บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1664 ทวารบาลของวิหาร
บทที่ 1664 ทวารบาลของวิหาร
นอกจากรู้สึกตกใจแล้ว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
เพื่อประโยชน์ในการไล่ตามเชินถูเยียนหราน ลั่วฉ่าวหนงถึงขั้นเต็มใจที่จะยึดรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้ามาให้นาง จะมีสตรีกี่คนในโลกนี้ที่จะได้รับความโปรดปรานจากเขา?
บางทีอาจมีเพียงโฉมสะคราญไร้ผู้เปรียบอย่างเชินถูเยียนหรานเท่านั้น ที่สามารถได้รับการแสดงความรักจากเขา
เมื่อสตรีบางคนได้ยินสิ่งนี้ พวกนางก็รู้สึกอิจฉาริษยาเชินถูเยียนหรานเล็กน้อย เพราะหากพวกนางสามารถได้รับคำมั่นดังกล่าวจากตัวตนอย่างลั่วฉ่าวหนง ต่อให้จะต้องเป็นคนรับใช้หรือทาส พวกนางก็คงตอบรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้
เพราะแม้แต่พวกนางเองยังต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของตัวตน สถานะ หรือการบ่มเพาะ และชื่อเสียงล้วนด้อยกว่าเชินถูเยียนหรานมาก
นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เช่นเดียวกับสมาชิกในกลุ่มของเฉินซี พวกเขาต่างไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าลั่วฉ่าวหนงพยายามพาเชินถูเยียนหรานออกจากกลุ่มของพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา คนผู้นี้ไม่ผยองไปหน่อยเหรอ!?
หากเชินถูเยียนหรานจากไป ก็จะเท่ากับว่ากลุ่มของพวกเขาได้สูญเสียความช่วยเหลือจากมหาเทวาวิญญาณหนึ่งคน ซึ่งการสูญเสียเช่นนี้รุนแรงเกินจินตนาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ชมชอบเชินถูเยียนหรานจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อได้ยินวาจาของลั่วฉ่าวหนง ก็ไม่ต่างอะไรกับการพรากสตรีที่พวกเขาชมชอบไป
นี่คืออิทธิพลที่เกิดจากวาจาของลั่วฉ่าวหนงเพียงประโยคเดียว เห็นได้ชัดว่าอำนาจและอิทธิพลของเขายิ่งใหญ่เพียงใด
เล่ออู๋เหินขมวดคิ้ว และดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เนื่องจากลั่วฉ่าวหนงเป็นคนเชิญเชินถูเยียนหรานมาที่นี่ ในขณะที่เชินถูเยียนหรานไม่ใช่บริวารของเขา กล่าวอันใดไปตอนนี้ก็ดูจะไม่เหมาะสม
ริมฝีปากของอวี๋ชิวจิงกระตุกวูบ และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เชินถูเยียนหราน ราวกับกังวลว่านางจะตอบตกลง
ในทางกลับกัน เชินถูเยียนหรานได้กล่าวผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซี “สหายเต๋าเฉินซี เจ้าคิดว่าข้าควรตอบตกลงกับคำเชิญของเขาหรือไม่?”
เฉินซีเฝ้าดูจากด้านข้างอย่างเย็นชามาตลอด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ดังนั้นจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่ารู้สึกอย่างไร
แต่เมื่อได้ยินเชินถูเยียนหรานถามความคิดเห็นของตน ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นพลันหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวผ่านกระแสปราณกลับไป “ข้าไม่มีข้อเสนอแนะใด ๆ แม่นางเยียนหราน อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
เชินถูเยียนหรานยังคงเค้นถาม “แล้วถ้าข้าพาเจ้าไปรวมกลุ่มกับลั่วฉ่าวหนงล่ะ เจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่?”
เฉินซีขมวดคิ้ว “นั่นคงไม่เหมาะสมกระมัง?”
