บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1666 เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
บทที่ 1666 เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
………………..
บทที่ 1666 เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
ข้าจะไปกับเขา
เพียงประโยคเดียวที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนของเชินถูเยียนหรานก็ฟังดูไพเราะเสนาะหูเป็นยิ่งนัก ฟังดูเป็นธรรมชาติและสง่างามจนทำให้คนรอบข้างอึ้งไปแทบไม่อยากเชื่อหู
ยิ่งนางมีรูปลักษณ์งดงาม และมีดวงตาคล้ายดาราระยับสว่างใสอ่อนโยนดั่งสายน้ำเช่นนี้ เป็นความงามที่ไม่อาจหาที่ใดเปรียบ แต่ก็แผ่กลิ่นอายสง่างามออกมาเช่นกัน ทว่าตอนนี้นางกลับเอ่ยคำพูดอบอุ่นออกมา ทำให้คนทั้งหลายแทบคลั่งกันเลยทีเดียว
เชินถูเยียนหรานเป็นใครกัน?
นางเป็นโฉมงามที่ชายหนุ่มหลายคนในเอกภพจักรวรรดิชื่นชมอย่างถึงที่สุด ชาติกำเนิดสูงส่ง มีสติปัญญาเลิศล้ำ ถึงขนาดอยู่อันดับที่สิบสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
ขนาดยอดฝีมืออย่างลั่วฉ่าวหนงยังไม่คิดปิดบังความชื่นชมที่มีต่อนาง ถึงกับกล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้าสาธารณชน ทั้งยังยอมชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเพื่อนางด้วย แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังปฏิเสธ
แต่ตอนนี้ นางกลับ… เผยความรู้สึกให้ชายหนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้ พวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่?
เหตุใดคุณหนูเยียนหรานถึงไปอยู่กับเขาได้? บ้าเอ้ย! บัดซบจริง! ดวงใจของผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนแทบแตกสลาย อยากจะกินหัวเฉินซีไปเสียตอนนี้เลย
บางคนก็ริษยาหนัก นี่มันเป็นความรักสะท้านฟ้าเสียจริง! เด็กคนนี้กลับมาเด็ดบุปผางามอย่างเชินถูเยียนหรานไปเสียได้!
ผู้เยี่ยมยุทธ์หญิงบางคนก็สงสัย เชินถูเยียนหรานถึงขนาดปฏิเสธลั่วฉ่าวหนง แต่กลับมาชอบชายหนุ่มผู้นี้แทน เขา… เป็นใครกันแน่? เหตุใดถึงกุมหัวใจเชินถูเยียนหรานไว้ได้?
รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงอยู่ชั่วขณะเพราะประโยคเดียวจากเชินถูเยียนหราน เห็นได้ชัดว่านางมีเสน่ห์ขนาดไหน
แม้ว่าเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ จะรู้ที่มาของเฉินซี รู้ว่าเฉินซีกับเชินถูเยียนหรานเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่พอได้เห็นก็ยังอดชะงักไปไม่ได้
หรือเชินถูเยียนหรานจะทนเห็นกงเหย่เจ๋อฟูรังแกเฉินซีต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ แต่กลับกล้าแลกเช่นนั้น ไม่มากไปหน่อยหรือไร? ไม่ว่าเรื่องจะจริงหรือเท็จอย่างไร อย่างน้อยหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเอกภพจักรวรรดิแน่!
โดยเฉพาะอวี๋ชิวจิง เมื่อเห็นว่าเชินถูเยียนหรานกุมมือเฉินซีด้วยสายตาอ่อนโยน ไฟริษยาในใจก็แทบระเบิดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ใช่แล้ว เขาเองก็ชื่นชมเชินถูเยียนหราน ชื่นชมแบบลึกล้ำเสียด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเฉินซีกับเชินถูเยียนหรานยืนเคียงข้างกันในวันนั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่เขาจงใจต่อต้านเฉินซี มองอีกฝ่ายไม่ดีมาตลอด
แต่ตอนนี้ได้เห็นสตรีที่ตนหลงรักไปชื่นชมคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ไฟริษยาในใจอวี๋ชิวจิงจึงยิ่งทวีความรุนแรงเป็นเท่าตัว
แต่เป็นกงเหย่เจ๋อฟู เฉินซี และเชินถูเยียนหราน ไม่แน่ว่าอาจมีเจิ้นหลิวชิงด้วยก็เป็นได้
……
เมื่อเห็นว่าเชินถูเยียนหรานกุมมือเฉินซีและเอ่ยออกมาเช่นนั้น กงเหย่เจ๋อฟูก็ไม่ได้ตกใจ กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง
เขารู้จักเชินถูเยียนหรานมานาน ย่อมรู้ดีว่าเฉินซีไม่ใช่คนที่ชื่นชมเชินถูเยียนหรานมาก่อนแต่อย่างใด
ดังนั้นพอได้ยิน เขาจึงรู้สึกว่าเชินถูเยียนหรานเพียงแค่ใช้เฉินซีเป็นข้ออ้างปฏิเสธตนเท่านั้น
