บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1667 ถูกตบหน้าอีกครั้ง
บทที่ 1667 ถูกตบหน้าอีกครั้ง
ความวุ่นวายเล็กน้อยระหว่างเฉินซีกับกงเหย่เจ๋อฟูมาถึงจุดสิ้นสุด ไม่ว่าทุกคนจะคิดเห็นอย่างไร ไม่ว่าอวี๋ชิวจิงจะไม่พอใจและขุ่นเคืองแค่ไหน แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ทุกคนจะจดจำชื่อของเฉินซีได้แล้ว
สี่ชั่วยามต่อมา
วิ้ง ~
คลื่นความผันผวนกระจายออกจากประตูที่มีตัวอักษรสีแดงโลหิต ‘生’ ถูกประทับเอาไว้ จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
ในตอนนี้ ชายชรานั่งขัดสมาธิบนแท่นบูชาโบราณคล้ายกับตื่นขึ้นจากห้วงนิทราก่อนจะลืมตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์
“คนต่อไป” เขาเอ่ยคำด้วยความกระชับและตรงประเด็น
ทุกคนตกตะลึง ในที่สุดก็ยืนยันได้ว่าพวกลั่วเฉ่าหนงผ่านการทดสอบในประตูแห่งชีวิตนั่นได้ภายในสี่ชั่วยาม
“ไปกันเถอะ!”
เล่ออู๋เหินเตรียมตัวพร้อม เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็พาพวกเฉินซีไปรับการทดสอบจากประตูแห่งชีวิต
เป็นกงเหย่เจ๋อฟู เขานำกลุ่มคนมา เพื่อรับการทดสอบ เขาไม่แม้แต่กล่าวทักทายชายชรา แต่ก้าวเข้าไปประตูแห่งชีวิตทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ เล่ออู๋เหินส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะถอนหายใจ “พวกเราทำได้แค่รอโอกาสครั้งต่อไปเท่านั้น”
คนอื่นพากันเดือดดาลเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
วิ้ง ~ ~
ในตอนนี้ คลื่นแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในประตูแห่งความตายซึ่งอยู่ด้านข้าง ทำให้ทุกคนตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาได้ข้อสรุปทันทีว่าเจียหนานผ่านการทดสอบแล้วเช่นกัน!
แน่นอนว่าชายชราผู้นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชาเอ่ยคำอีกครั้ง “คนต่อไป”
ทุกคนลังเลชั่วขณะ
พวกเฉินซีตัดสินใจที่จะเลือกทดสอบประตูแห่งชีวิตแล้ว พวกเขาไม่คิดเปลี่ยนใจ
ทว่าไม่ช้าก็มีกลุ่มคนลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าสู่ประตูแห่งความตาย
“อย่าหงุดหงิดไปเลย ไม่มีใครกล้ามาแย่งพวกเราหลังจากนี้หรอก” เล่ออู๋เหินชำเลืองมองรอบข้าง จากนั้นจึงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยคำออกมา
คนอื่นพยักหน้า พวกเขาเข้าใจว่านอกจากลั่วเฉ่าหนงกับเจียหนานที่ผ่านการทดสอบแล้ว ก็ไม่มีกองกำลังอื่นที่สามารถแข่งกับกลุ่มพวกเขาได้อีก
หากใครกล้ามาหาเรื่องอีก เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่คิดมากที่จะสั่งสอนอีกฝ่าย แน่นอนว่าโอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นถือว่าน้อยมาก
ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนโง่อยู่ที่นี่ พวกเขารู้ถึงความร้ายแรงของผลลัพธ์จากการมาทะเลาะกับพวกเล่ออู๋เหิน
ผ่านไปสักพัก คลื่นแปลกประหลาดก็มาจากประตูแห่งความตาย ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ตกตะลึง ไวขนาดนั้นเชียว?
แต่หลังจากนั้น พวกเขาเห็นเจ็ดถึงแปดร่างถูกโยนออกมาจากประตูแห่งความตาย ก่อนจะกระแทกกับพื้น
ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้มีสีหน้าหวาดกลัวราวกับเผชิญกับบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึง
“ถูกคัดออก”
ชายชราเอ่ยคำอย่างสงบ แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวจากอีกฝ่าย กลิ่นอายหมานกู่อันคลุมเครือพลันปลดปล่อยออกมาจากแท่นบูชา ก่อนจะปกคลุมพวกเขาในทันที
“ไม่!”
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสโปรดเมตตาด้วย ข้าเต็มใจที่จะลองอีกครั้ง โปรดให้โอกาสพวกข้าอีกครั้ง!”
แต่เพียงชั่วพริบตา คนทั้งหมดก็ถูกเคลื่อนย้ายก่อนจะหายไปไปในอากาศธาตุ เหลือไว้เพียงเสียงก้องกังวาน
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัวก่อนจะเพิ่มความระมัดระวัง ทุกคนทราบดีว่าหลังจากถูกคัดออกก็จะถูกขับออกจากซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ไม่สามารถย่างเท้ากลับมาได้อีก!
