บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1662 เก้ารอยกระบี่
บทที่ 1662 เก้ารอยกระบี่
………………..
บทที่ 1662 เก้ารอยกระบี่
ปราณกระบี่สายหนึ่งทะยานผ่านเวหา
มันไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย และยังไร้ปราณเจิดจรัส กดดันทรงพลังใด ๆ มันมีเพียงความสงบเงียบ สุดแทนธรรมดา
ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขาชำเลืองเห็นปราณกระบี่สายนี้ หัวใจของเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน และจวนอวี๋สุ่ยล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง รู้สึกหวาดผวาอย่างลึกล้ำ
มันเป็นความรู้สึกอันมิอาจบรรยายได้ ราวเมื่อกระบี่นั้นฟาดฟัน มันมิได้สั่นคลอนสวรรค์สั่นปฐพี แต่กลับสามารถชอนไชสู่หัวใจ ทลายจำนง สังหารดวงจิตแห่งเต๋าลงได้อย่างเงียบงัน!
นี่มันเต๋าแห่งกระบี่อะไรนี่?
ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นมันเลย เนื่องจากระดับความแข็งแกร่งต่ำเกินไป ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการออกกระบี่หนนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงไร
กระทั่งถึงขนาดที่เมื่อพวกเขาเห็นการออกกระบี่สุดแสนธรรมดานี้ พวกเขาอดเย้ยเยาะล้อเลียนในใจไม่ได้ ว่าเจ้านี่หมดลูกไม้จริง ๆ หรือ?
……
เรื่องทั้งหมดนี้ใช้เวลาอธิบายแสนนาน ทว่าแท้จริงกลับเกิดขึ้นในเฉียบพลัน เมื่อเฉินซีรวบนิ้วเป็นกระบี่ ฟาดฟันสร้างปราณกระบี่สุดแสนธรรมดาออกไป ทั้งแท่นก็เงียบกริบโดยทันที
แย่แล้ว! หัวใจของอวี๋ชิวจิงกระตุกวูบ สังหรณ์ร้ายพลุ่งพล่านแรงกล้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน
เขาหลบไปเบื้องหลังอย่างสุดกำลังโดยสัญชาตญาณ
วูบ!
อำนาจปราณจากดาบเก้าสะท้านฟ้าซึ่งบรรลุสภาวะสูงสุดถูกฟาดฟันแหลกเป็นสอง ดุจกิ่งหลิวถูกฟาดฟัน ดูอ่อนแอปวกเปียก
นี่ไม่ใช่การปะทะ จึงไม่เกิดเสียงสนั่นสะเทือนใด ๆ ในทางกลับกัน มันเหมือนหนึ่งใบหญ้าถูกคมมีดเด็ดเกี่ยวอย่างรวดเร็วแม่นยำ
หากมิใช่เพราะพวกเขาเห็นมันด้วยตา คงไม่อาจบรรยายได้แน่แท้ว่าเหตุการณ์นี้พิกลเพียงใด ไร้เสียงอึกทึกจากการปะทะ ไร้แสงสีพร่างพรมเจิดจรัส สรรพสิ่งดูแสนสะอาดสะอ้าน เฉียบขาด รวดเร็ว… และเยือกเย็น!
วูบ!
ท้ายที่สุด เสียงเหมือนผืนผ้าถูกฉีกก็ดังขึ้นบนแท่น กลับกลายเป็นสนามปราณกระบี่ซึ่งปกคลุมแท่นซึ่งถูกฉีกเป็นรอยร้าว
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นชวนสะพรึงเสียงหนึ่งกึกก้อง รัศมีศักดิ์สิทธิ์ระเบิดเป็นเสี่ยงกระเซ็นทั่วแท่น เสียงครืนโครมจากการระเบิดนั้นดุจอัสนีจากเก้าชั้นฟ้า ฉีกกระชากแก้วหู สะท้านถึงวิญญาณ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ศึกบนแท่นแปรเปลี่ยนจากความเงียบงันเช่นป่าช้ากลายเป็นปั่นป่วนพินาศพัง ดูประหนึ่งเป็นการพลิกตาลปัตรระหว่างความนิ่งงันและการเคลื่อนไหวอึกทึก ผลกระทบทางสายตาอย่างแรงกล้านั้นทำให้คนอื่น ๆ ต่างลืมหายใจ
มันน่าสะพรึงกลัวเกินไป!
