บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1660 ไม่ทนอีกต่อไป
บทที่ 1660 ไม่ทนอีกต่อไป
เฉินซีนั่งขัดสมาธิ ส่วนทารกดวงใจก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ภายในดวงจิตแห่งเต๋า
กระแสพลังดวงใจสีโปร่งแสงโคจรอยู่ภายในทารกดวงใจตลอดเวลา มันดูลึกลับซับซ้อน เกิดเป็นเงาร่างของจักรวาลขึ้นมา
พร้อมกับกาลเวลาที่ผ่านไป การโคจรนี้ก็เริ่มสมบูรณ์จนไร้ข้อผิดพลาดขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งพลังดวงใจที่อยู่ในทารกดวงใจยังหนาแน่นและแข็งแกร่งขึ้นอีก
เฉินซีสังเกตได้เลยว่าร่างของทารกดวงใจเปลี่ยนผันอยู่ตลอด มันใสกระจ่างขึ้น แขนขาก็เหมือนต้นไผ่ที่งอกรวดเร็วหลังได้ฝน…
เจ็ดวันให้หลัง ทารกดวงใจที่กลายมาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยืดแขนออกมา ก่อนจะสร้างผนึกอันลึกลับหนึ่งซึ่งส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมา
ตู้ม!
ในพริบตานั้น เสียงตู้มก็ดังก้องขึ้นจากทารกดวงใจ ราวกับว่าความวิบัติเพิ่งทลาย โลกเพิ่งถือกำเนิด พลังดวงใจเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง
มันแปรเปลี่ยนเป็นโลก เป็นชีวิต เป็นภูเขา เป็นธารน้ำ เป็นวิวทิวทัศน์ เป็นอวกาศ เป็นดวงดารา…
ขยับขยายออกไปอย่างไรที่สิ้นสุด…
นี่คือจักรวาลภายในดวงจิตแห่งเต๋า ซึ่งกลั่นจากพลังดวงใจบริสุทธิ์ มันใสกระจ่างมองผ่านได้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายสะอาดบริสุทธิ์!
พลังประเภทนี้ต่างจากพลังอื่น ๆ อย่างพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณ พลังแห่งกฎ มันเป็นพลังที่มาจากดวงจิตแห่งเต๋า ลึกล้ำเกินหยั่งยิ่ง
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
พลังดวงใจเริ่มโคจรไปอย่างรวดเร็ว สร้างความมั่นคงให้จักรวาลผืนใหม่ ทำให้ทุกอย่างเริ่มสงบลงในที่สุด
ทว่าทารกดวงใจที่กลายเป็นเด็กตัวเล็กคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ต้องการคำชี้แนะจากเฉินซี ก็สามารถควบคุมจักรวาลภายในดวงจิตแห่งเต๋าเพื่อบ่มเพาะสัจหฤทัยสูตรได้แล้ว
นี่คือการขึ้นสัจหฤทัยสูตรในขั้นแรก ถือกำเนิดเกิดเป็นจักรวาลภายในดวงจิตแห่งเต๋าขึ้นมา อีกทั้งยังมีอำนาจมากมายเกิดอธิบายได้
ทว่าเฉินซีใช้เวลาทำทั้งหมดนี้ได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น!
