับแผ่นดินไหวเช่นนี้
หรือจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในโลกภายนอก?
ฟึ่บ!
จู่ ๆ เล่ออู๋เหินก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นท้องฟ้าโปร่งแสงก็สะท้อนภาพในโลกภายนอกให้เห็น
หลังจากนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นว่ามีอันตรายเกิดขึ้นมากมายในโลกภายนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนราตรีกาล และสายฟ้าแวบวาบอย่างรุนแรง
เงาของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านฟ้าดิน พวกมันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด และเหยียบย่ำอวกาศจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวมาก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสังเกตเห็นเหตุการณ์การล่มสลายของมหาเต๋า สัตว์ประหลาดที่ร่ายรำอยู่บนท้องฟ้า โลหิตที่สาดกระเซ็นไปทั่วนภา ความวุ่นวายและฉากที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงอื่น ๆ อีกมากมาย เหตุการณ์เหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วฟ้าดิน
พลันทำให้พวกเขารู้สึกราวกับจุดจบของโลกกำลังมาถึง และนั่นทำให้วิญญาณสั่นคลอน
“ที่แท้เราได้เข้าสู่แดนปีศาจโกลาหลแล้ว ทุกคนไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณปกป้องเราอยู่ มันย่อมไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เล่ออู๋เหินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เฉินซีกลับรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยแทน เขาทราบดีว่า ถ้าหากพึ่งพาความสามารถของตนเอง มันคงเป็นเรื่องยากที่จะผ่านบริเวณนี้ไปได้
นี่คือซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ แม้จะเต็มไปด้วยโชคลาภมากมาย แต่จิตสังหารและอันตรายทุกประเภทก็รออยู่เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น แดนปีศาจโกลาหลที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ไม่ต้องกล่าวถึงมหาเทวาวิญญาณธรรมดา ๆ แม้แต่มหาเทวาวิญญาณระดับสูงก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไปในพื้นที่นี้เพียงลำพัง
แม้จะเป็นเช่นนั้น หากใครตั้งใจจะเข้าสู่แดนรากบรรพกาลก็ต้องผ่านบริเวณนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แดนรากบรรพกาลไม่ใช่สถานที่ที่ใคร ๆ สามารถไปถึงได้
โชคดีที่เฉินซีไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้
โครม โครม โครม!
น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่ามันได้รับผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้หัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความหวาดผวาอีกครั้ง
“อืม? นั่นอะไร?”
“เจียหนานแห่งนิกายพุทธ!”
ชายหนุ่มผู้สวมชุดหลวงจีนสีขาวดุจพระจันทร์และรองเท้าฟาง ถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ที่เหี่ยวแห้งขณะเดินผ่านม่านรัตติกาล
ท่าทางสงบนิ่ง และเผยให้เห็นกลิ่นอายสำรวมที่หนักแน่นราวกับก้อนหิน อสนีบาตและฟ้าร้องไม่สามารถเขย่าจิตวิญญาณของคนผู้นี้ได้ แม้แต่สัตว์ร้ายและเงาของสัตว์ประหลาดก็ไม่อาจขัดขวางฝีเท้าได้เลย
เขาก้าวเดินเช่นนั้นผ่านความอันตรายอันกว้างใหญ่นี้ และเดินผ่านฟ้าดินอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งดูเหมือนจุดสิ้นสุดของโลกได้จุติลงมา แม้รูปร่างจะเล็ก แต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกว่าไม่สามารถสั่นคลอนได้
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ร่างของเขาก็หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้ขอบเขต
ทุกคนกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในขณะที่ความประหลาดใจทะลักเข้าสู่หัวใจของทุกคน
“ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก!” มีคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวแรง และทำลายความเงียบที่ปกคลุมโดยรอบ
“นั่นคือความแข็งแกร่งของผู้ที่ดำรงอยู่ในอันดับเจ็ดในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าลั่วฉ่าวหนงผู้น่าเกรงขามซึ่งอยู่ในอันดับที่สามนั้นจะแข็งแกร่งปานใด”
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของทุกคนรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย เพราะยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากเท่าใด การแข่งขันที่ต้องเผชิญก็จะยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเท่านั้น
“นั่นคือกลิ่นอายของนิกายพุทธแห่งเอกภพจักรวรรดิ เจียหนานบ่มเพาะวิถีแห่ง ‘การรู้จักตนเอง การยืนหยัดด้วยตนเอง และการบรรลุถึงจุดสูงสุดด้วยตนเอง’ เขาจะต้องอดทนและข้ามผ่านทุกสิ่งด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเขามาที่นี่เพียงลำพัง และไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ” เล่ออู๋เหินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จากนั้นจึงกล่าว “ด้วยวิธีนี้ เราไม่จำเป็นต้องกลัวเขา”
เฉินซีหรี่ตาลง หนึ่งคน หนึ่งวิถี วิถีแห่งการค้นพบตัวตนที่แท้จริงด้วยตนเอง! การแข่งขันกับบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะเป็นเรื่องง่ายดายได้อย่างไร?
………………..