บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1669 รูปลักษณ์แท้จริงของรากเต๋า
บทที่ 1669 รูปลักษณ์แท้จริงของรากเต๋า
ขณะพูดคุย กลุ่มของพวกเขาก็มาอยู่ตรงหน้ารากเต๋าบรรพชนแห่งนั้น
มันเป็นหุบผาอันเว้าตัวยุบ ที่กลางหุบผาปกคลุมด้วยศิลา ขณะเดียวกัน ลำแสงสีเขียวมรกตนั้นก็พุ่งออกมาจากท่ามกลางศิลา
รัศมีสาดส่องพลุ่งพล่าน เจือด้วยปราณเก่าแก่บรรพกาล
ปราณบรรพกาลนั้นมีสีสันสดใสดุจใบหญ้า เต็มไปด้วยอำนาจเกินธรรมดา แม้จะเบาบาง แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายที่นี่ก็ตระหนักชัดเจนว่าปราณบรรพกาลเพียงเสี้ยวนี้ก็ทำลายเทือกเขาได้มากมาย!
แดนรากบรรพกาลสร้างปราณบรรพกาลได้มากมายเช่นนี้ และรากเต๋าบรรพชนก็ก่อเกิดภายในนั้น
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น ซากศิลาในหุบผาก็สั่นสะท้านระเบิดจากกัน แล้วหนึ่งสัตว์ร้ายอันมีสีดำสนิท หนึ่งเขา สามขา และขนาดใหญ่ราวคชสารก็พุ่งออกมาจากภายใน
โฮก!
ขณะเดียวกัน อีกาสามขาก็กู่ร้องก้องสนั่น พุ่งทะลวงมิติเข้ามาใส่พวกเขา ยิ่งกว่านั้น รัศมีศักดิ์สิทธิ์ก็เรืองขึ้นที่เขาเดี่ยวบนศีรษะมัน เป็นสีดำสนิทน่าสะพรึงกลัว
“สัตว์ร้ายเอ๋ย! จำนนเสีย!” เล่ออู๋เหินระเบิดหัวเราะ
เคร้ง!
เขายื่นมือออกไปขยุ้มคว้า แล้วหอกสั้นสำริดเล่มหนึ่งบนหลังก็พุ่งมาอยู่ในมือ ฟาดฟันออกไปเบา ๆ
ตู้ม!
หอกสั้นพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งขยี้สุญตาเป็นคลื่นพลังปั่นป่วน
เปรี้ยง!
การโจมตีทรงพลังอย่างยิ่ง ไม่เพียงบดขยี้รัศมีสีดำนั้นลง การโจมตีนี้กระทั่งทำให้ร่างของอีกาสามขาแหลกเป็นเสี่ยง ทำให้เลือดเนื้อกระเซ็นสายสู่เวหา โดยที่มันไม่มีโอกาสแม้แต่จะแผดร้อง
เคร้ง!