รวดเร็วเช่นนี้คงใช้คำว่าน่าตกตะลึงไม่ได้เลย
แต่เฉินซีก็รู้ดีว่าพลังดวงใจของเขาอยู่ในขอบเขตทารกดวงใจมานานเกินไป มันสั่งสมพลังจำนวนมากเอาไว้ตั้งนานแล้ว ทว่าการปรากฏตัวของสัจหฤทัยสูตรทำให้เขามีวิชาในการฝึกและนำทางพลังดวงใจต่อไปได้ ดังนั้นจึงสามารถทำได้รวดเร็วเช่นนี้
ดังนั้นเฉินซีจึงไม่ได้ประหลาดใจอะไรมาก
ตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยกระแสศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายแห่งเต๋า ส่องระยับไปด้วยแสงอันบริสุทธิ์ พลังภายในร่างเคลื่อนไปดั่งใจอยาก ดูเป็นธรรมชาติเหมือนเมฆาลอยเด่นบนฟากฟ้า
หลังจากได้พลังดวงใจในขั้นแรกมาแล้ว การเติบโตของพลังดวงใจก็ทำให้พลังบ่มเพาะเกิดการเปลี่ยนแปลง
จุดนี้ทำให้เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดอะไร ได้แต่ถอนหายใจก่อนบ่มเพาะพลังต่อ
พร้อมกันนั้น เขาก็แยกสมาธิออกเป็นสองส่วน แบ่งส่วนหนึ่งไปทำความเข้าใจกระบี่ดวงใจลี้ลับด้วย
…
อีกครึ่งเดือนผ่านไป
เฉินซีที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพลันลืมตาขึ้น มันเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เรากลับมีจักรวาลกำลังโคจรอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น คล้ายว่าสามารถมองผ่านทะลุทุกอย่างในใต้หล้า ล่วงรู้ความลับในใจคนได้!
แต่หลังจากนั้นมันก็หายวับไป สองตากลับคืนสู่ความสงบสุขลุ่มลึกดังเดิม อีกทั้งกลิ่นอายยังดูมีความลึกล้ำยิ่งกว่าเก่า
น่าเสียดายที่ข้ามีเวลาน้อยเกินไป กว่าจะถึงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณขั้นสมบูรณ์คงต้องใช้เวลาอีกกว่าสามเดือน เฉินซีสัมผัสความเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายพลังของตนเองได้ จากนั้นส่ายหน้าอย่างคนอบจนหนทาง
แต่ถึงจะพัฒนาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ความก้าวหน้าของพลังดวงใจและความแกร่งที่ได้จากการทำความเข้าใจกระบี่ดวงใจลี้ลับก็ทำให้เขาพึงพอใจยิ่ง
ผลลัพธ์ทั้งหมดที่ได้มาทำให้ความแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นสูงภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงเดือนเท่านั้น!
จากการประมาณการของเฉินซี แม้เป่ยเหวินและคุนอู๋ชิงจะร่วมมือกันก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว!
คุนอู๋ชิงอยู่อันดับที่สิบเก้าบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ส่วนเป่ยเหวินอยู่อันดับที่ห้าสิบสาม แต่ถึงร่วมมือกันก็ยังทำอะไรเฉินซีไม่ได้ พลังของเฉินซีสะท้านฟ้าแค่ไหนกัน?
กระทั่งตัวเฉินซีเองยังไม่รู้คำตอบเลย
แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เกรงกลัวการต่อสู้ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่แล้ว รวมถึงผู้ที่อยู่สิบอันดับแรกบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณด้วย!
…
หลังจากทำสมาธิอีกหลายวัน เฉินซีก็ตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้ว
ตอนนี้ก็ผ่านไปยี่สิบเก้าวันนับตั้งแต่เข้ามาในบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยปราณหมานกู่วิเวก จากที่เล่ออู๋เหินกล่าวไว้ พวกเขาคงใกล้ถึงแดนรากบรรพกาลแล้ว
“หือ?” เมื่อเฉินซีมาถึงสวนเมื่อก่อนหน้านี้ก็ต้องชะงักไป เพราะเห็นว่าแท่นขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นมา เล่ออู๋เหินยืนอยู่ด้านนอก
อวี๋ชิวจิงกำลังยั้งมืออยู่ เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณ ทั้งยังแกร่งกว่าเฉาเจินที่เฉินซีเอาชนะไปก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฟึบ!
อวี๋ชิวจิงประกบนิ้วเข้าหากันทำท่าปัด ปราณกระบี่พลันหวีดหวิวออกมา
ตู้ม!
