บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน
บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน
ทุกคนหันมองตามสายตาของเล่ออู๋เหินไป แล้วกำลังใจก็พุ่งสูง ตื่นเต้นกันขึ้นมา
นอกน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณไม่ใช่ม่านหมอกสีเทาทึบอีกแล้ว ปราณหมานกู่วิเวกซึ่งปกคลุมน้ำเต้าจางตัวลง ทัศนวิสัยของพวกเขาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
ถึงขนาดที่สามารถเห็นวิหารอันเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ!
วูบ!
จู่ ๆ น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณก็หยุดเคลื่อนไหว
“โชคดีที่เราไม่ได้มาสาย ประตูวิหารรากบรรพชนยังไม่ถูกเปิด” เล่ออู๋เหินแย้มยิ้ม นำพวกเขาทั้งหมดออกมาจากน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณ
ขณะเดียวกัน ทุกคนล้วนสังเกตชัดเจนว่ามีพื้นที่โล่งว่างเปล่าห้อมล้อมพวกตนไว้อย่างไพศาล รอบทิศเต็มไปด้วยปราณหมานกู่วิเวกเทาทึบ มีเพียงหนึ่งวิหารตั้งตระหง่าน ณ ใจกลาง
วิหารนั้นเก่าแก่ยิ่งและปกคลุมด้วยตะไคร่ สภาพค่อนข้างทรุดโทรมย่ำแย่ มันตั้งอยู่ที่นี่มานานจนไม่อาจนับ เหมือนจะประสบกับการผันผ่านของเวลาหลายต่อหลายปี
“นั่นคือทางเข้าวิหารรากบรรพชน ลือกันว่าวิหารรากบรรพชนนี้เกิดจากในความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ ลึกลับเกินคาดหยั่ง นับแต่บรรพกาลจวบยามนี้ มันดึงดูดยอดฝีมือมากมายมาเยี่ยมเยือน” เล่ออู๋เหินทอดถอนใจ แล้วจึงนำคนที่เหลือออกเดิน “มาเถิด หากข้าเข้าใจไม่ผิด อีกไม่นาน ทวารบาลของวิหารก็น่าจะปรากฏตัวแล้ว….”
ทวารบาลของวิหาร? คิ้วเฉียงของเฉินซีเลิกขึ้น เผยสีหน้าครุ่นคิด
เขาได้ยินมาว่า นับแต่วันที่วิหารรากบรรพชนมีตัวตน ก็มีทวารบาลพิทักษ์วิหารอยู่เสมอ ไร้ผู้ใดทราบที่มา และไม่ทราบเช่นกันว่าทวารบาลนั้นอยู่มานานเพียงไร ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
หากผู้ใดคิดเข้าไปในวิหารรากบรรพชนก็ต้องผ่านบททดสอบของทวารบาล หากไม่ ต่อให้มาถึง ก็มีแต่ต้องกลับไปมือเปล่า
ฟ้าดินไร้ขอบเขต ที่ราบอันเปิดกว้างเงียบสงัด รอบข้างเต็มไปด้วยปราณหมานกู่วิเวกเทาทึบ บรรยากาศดูสุดแสนเงียบสงัดวังเวง
การเหาะเหินในบริเวณนี้ก็เหมือนหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นแห่งยุคหม่านกู่ ทำให้ในใจบังเกิดความรู้สึกเคารพให้เกียรติอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงหน้าวิหารรากบรรพชน
เมื่อมองมาจากระยะใกล้ วิหารแห่งนี้ยิ่งดูสูงส่งเก่าแก่กว่าเก่า มันสร้างขึ้นจากหินปูนธรรมดาทั้งหลัง แต่กลับให้บรรยากาศเก่าแก่หนักอึ้งชวนให้ใจเต้นกระตุก
ที่หน้าวิหารมีประตูสองบานซึ่งโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ประตูทางซ้ายมือเขียนคำว่า ‘生’ อันหมายถึงชีวิต อักขระนี้แดงก่ำเหมือนจุ่มลงในบ่อโลหิต เผยบรรยากาศลี้ลับน่าสะพรึงกลัว
หนึ่งคือชีวิต หนึ่งคือความตาย สองอักขระโบราณสลักไว้บนประตูสองบาน ประกอบกับบรรยากาศเก่าแก่ของวิหาร จึงกระทบจิตใจผู้พบเห็นอย่างไม่อาจขยายความ