นับแต่ต้นจนบัดนี้ เขาดูเหมือนทำเรื่องสุดแสนธรรมดา ลอยชายสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
อำนาจต่อสู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาการ ไม่ใช่เพียงแข็งแกร่งกว่าอวี๋ชิวจิงนิดหน่อย เฉินซีดุจจมในความคิด
เท่าที่รู้ ในหมู่สมาชิกกลุ่ม เล่ออู๋เหินและเชินถูเยียนหรานมีความแข็งแกร่งประมาณเดียวกัน อวี๋ชิวจิงด้อยกว่าเล็กน้อย และผู้ที่มองออกยากที่สุดก็คือจวนอวี๋สุ่ย คนผู้นี้เก็บตัวเงียบอย่างยิ่ง และยังเป็นยอดฝีมือผู้ฝึกทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร อำนาจต่อสู้ไม่มีทางประเมินต่ำได้เลย
ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในกลุ่มต่างลังเล เพราะนี่เป็นเพียงรากเต๋าบรรพชนระดับหกชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกมัน แต่กลับเป็นเพราะในใจพวกเขาหวังว่าภายหลัง ตนอาจจะสามารถหารากเต๋าบรรพชนที่ดีกว่านี้ได้ ดังนั้นจึงลังเลเล็กน้อย
จากข้อตกลงการแบ่งแจกจ่าย เมื่อผู้ใดได้รับรากเต๋าบรรพชนไปแล้ว ก็จะเป็นตาของคนถัดไปเวียนกัน เว้นแต่ว่าทุกผู้จะได้รากเต๋าบรรพชนไปคนละชิ้นแล้ว ตนจึงอาจมีโอกาสที่สอง ทว่าโอกาสนั้นริบหรี่อย่างยิ่ง
นอกจากนั้น พวกเขาคงไม่มีเวลาพอทำเช่นนั้นได้
เดิมที ความคิดเช่นนี้เข้าใจได้ไม่ยาก หากในแดนรากบรรพกาลมีเพียงรากเต๋าบรรพชนหนึ่งเดียวชิ้นนี้ พวกเขาก็คงสู้แย่งกันอย่างไม่ลังเล
ทว่ายามนี้ พวกเขามีตัวเลือกมากมายเกินไป ทำให้ความคิดมากมายผุดพรายในใจพวกเขาเสียแทน คิดไปว่ารากเต๋าบรรพชนถัดไปที่พวกเขาพบอาจมีคุณภาพสูงกว่านี้ แต่ไร้ผู้ใดกล้ายืนยันว่านั่นจะเป็นผลลัพธ์แท้จริง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาลังเล กระทำตัวระแวดระวังยิ่งนัก
คนผู้นี้สวมชุดดำ ท่าทางผ่าเผย วางตัวมั่นคงมากประสบการณ์ มีนามว่าเวยจื่อฝู
“จื่อฝู ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เราล้วนแต่เป็นคนกันเอง รีบไปรับมันมาเถอะ” เล่ออู๋เหินแย้มยิ้มบาง นับถือในการเลือกของเวยจื่อฝูโดยแท้
แม้พวกเขาจะหารากเต๋าบรรพชนได้ง่ายดาย แต่เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ทยอยกันเข้ามายังแดนรากบรรพกาล การจะได้รากเต๋าบรรพชนคุณภาพเช่นนี้มาอีกก็จะไม่ง่ายแล้ว
แม้การตัดสินใจของเวยจื่อฝูในขณะนี้จะดูปลอดภัย แต่ก็ฉลาดยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
วูบ!
พริบตาต่อมา เวยจื่อฝูก็ไหวร่างเข้าสู่หุบผา มาอยู่ตรงหน้าบริเวณอันปกคลุมด้วยศิลาซึ่งเปี่ยมปราณบรรพกาล มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง
เขาสูดหายใจลึก แล้วบรรจงก้มลงขยี้กองศิลาที่นั่นลง ทำให้ดวงแสงสีเขียวมรกตอันเจิดจ้าดุจดวงตะวันเผยออกมาทันที
พริบตานั้น กระทั่งเฉินซียังอดพินิจอย่างระวังไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรากเต๋าบรรพชนกับตา จึงย่อมสงสัยใคร่รู้
ดวงแสงสีเขียวมรกตนั้นมีขนาดราวกำปั้น เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น มันยังปกคลุมด้วยปราณบรรพกาลหนาแน่นบริสุทธิ์ ทำให้ดูยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
ขณะเดียวกัน ‘แดนดิน’ ที่กล่าวถึงนี้ย่อมไม่พ้นรากฐานแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์มี
พรึ่บ!