ก่อนหน้านี้ ทุกคนรวมถึงเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน และจวนอวี๋สุ่ยคิดไปว่า แม้เฉินซีจะใช้กลวิธีออมกำลังเลี่ยงหลบ มันจะเท่ากับพาตนเองมาติดกับดัก ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเสียเปล่า เขาจึงไม่มีทางรับไม้ตายสูงสุดจากดาบเก้าสะท้านฟ้าของอวี๋ชิวจิงได้เลย
ผู้ใดล้วนไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์เช่นนี้!
ปราณกระบี่อันดูสุดแสนธรรมดาโผนทะยานดุจเพชฌฆาตผู้ช่ำชอง ฟาดฟันปราณของดาบเก้าสะท้านฟ้าแหลกกระจาย ทลายสนามปราณกระบี่ลงอย่างทรงพลัง!
หากไม่มาเห็นด้วยสองตาตน ก็คงเกือบคิดไปแล้วว่าประสาทหลอนเห็นภาพเพี้ยนไป
ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่? ไม่เลย เขาเดินขึ้นสู่เส้นทางแสวงมหาวิถีกระบี่แล้ว! สายตาของเล่ออู๋เหินร้อนรุ่มเรืองรอง
จวนอวี๋สุ่ยยังคงเงียบเชียบ ไร้ผู้ใดสังเกตเห็นว่ามือซึ่งกำแน่นผ่อนลงอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ อ้าปากค้าง ดวงตาแทบเด้งหลุดจากเบ้า เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเด็กนั่นจะเอาชนะดาบเก้าสะท้านฟ้าได้ง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร!?
ผลลัพธ์นี้เหมือนเป็นการตบหน้าจากมือที่มองไม่เห็น แรงเสียจนแสบร้อน ความคิดเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
ชั่วขณะนี้ แม้เฉินซีจะยังเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน แต่ภาพลักษณ์ในสายตาคนทั้งหลายได้เปลี่ยนไปในเฉียบพลัน เพิ่มบรรยากาศลึกลับเกินคาดหยั่งขึ้นมา
อวี๋ชิวจิงเป็นผู้ครองอันดับสิบห้าในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ และยังใช้ดาบเก้าสะท้านฟ้าซึ่งเป็นไม้ตายสูงสุดในศึกเมื่อครู่ ทว่าการออกกระบี่ส่ง ๆ ของเฉินซีกลับทำลายไม้ตายนี้ลง และยังสยบอีกฝ่ายอย่างราบคาบ แล้วอำนาจต่อสู้เช่นนี้จะใช้แค่คำว่า ‘น่ากลัว’ มาบรรยายได้หรือ?
“นั่นมันเต๋าแห่งกระบี่พรรค์ไหนกัน?” บนแท่นอันเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน เสียงอันปะปนด้วยความตกใจและโทสะของอวี๋ชิวจิงดังสนั่น ขณะนี้อาภรณ์ยังคงขาวสะอาด รูปลักษณ์ยังคงหล่อเหลา ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ในใจมีกระทั่งความผวาสะท้าน หากเขาไม่สังเกตเห็นอันตรายเคลื่อนใกล้และหลบเลี่ยงได้ทันเมื่อครู่ ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดาได้เลย
สีหน้าของเฉินซีเฉยชา ไม่ได้ตอบอวี๋ชิวจิง ทำเพียงประสานกำปั้นกล่าว “ขอบคุณที่ออมมือ”
ขณะเดียวกัน เขาก็หันกายเดินลงจากแท่น นับแต่ต้นจนบัดนี้ ทุกท่วงท่าดูเหมือนทำเรื่องสุดแสนธรรมดา ไม่โอหังถือตน ดูเฉยเมยสุดเยือกเย็นประหนึ่งผิวนทีในบ่อน้ำนิ่ง
ทว่าในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเคลือบแคลงในความแข็งแกร่งของเขาอีกแล้ว
“ช้าก่อน! การประมือยังไม่จบ เจ้าก็จะไปทั้งเช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้น อวี๋ชิวจิงก็ตะโกนเสียงเข้ม ร่างทะยานมาขวางไว้
เฉินซีขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องอวี๋ชิวจิงอย่างเงียบเชียบไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปาก “สหายเต๋าอวี๋ชิว เจ้าแพ้ไปแล้ว”
“ข้าแพ้?” อวี๋ชิวจิงไม่อาจควบคุมโทสะในใจได้ พลางแผดเสียงลั่น “แค่หนึ่งกระบวนท่า ข้าจะแพ้ได้อย่างไร? มิใช่ข้ายังยืนอยู่ที่นี่ ปลอดภัยไร้บาดแผลหรือ?”
โพละ!