บรรยากาศกลับมาเงียบสงบมากขึ้นและรู้สึกหดหู่โดยไม่ทราบสาเหตุ
ราวกับทุกคนบังเกิดความเข้าใจร่วมกัน ทำให้ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครกล้าเลือกที่จะทดสอบประตูแห่งความตายอีก
ไม่นานหลังจากนั้น ความผันผวนแปลกประหลาดมาจากประตูบานนั้น แต่โชคดีที่ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดถูกคัดออกในรอบนี้
มันหมายความว่าพวกกงเหย่เจ๋อฟูผ่านการทดสอบจนไปถึงแดนรากบรรพกาลแล้ว
“คนต่อไป” ชายชราเอ่ยคำ
ก่อนจะทันสิ้นเสียง เล่ออู๋เหินก็พุ่งออกไปพร้อมกับพวกเฉินซี ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นคล้ายกับทราบว่าไม่มีทางไปแข่งกับพวกเขาได้ ทำให้ครั้งนี้ไม่มีใครออกมาหาเรื่องอีก
แต่ในตอนนี้ ชายชราบนแท่นบูชาคล้ายกลับสังเกตเห็นบางอย่าง เขาจึงส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ยคำ “รอเดี๋ยว!”
สิ้นเสียง ประตูแห่งชีวิตก็ปิดลงไม่ให้พวกเล่ออู๋เหินเข้าไป
“ผู้อาวุโส นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” เล่ออู๋เหินคิ้วขมวดพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เฉินซี เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง จวนอี๋ฉุ่ย และคนอื่นสับสนเช่นกัน
ชายชราไม่ตอบ ดวงตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ปราศจากความสงบ แต่มันเต็มไปด้วยประกายลึกล้ำอันน่าสะพรึง ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ทุกคนอึดอัดจนหายใจไม่ออก สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้คล้ายกับกำลังเผชิญต่อทวยเทพหมานกู่ผู้ตื่นขึ้นจากกาลเวลาอันยาวนานจนทำเอาหัวใจหยุดเต้น
ในตอนนี้ แม้กระทั่งพวกเล่ออู๋เหินก็รู้สึกเย็นเยือกอยู่ข้างในประหนึ่งมีแรงกดดันมหาศาลกดทับลงมา มันเกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าทวารบาลของวิหารพยายามป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าแดนรากบรรพกาล?
ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้ สายตาของชายชรากวาดมองมาทางเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหรานและพวกอวี๋ชิวจิงทีละคน…
ในที่สุด สายตาก็มาหยุดอยู่ที่เฉินซี
ในตอนนี้ ทุกคนก็มองเห็นแสงสว่างอันน่าสะพรึงปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา คล้ายถูกทิ่มแทงสายตาจนไม่อาจมอง
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจสลัดความตกตะลึงในใจได้ เพราะพวกเขาตัดสินได้ระดับหนึ่งว่าที่ทวารบาลของวิหารทำทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะข้องเกี่ยวกับเฉินซี!
ไม่มีใครทราบคำตอบ
เฉินซีผู้ถูกชายชราจับจ้องรับรู้ได้ถึงพลังกดดันที่ชวนให้อึดอัด ทำให้ทั่วร่างแข็งทื่อจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ภายใน ชายชราผู้นี้กำลังจะทำอะไรกันแน่?
โชคดีที่เพียงพริบตา ประกายในดวงตาของชายชราก็จางหาย เขากลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง แต่มันให้ความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
“สหายน้อย มาตรงนี้หน่อย” ชายชราเอ่ยคำด้วยเสียงแหบพร่าขณะกวักมือเรียกเฉินซี
เป็นเพราะเขาจริงด้วย!
ทุกคนตกตะลึง พวกเขามั่นใจแล้วว่าเฉินซีคือสาเหตุที่ทวารบาลของวิหารกันไม่ให้พวกเล่ออู๋เหินเข้าประตูแห่งชีวิต!
หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกับชายผู้นี้?