เหมือนประตูทั้งสองนี้นำสู่สองโลกอันแตกต่าง ชีวิตนิรันดร์หรือมรณะตัดสินได้เพียงหนึ่งคำนึง
สิ่งที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหนือสิ่งใดคือ ตรงกลางระหว่างประตูทั้งสองมีแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่งตั้งอยู่ พื้นผิวของมันด่างดำ เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา แต่ก็ดูไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ทว่าเมื่อแท่นบูชาสุดแสนธรรมดาเช่นนี้มาปรากฏระหว่างประตู ‘เป็น’ และ ‘ตาย’ หน้าวิหาร มันกลับดูสุดแสนผิดปกติ
ขณะนี้ บุคคลมากมายมารวมตัวกันหน้าวิหารรากบรรพชนแล้ว พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ กระจายกันไป ต่างฝ่ายไม่รบกวนกัน ทว่าพวกเขายืนเผชิญหน้ากันจากไกล ๆ ดังนั้นแม้บรรยากาศจะสงบเงียบ แต่กลับเผยบรรยากาศตึงเครียดประชันแข่ง
เมื่อกลุ่มของเฉินซีมาถึงภายใต้การนำของเล่ออู๋เหิน เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นทันที
“เล่ออู๋เหินจากเอกภพจักรวรรดิ!”
“ดูนั่นเร็ว เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิงกับจวนอวี๋สุ่ยก็อยู่ด้วย!”
“เหมือนพวกเขาจะจับกลุ่มกันนะ….”
“ทุกท่านระวังด้วย เราต้องไม่ไปล่วงเกินกลุ่มของเล่ออู๋เหินเด็ดขาด พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ห่างไกลเกินเราจะรับมือไหว”
ผู้คนหารือกันจอแจ สายตาส่วนใหญ่ที่มองมายังกลุ่มของเฉินซีเจือความกลัวและยำเกรง
แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วสายตาของพวกเขาอ้อยอิ่งอยู่ที่เล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ย ส่วนเฉินซีนั้น แทบไม่มีใครสนใจเขาเลย
จะให้ทำเช่นไรได้ เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่กระทั่งผู้ติดอันดับในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ จึงไม่มีทางเลยที่คนเหล่านี้จะทราบตัวตนของเขา
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในกลุ่มของเฉินซีสังเกตเห็น พวกเขาทุกคนต่างมองมาตาม ๆ กัน ก่อนจะยืดอกแสดงท่าทีภาคภูมิ เหมือนจะภาคภูมิผยองศักดากันอย่างยิ่ง
พวกเขาก็มีความสามารถพอให้ผยองจริง ๆ เพราะในหมู่กลุ่มพันธมิตรที่รายล้อม น้อยนักจะเทียบอำนาจกับกลุ่มของพวกเขาได้
ทันใดนั้น ฝูงชนก็แหวกทางให้กลุ่มของเฉินซี เล่ออู๋เหินเหมือนจะชินกับเรื่องนี้ และนำพวกเขาเดินมาถึงหน้าวิหารทันที
ตำแหน่งนี้ใกล้วิหารรากบรรพชนที่สุดแล้ว ขณะนี้ที่นี่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ยืนอยู่ค่อนข้างบางตา
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติมายึดทำเลยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้
เทียบกับตอนเข้ามาในมหาสมุทรสุสานเทวะ จำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งมาถึงที่นี่ได้นั้นน้อยกว่ากันมากอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงสามร้อยกว่าคนเท่านั้น
นอกจากนั้น หากเฉินซีเข้าใจไม่ผิด ผู้ที่ออกเดินทางจากเมืองเฟิงฉีมีถึงหลักพัน