ราวเป็นคำตอบ จู่ ๆ ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าอาภรณ์ที่สองขา สองเข่า ซี่โครงซ้ายขวา สองบ่า และหน้าอกของอวี๋ชิวจิงถูกฉีกขาด เศษอาภรณ์ปลิวไสวกลางเวหา เผยผิวเนื้อด้านใน
หากพินิจดี ๆ จะสังเกตได้ว่าจุดที่อาภรณ์ของเขาขาดแต่ละแห่งเหมือนถูกหนึ่งปราณกระบี่ฟาดฟันอย่างไร้เสียง
รวมทั้งสิ้นมีเก้าจุด หากคมกว่านี้แม้สักนิด ทุกคนก็คาดเดาได้ว่าขา เข่า ซี่โครง และไหล่ของอวี๋ชิวจิงคงถูกสะบั้น ขณะที่หัวใจคงถูกแทงเป็นรูแล้ว!
เพียงพริบตา ทั่วทิศก็เงียบสงัดดุจป่าช้า
ทุกคนจ้องนิ่งที่อวี๋ชิวจิง ขณะที่ในใจกระเพื่อมคลื่นรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ถึงขนาดที่… มีความสะพรึงกลัวเจือปนเล็กน้อย!
เพราะพวกเขาไม่สังเกตเห็นการปรากฏของรอยกระบี่เหล่านี้เลย!
เช่นนั้น ไม่ได้หมายความหรือว่าหากเฉินซีคิดสังหารจริง ๆ อวี๋ชิวจิงก็คงตายไปไม่รู้กี่หนแล้ว?
“นี่….” ความคิดของอวี๋ชิวจิงสั่นสะท้าน นิ่งงันเช่นต้องอัสนี เขาเบิกตากว้างมองผิวกายอันเปิดเปลือยของตน สีหน้านิ่งค้าง ขณะที่ร่างชะงักเกร็งกับที่
เขาพ่ายแล้ว!
ในที่สุด เขาก็ตระหนักในยามนี้เองว่าตนพ่ายแล้วราบคาบ!
ก่อนหน้านี้ เฉินซีไม่ได้หลบเพราะหวาดกลัว แต่กลับกัน เพราะจู่โจมเข้ามาแล้วอย่างไร้เสียง แต่น่าขันนักที่เขากลับไม่อาจสังเกตสิ่งใดตั้งแต่ต้นจนจบ ยังคงโจมตีด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง หยิ่งผยองมั่นใจ
จู่ ๆ ความรู้สึกอับอายอันแรงกล้าสุดขีดก็ผุดขึ้นในใจอวี๋ชิวจิง เขารู้สึกเหมือนตนเป็นคนโง่เง่า เพราะเฉินซีมองเขาเป็นตัวตลกมาตั้งแต่เริ่มประมือ!
“จ… เจ้า… เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” สีหน้าของอวี๋ชิวจิงแปรเปลี่ยนเกินคาดเดา เสียงแหบพร่าหนักอึ้ง
“ข้าเตือนเจ้าตั้งแต่เริ่มการประชันแล้ว เหตุผลที่เฉาเจินพ่ายไวนักเป็นเพราะความเลินเล่อ” เฉินซีพูดอย่างเยือกเย็น
หนนี้ เฉาเจินไม่มีโทสะแม้แต่น้อยยามเฉินซีเอ่ยนามตนต่อสาธารณะ หัวใจกลับเต็มไปด้วยความขื่นขม เพราะในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าพวกเรามิใช่ตัวตนในระดับเดียวกันเลย และความต่างชั้นระหว่างเราห่างไกลเกินไปนัก
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ทั่วทิศต่างอดรู้สึกหดหู่ในใจไม่ได้ เพราะการที่อวี๋ชิวจิงท้าทายเฉินซีซ้ำ ๆ แต่กลับพบผลลัพธ์เช่นนี้ค่อนข้างน่าสงสารจริงแท้
……
การประมือนี้จบลงที่นี่
อวี๋ชิวจิงดูเหมือนกลายเป็นคนละคนไปโดยสมบูรณ์ เงียบเชียบไม่พูดจา ทำเพียงดื่มสุราเงียบ ๆ และดูสงวนวาจานัก
ไม่มีผู้ใดรบกวนเขา เพราะต่างคนต่างตระหนักดีว่าหลังเผชิญเหตุสะเทือนใจเช่นนี้ อวี๋ชิวจิงต้องอารมณ์ร้ายสุด ๆ อยู่แน่นอน
ขณะเดียวกัน การประมือเมื่อครู่ทำให้พวกเขาทั้งหลายเปลี่ยนมุมมองต่อเฉินซี ไร้ผู้ใดกล้าเคลือบแคลงปฏิเสธเขาอีก