“คุณชายอู๋เหิน แม่นางเยียนหราน พวกท่านน่าจะเห็นเต็มสองตาแล้ว ข้าบอกแล้วว่าจะต้องมีปัญหากับภูมิหลังของเฉินซี เป็นเพราะตัวตนของเขาที่ทำให้พวกเราไม่สามารถเข้ารับการทดสอบกับประตูแห่งชีวิตได้”
ใบหน้าหมองหม่นของอวี๋ชิวจิงขณะส่งกระแสปราณหาคนอื่นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“อย่าเพิ่งด่วนสรุป เจ้าพูดแบบนี้มันดูไม่สุภาพเท่าใดนัก” เชินถูเยียนหรานคิ้วขมวดขณะมองอวี๋ชิวจิง
“รอดูกันก่อนเถอะ” เล่ออู๋เหินเอ่ยคำจากด้านข้าง
“เหอะ ถ้าเฉินซีคนนี้เป็นตัวปัญหาจริง พวกข้าจะไม่ยอมเป็นร่วมกลุ่มกับเขา!” อวี๋ชิวจิงพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
“ใช่ สิ่งที่พี่ใหญ่อวี๋ชิวพูดถูกต้องที่สุด หากไม่มีเฉินซี พวกเราก็คงได้เข้าแดนรากบรรพกาลไปแล้ว” ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายต่างเอ่ยคำคนแล้วคนเล่า
เชินถูเยียนหรานรู้สึกเดือดดาลอยู่ภายในนางกำลังจะเอ่ยคำบางอย่าง แต่ก็ถูกเล่ออู๋เหินห้ามเอาไว้ “อย่าหงุดหงิดไป ข้าเชื่อว่าเฉินซีจะไม่เป็นไร”
…
หลังจากถูกชายชราเรียก ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปที่แท่นบูชาก่อนจะประสานมือ “ผู้อาวุโสมีอะไรกับข้าหรือ?”
ในเวลาเดียวกัน เขาตื่นตัวและเตรียมที่จะโต้กลับทันทีหากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
แม้จะไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายชรากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ต้องเตรียมตัวเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้
ชายชราไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขาเพียงชำเลืองมองเฉินซีอย่างละเอียด สีหน้ามากด้วยปัญญาและประสบการณ์ยิ่งตึงเครียดราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้เกิดอารมณ์ไร้ที่สิ้นสุดอยู่ภายใน
ไม่มีใครเอ่ยคำ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องเฉินซีราวกับกำลังสงสัยว่าทวารบาลของวิหารจะทำอะไรต่อไป
แต่ท้ายที่สุด ชายชราก็ไม่ทำอะไร เขาเพียงเบือนสายตาไปจับจ้องพวกเล่ออู๋เหิน จากนั้นถามเฉินซี “สหายน้อย พวกเขาคือสหายของเจ้างั้นหรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง อวี๋ชิวจิงอดไม่ได้ที่จะตะโกน “ไม่…” แต่ทันทีที่เขาตะโกนได้หนึ่งคำก็ถูกเล่ออู๋เหินห้ามปราม “หุบปาก!”
ตอนนี้เล่ออู๋เหินปราศจากรอยยิ้มไร้กังวลและเฉยชาเหมือนดังเดิมอีกต่อไป สีหน้าเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยพลังมหาศาลที่ถึงกับทำให้หัวใจของอวี๋ชิวจิงสั่นสะท้านจนไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นที่อยู่ใกล้อวี๋ชิวจิงเดิมอยากพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทีของเล่ออู๋เหิน พวกเขาล้วนพากันปิดปากเงียบสนิท
แม้เฉินซีจะเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว แต่สีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่”
ชายชรามองเฉินซี จากนั้นมองอวี๋ชิวจิงผู้ทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่ไกลลิบ รอยยิ้มมีนัยที่หาได้ยากก็ปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น
แต่ท้ายที่สุด เขาไม่เอ่ยอะไรก่อนจะโบกมือ “พวกเจ้าไม่ต้องรับการทดสอบหรอก แค่เข้าไปก็พอ”
ตอนได้ยินประโยคครึ่งแรก ทุกคนต่างตกตะลึง แม้กระทั่งเล่ออู๋เหินกับเชินถูเยียนหรานก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอยู่ภายใน
ไม่ต้องรับการทดสอบ แค่เข้าไปแดนรากบรรพกาลได้เลยงั้นหรือ!?
ไม่เพียงแค่คนอื่นเท่านั้น เฉินซีก็อดตกตะลึงไม่ได้
ตู้ม!
ทันใดนั้น ประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังแท่นบูชาระหว่างประตูแห่งชีวิตและความตาย มันเต็มไปด้วยประกายแสงสว่างจนดูลึกล้ำยิ่ง
ทุกคนตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะมีประตูบานที่สามปรากฏขึ้น หรือมันคือประตูมุ่งสู่แดนรากบรรพกาลหลังจากผ่านการทดสอบแล้ว?
“หากยังไม่เข้าไป ประตูนี้จะปิดทันที” ชายชรามองเฉินซีผู้ยังสับสนเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยเตือนอีกฝ่าย
ในตอนนี้ ทุกคนยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ชายชราเอ่ยเป็นความจริง เฉินซีคนนั้นกับกลุ่มของเขาสามารถไปถึงแดนรากบรรพกาลได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ!
“ปะ… เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?”
อวี๋ชิวจิงรู้สึกเหมือนกับถูกมือที่มองไม่เห็นฟาดที่หน้าอย่างแรง ทำให้ทั่วร่างสั่นสะท้าน ยืนโซเซไปมาอยู่ตรงนั้น