สิ่งนี้หมายความว่า หลังเข้ามายังมหาสมุทรสุสานเทวะ มีผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มหนึ่งที่ไม่อาจมาถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ได้
และเช่นกัน หลังจากเข้ามายังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ผู้เยี่ยมยุทธ์อีกกลุ่มก็ไม่อาจข้ามแดนปีศาจโกลาหลสำเร็จ จึงย่อมไม่อาจมาถึงแดนดินอันปกคลุมด้วยปราณหมานกู่วิเวกจนถึงที่นี่ได้
อันที่จริง เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่หนนี้ตระหนักดีว่าพวกตนไม่อาจสู้แย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้ากับเหล่ามหาเทวาวิญญาณได้ และเมื่อต้องคำนึงถึงชีวิตตนเอง จึงไม่คิดแม้แต่จะมุ่งหน้ามายังแดนรากบรรพกาล
เพราะพวกเขาทราบขีดจำกัดของตนเอง จุดประสงค์จึงแสนง่าย นั่นคือมาแสวงโอกาสในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ที่ตนไขว่คว้าได้
เช่นในยามที่เฉินซีเพิ่งมาถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เขาก็ได้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อันหายากยิ่งสามต้นจากช่องศิลาบนหน้าผา
นี่หมายความว่าแค่โอกาสซึ่งกระจายทั่วซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ก็เพียงพอสนองความต้องการของผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นได้แล้ว
ขณะนี้ ผู้ที่สามารถมาถึงตรงหน้าวิหารรากบรรพชนได้ย่อมเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ และมหาเทวาวิญญาณในหมู่พวกเขาก็มีไม่ขาด
กล่าวคือ ผู้เยี่ยมยุทธ์สามร้อยกว่าคนตรงหน้านี้คือผู้อยู่ ณ จุดยอดสุดของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณจากเอกภพต่าง ๆ ในแดนเทพโบราณ ล้วนเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังไม่มาเพียงลำพัง ต่างคนร่วมมือจับกลุ่มกันเนิ่นนาน ดังนั้นเมื่อคนทั้งหลายเข้าไปในแดนรากบรรพกาล ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นคู่แข่งอันน่ากลัวสูงสุดของกลุ่มยามประชันแย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า
ถึงยามนั้น การขัดแย้งรุนแรงเข้มข้นก็ไม่มีทางเลี่ยงได้เลย
แน่นอน ด้วยอำนาจสูงส่งที่เฉินซีบรรลุในปัจจุบัน มีน้อยคนนักในเหล่าบุคคลรายล้อมที่สามารถทำให้เขาสนใจอย่างจริงจังได้
หืม? ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงเล็กน้อย เพราะเขาสังเกตเห็นหนึ่งบุคคลอันงดงามคุ้นตายืนอยู่ทางซ้ายมือ
นางสวมชุดกระโปรงสีดำ รูปกายผอมเพรียวสง่างาม ลักษณ์จิ้มลิ้มสงบเสงี่ยม ทั่วร่างให้บรรยากาศงามสง่า ปรากฏว่านางก็คือเจิ้นหลิวชิง
และผู้ที่อยู่ข้างกายนางย่อมไม่พ้นกงเหย่เจ๋อฟู เขามีรูปร่างสูง ตาสีม่วง ผมสีเงิน ผิวผุดผ่องดุจหยก สวมอาภรณ์ดำ เพียงยืนเฉย ๆ ก็ให้บรรยากาศคมกริบกดดันอย่างยิ่งโดยธรรมชาติ
ทั้งสองยืนเคียงข้างท่ามกลางผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มหนึ่งรายล้อม ดูประหนึ่งจันทราเฉิดฉายท่ามกลางหมู่ดาว ดูโดดเด่นอย่างยิ่ง
เฉินซีลอบถอนใจแล้วละสายตา
เจิ้นหลิวชิง…. เจินหลิวฉิง*[1] นางในยามนี้ไร้ใจไปแล้ว…. ช่างเถิด หากนางตัดสินใจลืมข้าแล้วจริง ๆ เช่นนั้นก็ปล่อยนางตามปรารถนาเถิด เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ แล้วส่ายหัว ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ
เขาไม่กล้าคิดถึงมันต่อไป เพราะกังวลว่าจะไม่อาจควบคุมอารมณ์แล้วพุ่งเข้าไปถามเจิ้นหลิวชิงอีกครั้ง ว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนี้
ทันใดนั้น เสียงแผ่วเบานุ่มนวลอันฟังดูเกียจคร้านก็ดังขึ้น “คุณหนูเยียนหราน ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าจะมาที่นี่เช่นกัน เป็นความประหลาดใจอันน่ายินดีสำหรับข้านิดหน่อยโดยแท้”
บรรยากาศเงียบสงัดลงทันที
สายตาทุกคู่หันตามกันไปหยุดที่บุคคลซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า คนผู้นี้ดูเฉื่อยชา เรือนผมดกดำเคลียบ่า รูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างยิ่ง เผยบรรยากาศชั่วร้ายทว่ามีเสน่ห์
โดยเฉพาะที่บ่าของเขามีสัตว์เทวะวิหคเพลิงสีแดงสดเกาะอยู่ มันงดงามเจิดจรัสและเย่อหยิ่งเกินใดเปรียบ
คนผู้นี้ก็คือลั่วฉ่าวหนง อันดับสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ตัวตนไร้เทียมทานในหมู่ชนรุ่นเยาว์จากตระกูลลั่วในเอกภพจักรวรรดิ ชื่อเสียงโด่งดังทั่วเอกภพจักรวรรดิ
เพราะอิทธิพลเช่นนั้น ยามลั่วฉ่าวหนงเอ่ยปาก จึงดึงความสนใจจากทั่วทิศได้ทันที
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสังเกตพบว่าลั่วฉ่าวหนงกำลังพูดกับเชินถูเยียนหราน มันกระทั่งทำให้ใครหลายคนตกตะลึง
เชินถูเยียนหรานเป็นหญิงงามผู้เลิศล้ำแห่งเอกภพจักรวรรดิ ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายถือนางเป็นสตรีที่หมายปอง
“หญิงผู้น้อยเช่นข้ามีความสามารถอะไร จึงทำให้พี่ฉ่าวหนงจำข้าได้เช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นเกียรติที่ทำให้ข้ารับไม่ไหว” เห็นได้ชัดว่าเชินถูเยียนหรานประหลาดใจเล็กน้อย นางชะงักไปครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสรื่นหูเช่นสายนที
ประกอบกับความงามไร้ผู้ใดเปรียบ จึงทำให้ดวงตาทุกคู่เรืองประกาย ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนกระทั่งมีความชื่นชมในสายตาอย่างไม่อาจอำพราง
“ฮ่า ๆ! เยียนหราน เจ้ารู้นิสัยข้า เหตุใดต้องเกรงใจ?” รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของลั่วฉ่าวหนง เขากล่าวพลางจ้องมองเชินถูเยียนหรานด้วยสายตารุ่มร้อน “เยียนหราน หากเจ้ามาร่วมมือกับข้า ข้ารับปากได้ว่าจะหารากเต๋าบรรพชนปฐมกาลให้เจ้าได้อย่างราบรื่น ส่วนรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิ ขอเพียงเจ้ารับปากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ข้าจะชิงมันมาให้เจ้าแน่นอน!”
ทุกคนพลันระเบิดเสียงอื้ออึง ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าลั่วฉ่าวหนงจะส่งคำเชิญเช่นนี้ให้เชินถูเยียนหรานอย่างโจ่งแจ้ง
ไม่สิ นี่ไม่ใช่คำเชิญแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่ามันไม่ต่างจากคำสารภาพรักเลย!
[1] เป็นการเล่นคำระหว่างชื่อเจิ้นหลิวชิง (甄流晴) กับเจินหลิวฉิง (真留情) ซึ่งแปลประมาณว่า ‘ปล่อยวางความรู้สึกแล้วโดยแท้จริง’
………………..