มันสะเทือนร่างคู่ต่อสู้จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว เสื้อบนไหล่ซ้ายเกิดรอยขาดให้เห็น
“การโจมตีเมื่อครู่แกร่งกว่าการโจมตีก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การใช้กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ายังไม่แกร่งพอ จึงเปิดโอกาสให้ข้าได้ ต่อไปหากโจมตีเจ้าควร…” อวี๋ชิวจิงยิ้มอธิบาย เผยท่าทางสูงส่งสง่างามออกมา
ไม่เพียงแต่คู่ต่อสู้เท่านั้น ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในแถบนั้นก็กำลังตั้งใจฟังคำชี้แนะอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เฉินซีก็รู้ทันทีว่าอวี๋ชิวจิงกำลังใช้การต่อสู้จริงเพื่อชี้แนะให้ผู้อื่น
คนผู้นี้ไม่เคยหยุดเลยจริง ๆ เรามาถึงแดนรากบรรพกาลกันแล้วแท้ ๆ แต่เขากลับเอาแรงมาเสียอยู่ตรงนี้ เฉินซีรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง
เขามองว่าคำชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านี้ไม่สามารถทำให้ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นสามารถแกร่งขึ้นได้
ที่สำคัญคือ อวี๋ชิวจิงเสียแรงเปล่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เสียพลังอะไรไปเยอะแยะ แต่แดนรากบรรพกาลเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดังนั้นตอนนี้แม้จะเสียไปเพียงนิดก็ส่งผลต่อคนในกลุ่มได้แน่นอน
แต่ดูท่าอวี๋ชิวจิงกับคนอื่น ๆ จะไม่สนใจเรื่องนี้กันเลย
เฉินซีย่อมไม่คิดเอ่ยปากห้าม เพราะนอกจากจะทำให้เสียกำลังใจแล้ว ยังจะเป็นการล่วงเกินคนจำนวนมากอีกด้วย
“ศิษย์พี่อวี๋ชิว ช่วยประลองและชี้แนะให้ข้าได้หรือไม่?” ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งป้องมือขึ้น จากนั้นมองอวี๋ชิวจิงด้วยสายตามีความหวัง
“เป็นตาของข้าต่างหาก”
“ใช่ โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ทุกคนล้วนรอให้ถึงตาตนเองทั้งนั้น ให้เป็นไปตามลำดับอย่าคิดล้ำหน้าคนที่มาก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเอาได้”
ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เอ่ยขึ้นตาม ๆ กัน เห็นได้ชัดว่าอยากประลองกับอวี๋ชิวจิงและได้คำชี้แนะบ้าง
อวี๋ชิวจิงหัวเราะลั่น เขาชอบความรู้สึกเช่นนี้ยิ่ง กำลังจะเอ่ยคำสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่ไกล ๆ ทำให้เปลี่ยนใจทันที
“สหายเต๋าเฉินซี เจ้าหายไปบ่มเพาะเสียนาน ข้าเดาว่าพลังคงจะเพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว ไม่ใช้โอกาสนี้ประมือกันหน่อยหรือ?” อวี๋ชิวจิงเอ่ยเสียงดัง ดึงความสนใจทั้งหลายไปทางเฉินซีทันที ใบหน้าพวกเขาล้วนมีสีหน้าเย้ยหยัน
ตอนเฉินซีออกไปฝึกพลังในวันนั้น พวกเขาเห็นแล้วก็รู้สึกรังเกียจไม่ใช่น้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายแค่ทำอวดดีไปอย่างนั้น ตอนนี้พอได้ยินอวี๋ชิวจิงเสนอเช่นนั้นขึ้นมาจึงรู้สึกยินดีอยากรอชมการแสดงเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ได้ยินแล้วว่าอวี๋ชิวจิงอยากประลองกับเฉินซีก่อนมาถึงแดนรากบรรพกาล แต่เชินถูเยียนหรานห้ามไว้
ตอนนี้อวี๋ชิวจิงเสนอให้ทุกคนได้เห็นทั่วกันขึ้นมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าอวี๋ชิวจิงคิดอยากเอาชนะเฉินซีอยู่ตลอด
ส่วนสาเหตุที่คิดทำเช่นนี้ เล่ออู๋เหินก็พอเดาออก แต่เขาไม่คิดห้ามปราม เพราะแค่ประมือกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อีกทั้งตัวเขาเองก็สงสัยเรื่องการต่อสู้ของเฉินซีอยู่พอดี อยากจะเห็นมันเป็นขวัญตา
เฉินซีมุ่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน จากนั้นส่ายหน้า “เรากำลังจะเดินทางถึงแดนรากบรรพกาลกันแล้ว ค่อยไปประลองกับสหายเต๋าอวี๋ชิวตอนมีโอกาสหลังจากนั้นก็ยังไม่สาย”
คนผู้นี้เลี่ยงอีกแล้ว หรือว่ากลัวจะแพ้แล้วเสียหน้ากันนะ?