ถึงขนาดที่สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนที่มองมายังเจือความครั่นคร้ามเกรงขาม
“สุดยอดเลย! ยามนี้ข้ากระทั่งเริ่มสงสัยหน่อย ๆ แล้วว่าเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกับมารกระบี่หวังเจี้ยนเฉินเมื่อแปดพันปีก่อนหรือไม่” เล่ออู๋เหินฉีกยิ้ม ไม่ได้ซ่อนความชื่นชมในน้ำเสียงเลยสักนิด
“สหายเต๋าอู๋เหินชมเกินไปแล้ว” เฉินซีแย้มยิ้ม เขาไม่มีเจตนาสร้างความอับอายให้อวี๋ชิวจิงในการประมือเมื่อครู่ และใช้เพียงวิชาสะบั้นไร้ลักษณ์ทิ้งรอยกระบี่มากมายไว้บนอาภรณ์ของอวี๋ชิวจิงโดยไม่ทำให้คนบาดเจ็บมาแต่แรก จึงนับว่าไว้หน้าอวี๋ชิวจิงมากแล้ว น่าเสียดายที่อวี๋ชิวจิงไม่ได้สังเกตเห็นมันเลย
“ข้าสงสัยนักว่าระหว่างเจ้ากับคุณชายอู๋เหิน ผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน” เชินถูเยียนหรานกล่าวขึ้นจากด้านข้าง สายตาอ่อนโยนเรืองประกายเจิดจรัส
เล่ออู๋เหินหัวเราะแห้ง ๆ โดยพลัน แล้วจึงโบกมือกล่าว “เยียนหราน อย่าเอาข้าไปเทียบกับสหายเต๋าเฉินซีเลย เพราะข้าเทียบเขาไม่ได้สักนิด ในความคิดข้า อำนาจต่อสู้ของสหายเต๋าเฉินซีเพียงพอไปปะทะกับกงเหย่เจ๋อฟู เจียหนาน และกระทั่งลั่วฉ่าวหนงยังได้”
เชินถูเยียนหรานยิ้มแก้มปริ “นั่นไม่ยิ่งดีหรือ? มีสหายเต๋าเฉินซีช่วยเหลือ กลุ่มของเราก็จะยิ่งได้เปรียบยามประชันแย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิในภายหลังนะ”
“ฮ่า ๆ ๆ! เยียนหราน เจ้าพูดถูกจริง ๆ” เล่ออู๋เหินหัวเราะร่าอย่างเบิกบาน
ขณะเดียวกัน เฉินซีรับคำชมของพวกเขาไม่ได้เล็กน้อย เอ่ยขึ้นขณะยิ้มจืดเจื่อน “ข้าบอกพวกท่านทั้งสองแล้วว่าเมื่อครู่เป็นเพียงการประมือ ข้าแค่โชคดีเท่านั้นแหละ”
“เจ้านี่หนอ! ดีทุกเรื่อง เสียอย่างเดียวที่ถ่อมตัวเกินไป!” เล่ออู๋เหินแสร้งฉุนเฉียว ชี้มาที่เฉินซีก่อนจะระเบิดหัวเราะเฉียบพลัน “หรือเจ้าไม่รู้กัน? ถ่อมตัวเกินไปก็นับเป็นความหยิ่งผยองรูปแบบหนึ่ง”
เชินถูเยียนหรานเม้มปากขำคิก
เฉินซีพูดไม่ออกอย่างสมบูรณ์
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสุดคลุมเครือในใจ พวกเขาหลายคนกระทั่งรู้สึกแอบเสียดายที่ไม่อาจเปิดใจสร้างสัมพันธ์อันดีกับเฉินซี
ส่วนอวี๋ชิวจิง… เขาดื่มสุราอย่างหดหู่ เงียบเชียบมาตลอดทาง ราวไม่มีกะใจมาสนสิ่งใดรอบกาย
ขวับ!
ทันใดนั้น ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าพื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนน้อย ๆ แล้วน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณก็เร่งความเร็วประหนึ่งเพิ่งหลุดจากหล่นโคลน
“ฮ่า ๆ! ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว!” เล่ออู๋เหินผงะไป ก่อนจะเบนสายตามองโลกภายนอก แล้วเค้าความปรีดาก็ปรากฏบนใบหน้า จนอดระเบิดหัวเราะสาแก่ใจอย่างช่วยไม่ได้
………………..