“เยียนหราน หากไม่อยากคุยกับข้าก็ตอบมาตามตรง เหตุใดต้องอ้างสหายเต๋าด้วย?” กงเหย่เจ๋อฟูยิ้มเหมือนเรื่องเหล่านี้ไม่กระทบสักนิด
“อ้างหรือ?” เชินถูเยียนหรานถอนหายใจแผ่วเบา นางจ้องเฉินซีด้วยดวงตาคล้ายดาราระยับ ก่อนกัดริมฝีปากสีผลอิงเถาด้วยความขมขื่น “ดูสิ พวกเขาไม่เชื่อเราด้วย”
น้ำเสียงนางกระเง้ากระงอด เหมือนภรรยาออดอ้อนสามีที่เพิ่งกลับมาพบกัน กำลังเอาอกเอาใจสามีอย่างไรก็อย่างนั้น
คนอื่น ๆ เคยได้เห็นเชินถูเยียนหรานเผยสีหน้าแบบนี้เมื่อไหร่กัน? พวกเขาจึงได้แต่นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
อวี๋ชิวจิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชังจนฟันแทบแตก
ตอนนี้หลังจากหายตกใจแล้ว ในใจก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
เขาย่อมรู้ดีว่าระหว่างเขากับเชินถูเยียนหรานไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ทั้งยังมั่นใจว่าเชินถูเยียนหรานทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเขาเอาคืนให้กงเหย่เจ๋อฟูรู้สึกอับอาย และเป็นการปฏิเสธคำเชิญของกงเหย่เจ๋อฟูด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีย่อมไม่คิดว่าเชินถูเยียนหรานชอบเขาเข้าจริง ๆ
แต่ในเมื่อเชินถูเยียนหรานทุ่มสุดตัวยอมแสดงให้ทุกคนเห็นเช่นนี้แล้ว เฉินซีก็ยินดีร่วมมือ เขาจึงไม่ได้พูดปฏิเสธอะไร
ดังนั้นเขาจึงยืนนิ่งและกุมมือหญิงสาวไว้เงียบ ๆ และฟังเชินถูเยียนหราน ‘แสดง’ ด้วยน้ำเสียงและใบหน้าอ่อนโยน
พอได้ยินว่าเชินถูเยียนหรานพูดอะไรออกมาเมื่อครู่ เฉินซีก็เอื้อมมือไปรั้งเอวบางเข้ามาเสียด้วย
มันดูเป็นธรรมชาติยิ่ง แต่เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าร่างงามของเชินถูเยียนหรานแข็งค้างไปจังหวะที่นิ้วเขาสัมผัสต้องกาย แต่จากนั้นนางก็ปล่อยไปตามนั้น ให้ความร่วมมือเอนร่างซบไหล่เฉินซี ก่อนชะงักไปเล็กน้อยอีกครั้ง
จึงทำให้เฉินซีรู้สึกขบขันอยู่ในใจ นี่กระมังสิ่งที่นางต้องยอมจ่ายเพื่อแลกกับการแสดงครั้งนี้?
จริง ๆ แล้วเฉินซีมองข้ามบางอย่างไป ด้วยฐานะอย่างเชินถูเยียนหราน มีหรือนางจะต้องยอมแลกเช่นนั้น? ทั้งยังกล้าล่วงเกินกงเหย่เจ๋อฟูด้วย?
และถึงไม่ต้องเอ่ยเรื่องฐานะ ด้วยชื่อเสียงและพลังบ่มเพาะของเชินถูเยียนหราน เหตุใดต้องมาทำเป็นแสดงเรื่องแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จัก?
เมื่อเห็นว่าเฉินซีโอบเอวเชินถูเยียนหรานไว้ ทั้งฝ่ายหญิงก็ดูดีใจทั้งยังสะเทิ้นอาย กงเหย่เจ๋อฟูก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาทันใด
หากจำไม่ผิด เชินถูเยียนหรานก็ไม่เคยใกล้ชิดกับชายคนไหนมาก่อนตั้งแต่นางเริ่มบ่มเพาะพลังมาเลย!
เมื่อคนอื่น ๆ เห็นดังนั้น พวกเขาก็ตกตะลึงยิ่ง ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสงสัย แต่พอเห็นดังนั้นความสงสัยที่เคยมีก็สลายหายไป
“ฮ่า ๆ! ไม่เลวเลย! ไม่เลว!” นัยน์ตาสีม่วงของกงเหย่เจ๋อฟูเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก เขามองเฉินซีนิ่งก่อนหันหลังจากไปพร้อมกับเจิ้นหลิวชิง
“ดูเหมือนพวกเราจะทำให้นายน้อยเจ๋อฟูไม่พอใจเสียแล้ว” เชินถูเยียนหรานเอ่ยเสียงเบา
“ดูท่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉินซีว่า
เฉินซีไม่รู้สึกยินดีเลย เพราะตั้งแต่ต้น เจิ้นหลิวชิงยังคงนิ่งเงียบราวกับว่านางไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้สักนิด
ทว่าพอเห็นว่ากงเหย่เจ๋อฟูเดินจากไปแล้ว คนรอบข้างก็รู้สึกซับซ้อนในหัวใจ ไม่มีใครคิดว่าคนที่กงเหย่เจ๋อฟูข่มขู่ดูถูกไว้ คนที่เขามองต่ำ จะกลายเป็นคนที่เชินถูเยียนหรานให้ค่ามาโดยตลอด
เรื่องทั้งหลายล้วนไม่อาจคาดการณ์ได้! ทุกคนได้แต่ถอนใจ
หลายคนรู้สึกขุ่นเคืองใจ
“ไอ้หยา อิจฉาเด็กนี่จริง ชนะใจคุณหนูเยียนหรานได้ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
บางคนก็อิจฉาเขามาก
อีกสิ่งที่ทำให้คนอื่นแทบคลั่งคือ หลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์หญิงเห็นดังนี้ ก็ทำให้เกิดความสงสัยและสนใจเฉินซีขึ้นมา….
เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ เองก็มีความรู้สึกซับซ้อนเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าหลังจากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ผ่านไป เฉินซีกลับได้ประโยชน์มากหลายเพราะเชินถูเยียนหราน พวกเขาพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดหรือพูดอย่างไร เฉินซีก็ปล่อยมือที่โอบเอวบางเชินถูเยียนหรานออก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย”
“เจ้า… คิดว่าข้าแค่แสดงหรือ?” เชินถูเยียนหรานเผยสายตาขมขื่น น้ำเสียงดูเสียใจอยู่เล็กน้อย
เฉินซีชะงักไป นางคงไม่ได้แสดงจริงจังเกินไปใช่หรือไม่?
จากนั้นเขาก็เห็นเชินถูเยียนหรานระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดวงตาคล้ายดาราระยับเผยแววซุกซนพึงพอใจออกมา
เฉินซีจึงได้แต่ส่ายหน้า หลังจากได้สนิทกับเชินถูเยียนหรานแล้ว ก็รู้เลยว่าถึงนางจะเป็นโฉมสะคราญคนหนึ่ง แต่ก็เดาใจได้ยากทีเดียว บางครั้งก็ดูสูงส่งเรียบร้อย บางครั้งก็ขี้เล่นมีชีวิตชีวา เวลาโกรธก็ยังงดงาม เวลาเศร้าก็ยังดูอ่อนโยนน่าสงสาร มีอารมณ์หลากหลายทีเดียว
“เฉินซี!” ทันใดนั้น อวี๋ชิวจิงก็เดินออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นทันที เขาต้องการอะไรอีก?
เชินถูเยียนหรานก็เก็บรอยยิ้มไปเช่นกัน เค้าความสง่างามยามปกติกลับคืน
“ตอนเจ้าตกลงร่วมกลุ่มกับเรา เหตุใดจึงไม่บอกว่ามีปัญหากับกงเหย่เจ๋อฟู?” อวี๋ชิวจิงเอ่ยถถามเสียงต่ำถาม
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงมองมาทันใด
“เรื่องนี้เหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้านี่?” เฉินซีหรี่ตา ครั้งก่อนพลาดไป ยังไม่เลิกรากันอีกหรือ?
“แต่เจ้าต้องรู้ว่าตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้ว หากเกิดเพราะเจ้าในแดนรากบรรพกาล แล้วลากพวกเราเกี่ยวเข้าไปด้วย พวกเราจะทำอย่างไรเล่า?” อวี๋ชิวจิงถามกดดัน
“แล้วเจ้าว่าเราควรทำอย่างไร?” เฉินซีตอบคำถามด้วยคำถาม
อวี๋ชิวจิงชะงักไป เขาอ้าปากแต่กลับไร้คำตอบ เตะเฉินซีออกจากกลุ่มนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเล่ออู๋เหินกับเชินถูเยียนหรานต้องคัดค้านแน่
ถึงไม่เห็นด้วยอย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือต่อสู้ของเฉินซีนั้นแกร่งมาก สามารถเป็นตัวหลักให้กับกลุ่มพวกเขาได้
แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยเรื่องไปเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ถึงเราจะเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว แต่หากเป็นความแค้นส่วนตัวของเจ้า ก็ขอให้จัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน เราไม่มีหน้าที่ยื่นมือเข้าช่วยหรอกนะ”
เฉินซีเอ่ยยิ้ม ๆ “แน่นอนอยู่แล้ว มีคำถามอื่นอีกหรือไม่?”
อวี๋ชิวจิงกัดฟันด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าเฉินซียังคงสีหน้านิ่งไว้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ถลึงตาใส่ ก่อนจะหันหลังจากไปเหมือนไม่อยากยุ่งกับเฉินซีอีก
อย่างที่เขาว่า เวลาเปลี่ยน สถานการณ์ก็เปลี่ยน
เฉินซีพิสูจน์ฝีมือแล้ว กลายเป็นสมาชิกสำคัญภายในกลุ่ม ดังนั้นถึงแม้อวี๋ชิวจิงอยากหาเรื่องแค่ไหน แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนในอดีตแล้ว
………………..