คนอื่นได้ยินก็ได้แต่รู้สึกรังเกียจภายในใจ ดูถูกการกระทำของเฉินซีที่ไม่กล้ารับคำท้า เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นโดยอ้อมว่า ถึงพวกเขาจะยอมรับในฝีมือเฉินซี แต่ก็ยังคิดว่าไม่อาจเทียบอวี๋ชิวจิงได้
อย่างไรอวี๋ชิวจิงก็อยู่อันดับที่สิบห้าบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ คนที่มีพลังเช่นนี้เป็นดั่งตำนานสำหรับพวกเขา นอกจากเชินถูเยียนหรานกับเล่ออู๋เหินแล้ว อวี๋ชิวจิงก็เป็นผู้ที่แกร่งที่สุด
ทว่าอวี๋ชิวจิงกลับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเฉินซีปฏิเสธ จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงในขณะที่รู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ในใจ
“อะไรกัน? สหายเต๋าเฉินซีดูถูกข้าหรือ?” อวี๋ชิวจิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย
คิ้วคมของเฉินซีเลิกขึ้นสูง “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก”
“อย่างนั้นก็ขึ้นมาสู้กัน เลิกหนีได้แล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ใช่เพียงข้าจะดูถูกเจ้า ทุกคนเองก็จะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน” อวี๋ชิวจิงเอ่ยเสียงเรียบ
“เฉินซี พี่อวี๋ชิวพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว หรือว่าเจ้ายังคิดจะหนีอยู่อีก?”
“ใช่แล้ว หากเจ้าเป็นยอดฝีมือจริง เช่นนั้นก็กล้าหน่อยสิ เราอยู่กลุ่มเดียวกัน ถึงแพ้ก็ไม่ได้เสียหน้าอะไรมากนักหรอก!”
“หึ ดูท่าสหายเต๋าเฉินซีจะไม่ได้มองพวกเราเป็นมิตรเลยสินะ ไม่เช่นนั้นเขาจะทำเช่นนี้หรือ?”
ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็เอ่ยปากเช่นกัน เพราะอยากเห็นเฉินซีทำเรื่องน่าอาย ถึงขนาดวิจารณ์อย่างออกรสเพื่อบีบให้รับคำท้า
พอได้ยินแบบนี้เฉินซีก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเหมือนกัน คนพวกนี้ไม่รู้ดีชั่วเสียแล้ว! ที่ข้าอดกลั้นมาตลอดก็เพราะไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ที่มี แต่พวกนี้ได้คืบจะเอาศอก ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะอยากกดข้าให้ต่ำไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงต้องใช้วิธีน่ารังเกียจแบบนี้?
“เช่นนั้นก็ย่อมได้!” เฉินซีไม่เสียเวลา ร่างหายวับไป พริบตาต่อมาก็มาถึงบนสังเวียน นัยน์ตาสีดำลึกล้ำจ้องมองอวี๋ชิวจิงเขม็ง
………………..