เฉินซีตกตะลึงทันที ฟังข้า? ข้ายังไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ แก่เจ้าเลยนะ
ทั้งสองคนต่างสนทนาผ่านกระแสปราณ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
มีเพียงเล่ออู๋เหินเท่านั้นที่สังเกตเห็นบางอย่าง และเหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกัน อวี๋ชิวจิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เชินถูเยียนหรานดูเหมือนจะสังเกตเห็นเช่นกัน เขาจึงขมวดคิ้วน้อย ๆ สีหน้าดูหมองคล้ำลง
“ขออภัย แต่ข้าจะไขว่คว้าสิ่งที่ข้าต้องการด้วยตัวเอง ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของพี่ฉ่าวหนง ขอบคุณท่าน” เชินถูเยียนหรานก็ยิ้มบาง และริมฝีปากสีแดงก็เผยอเล็กน้อย ขณะเอ่ยปฏิเสธอย่างมีไหวพริบ
เมื่อพวกเขาได้รับคำตอบที่ได้รับการยืนยันแล้ว เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เฉินซียังคงเฉยเมยต่อเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าเชินถูเยียนหรานจะเลือกอะไร มันก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาเลย ทั้งยังปฏิเสธที่จะยอมรับว่าการกระทำของเชินถูเยียนหรานเป็นเพราะข้อเสนอแนะของเขา
แต่เห็นได้ชัดว่าเล่ออู๋เหินและอวี๋ชิวจิงมีความเคลือบแคลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายแรกรู้สึกค่อนข้างซาบซึ้ง ในขณะที่ฝ่ายหลังรู้สึกเศร้าหมอง
เมื่อได้ยินว่าเชินถูเยียนหรานปฏิเสธ ไม่เพียงแต่ลั่วฉ่าวหนงจะไม่โกรธเคืองเท่านั้น เขายังแค่นหัวเราะและกล่าวว่า “เยียนหราน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งที่ข้าชื่นชมในตัวเจ้ามากที่สุด ไม่ต้องกังวล เมื่อเราเข้าสู่แดนรากบรรพกาลแล้ว เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากข้าได้เสมอ”
เชินถูเยียนหรานยิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก
ดวงตาของนางเป็นประกาย พลางชำเลืองมองเฉินซีที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่กลับพบว่าเฉินซียังคงมีท่าทีสงบและไม่แยแส ราวกับไม่สนใจสิ่งใด นางจึงอดกัดริมฝีปากแดงอวบอิ่มของตนไม่ได้ ก่อนจะกล่าวผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร “ดูเถิด ข้าได้ปฏิเสธของขวัญที่สวรรค์ประทานให้แล้ว ดังนั้นเมื่อเราเข้าสู่แดนรากบรรพกาล หากข้าประสบปัญหาเข้า เจ้าจะไม่เพิกเฉยต่อข้า”
เฉินซีสะดุ้งทันที วันนี้นางเป็นอะไร?
“อะไร? นี่เจ้าปฏิเสธหรือ?” เชินถูเยียนหรานกระเง้ากระงอด บีบเสียงเล็กให้ดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น พลางกะพริบตาถี่รัว หากเป็นคนอื่นที่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ คนคนนั้นคงจะรู้สึกตื้นตันใจกับและตอบตกลงโดยไม่คิดไปแล้ว
แต่เฉินซีกลับถอนหายใจและกล่าวว่า “แม่นางเยียนหราน ข้าไม่มีอารมณ์จะเย้าแหย่ตอนนี้”
เชินถูเยียนหรานพยักหน้า “ข้ารู้ อารมณ์ของเจ้าดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย หลังจากที่เจ้าเห็นแม่นางคนนั้น”
ขณะที่กล่าว นางก็ชำเลืองมองเจิ้นหลิวชิงที่ยืนอยู่ในระยะไกลอย่างไม่รู้ตัว
เฉินซีรู้สึกตะลึงในใจ สายตาช่างเฉียบแหลมจริง ๆ! นางสามารถสังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้!
“นางเป็นสตรีที่เจ้าชมชอบหรือ?” เชินถูเยียนหรานเอ่ยถามอย่างสงสัย
เชินถูเยียนหรานยิ้มแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากนั้นนางก็ไม่กล่าวอีกเลย
เมื่อเฉินซีและเชินถูเยียนหรานสนทนากัน พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ขณะนี้อวี๋ชิวจิงกำลังจ้องมองมา ความเศร้าหมอง ความอิจฉา และความเกลียดชังแวบขึ้นมาในแววตา
…
หลังจากที่กลุ่มของเฉินซีมาถึง ผู้เยี่ยมยุทธ์อีกหลายสิบคนก็เหินร่างเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนคนที่มาใหม่ก็น้อยลงเรื่อย ๆ
“ประตูจะเปิดเมื่อใดกัน? เรารออยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว เราต้องรออีกนานปานใด?”
“เร็ว ๆ นี้ ตามการคาดการณ์ของข้า ทวารบาลอาจปรากฏในอีกสองวันข้างหน้า ดังนั้นรออีกสักหน่อยเถอะ”
“พูดถึงทวารบาล ข้าสงสัยว่าเขาจะน่ากลัวอย่างตามข่าวลือหรือไม่?”
“เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ตั้งคำถามถึงความแข็งแกร่งของทวารบาล ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสว่า ตั้งแต่มีวิหารรากบรรพชน ทวารบาลคอยปกป้องสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด เผชิญกับคลื่นลมมรสุมมานับไม่ถ้วน แต่ยังคงปลอดภัย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจหยั่งถึงได้”
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป เมื่อทวารบาลยังไม่ปรากฏตัว บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกัน
“หลังจากที่ทวารบาลปรากฏตัว เราจะเลือกการทดสอบประตูชีวิต” ทันใดนั้น เล่ออู๋เหินก็จ้องมองไปที่ประตูสองบานที่ตั้งอยู่หน้าวิหารรากบรรพชนในระยะไกล ขณะที่กล่าวผ่านกระแสปราณกับคนในกลุ่ม
ทั้งหมดต่างพยักหน้า และไม่มีใครคัดค้านสักคน
เพราะตระหนักดีว่า เมื่อเล่ออู๋เหินเลือกการทดสอบนี้อย่างมั่นใจ เขาย่อมเตรียมการบางอย่างมาแล้ว
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สงสัยใคร่รู้ ดังนั้นจึงถามเชินถูเยียนหรานที่ยืนอยู่เคียงข้าง “มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับประตูทั้งสองบานนี้หรือ?”
เชินถูเยียนหรานชำเลืองมอง “เจ้าไม่โกรธแล้วหรือ?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่านางกำลังพูดถึงช่วงเวลาที่นางกล่าวถึงเจิ้นหลิวชิงก่อนหน้านี้ “ข้าดูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยหรือ?”
เชินถูเยียนหรานทัดผมไว้ที่หลังใบหู แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดีที่เจ้าไม่โกรรธแล้ว ตอนนั้น เจ้าดูน่ากลัวมาก มันทำให้หวาดกลัวจริง ๆ”
เฉินซีถอนหายใจ “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น หากคนอื่นรู้ว่าข้าทำให้เจ้าหวาดกลัว พวกเขาคงถลกหนังข้าทั้งเป็นอย่างแน่นอน นายน้อยลั่วฉ่าวหนงจะเป็นคนแรกที่จะทุบตีข้า”
ตามคำบอกเล่าของเชินถูเยียนหราน หลังประตูแห่งชีวิต มีเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์ซึ่งทอดยาวไปเป็นระยะทางสองหมื่นสี่พันลี้ และเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยซากศพของเทพโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน
ความแข็งแกร่งของศพเหล่านี้ เทียบได้กับเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือจำนวนศพมีมากมายมหาศาล และเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์เลือกการทดสอบนี้ พวกเขาได้แต่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อเดินผ่านเส้นทางนี้ เมื่อนั้นที่พวกเขาจะถือว่าผ่านการทดสอบ
ในทางกลับกัน ประตูแห่งความตายก็มีเส้นทางอันยิ่งใหญ่ที่ทอดยาวถึงสองหมื่นเจ็ดพันลี้อยู่ด้านหลังเช่นเดียวกัน ทว่าเส้นทางนี้เป็นสิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ต้องค้นหาด้วยตนเอง
แม้จะไม่มีศัตรูอยู่ข้างใน แต่มันเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างไร้ที่สิ้นสุด มีพายุอวกาศ กระแสอวกาศที่วุ่นวาย รอยแยกมิติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ…. ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยจิตสังหาร หากใครก้าวผิดและไม่สามารถค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องได้ บุคคลนั้นก็จะถูกกำจัด!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประตูแห่งชีวิตหรือประตูแห่งความตาย แม้ว่าการทดสอบจะแตกต่างกัน แต่ระดับความอันตรายก็พอ ๆ กัน และแต่ละอย่างก็มีข้อดีของตัวเอง
“นั่นหมายความว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับศพของเทพโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลังประตูแห่งชีวิต?”
หลังจากที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมดนี้ เฉินซีก็ตกตะลึงในใจทันที การทดสอบนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่ายากและก็ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะความประมาทเพียงเล็กน้อย อาจจะทำให้ใครบางคนถูกกำจัดและไม่สามารถเข้าสู่แดนรากบรรพกาลได้อีกเลย
เฉินซีพยักหน้า และถอนหายใจยาวแรง เพียงเพื่อแสวงโชค ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายพันคนเต็มใจที่จะข้ามผ่านมหาสมุทรสุสานเทวะและเข้าสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ จากนั้นประสบปัญหาในการข้ามแดนปีศาจโกลาหล และพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยปราณหมานกู่วิเวกอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวกเขายังต้องเผชิญกับการทดสอบอีก
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การแสวงโชคในครั้งนี้ ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
นี่คือวิถีแห่งการบ่มเพาะ คนหนึ่งต่อสู้กับฟ้าดินเพื่อโชคลาภ เหมือนเรือหลายพันลำที่แล่นไปตามแม่น้ำทอดยาว การแข่งขันมีอยู่ทุกที่!
โอม!
ในขณะนี้ คลื่นพลังผันผวนที่แปลกประหลาดก็พัดออกมาจากวิหารรากบรรพชนราวกับคลื่นยักษ์ ในชั่วพริบตา มันทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบลง จากนั้นทุกคนก็จ้องมองไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง
มีแท่นบูชาหินปูนเก่าแก่ที่ธรรมดามากอยู่ที่นั่น ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างประตูแห่งชีวิตและความตาย
แต่ในขณะนี้ แสงอันบริสุทธิ์และดูลวงตาก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแท่นบูชา จากนั้นร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นที่นั่น…