เวยจื่อฝูสะบัดแขนเสื้ออย่างเฉียบพลัน ทำให้รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีแดงสดพลุ่งพล่าน กวาดดวงแสงสีเขียวมรกตเข้ามาอยู่ในกล่องหยกที่เตรียมไว้
หลังจากนั้น เวยจื่อฝูก็ใช้ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ผนึกกล่องหยกไป แล้วถอนหายใจโล่งอก รอยยิ้มปรากฏเจือที่มุมปาก
ด้วยรากเต๋าบรรพชนนี้ ก็ไม่ต้องเป็นจอกแหนอันลอยตัวไร้จุดหมายยามพัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และเขาก็จะมีคุณสมบัติพื้นฐานในการพัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
“เอาละ เดินทางกันต่อ การแข่งขันที่เราจะพบ ยิ่งเวลาผ่านยิ่งรุนแรง” เล่ออู๋เหินสั่งการแล้วนำทางไปทันที
“สหายเต๋าอู๋เหิน เราตัดสินคุณภาพของรากเต๋าบรรพชนได้อย่างไรหรือ?” เฉินซีอดถามขึ้นระหว่างทางไม่ได้
เล่ออู๋เหินกล่าวยิ้ม ๆ “ง่ายมาก รากเต๋าต่างคุณภาพก็ต่างสีสัน พวกมันแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็นสีดำ ขาว แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม น้ำเงิน และม่วง แทนด้วยหนึ่งระดับของรากเต๋าบรรพชนตามลำดับ”
“สีดำคุณภาพต่ำที่สุด มันขุ่นมัวเป็นอย่างยิ่ง ส่วนสีม่วงแข็งแกร่งที่สุด เต็มไปด้วยอำนาจยิ่งใหญ่”
“อันที่จริง รากเต๋าบรรพชนระดับเดียวกันก็ต่างคุณภาพนะ แบ่งออกเป็นธรรมดา ชั้นเลิศ และชั้นสูงสุด เช่นรากเต๋าบรรพชนระดับหกนี้เป็นสีเขียวมรกต บริสุทธิ์ใส นอกจากนั้น ปราณบรรพกาลภายในนั้นยังหนาแน่น จึงถือได้แล้วว่าเป็นรากเต๋าบรรพชนระดับหกชั้นสูงสุด”
เมื่อเฉินซีได้ยินเช่นนี้ เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งเสียทีว่ารากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าจะเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงอย่างแน่นอน
……
เมื่อมีเวยจื่อฝูเป็นตัวอย่าง หัวใจของผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็คุกรุ่นด้วยความปรารถนาแรงกล้าเช่นกัน พวกเขาถูไม้ถูมือ เต็มไปด้วยความลุ้นรอในการค้นหาต่อจากนี้
ทว่าก็ต้องผิดหวัง เมื่อตลอดวันพวกเขาไม่ได้พบรากเต๋าบรรพชนเลยสักชิ้น เหตุนี้ทำให้คนมากมายเกิดความเสียดาย เริ่มรู้สึกอิจฉาการตัดสินใจของเวยจื่อฝู
โชคยังดี พวกเขายังมีเวลาเพียงพอ จึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจใด ๆ
เล่ออู๋เหินรู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ไม่ได้มีวาทะใด เพราะเขาตระหนักชัดเจนว่า ยิ่งเข้าใกล้บริเวณใจกลางแดนรากบรรพกาล จำนวนบริเวณที่พวกเขาจะหารากเต๋าบรรพชนได้ก็ยิ่งเพิ่มพูน
เรื่องยุ่งยากหนึ่งเดียวคือ ในขณะนั้น จำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีก็จะมากมายอย่างแน่นอน และคงไม่อาจเลี่ยงการปะทะกระทบกระทั่งกับกลุ่มอื่นได้
ขณะเดียวกัน เฉินซีไตร่ตรองถึงเพียงสิ่งเดียวตลอดมา ซึ่งก็คือทัศนคติของทวารบาลวิหารต่อตนเอง
เฉินซีโยงทุกสิ่งเข้ากับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก แผนภาพกระบี่เสียหายเปื้อนเลือด และมรดกจากเจ้าของกระบี่เหล็กโดยสัญชาตญาณ
อักขระโบราณ ‘荒’ และ ‘墟’ ซึ่งหมายถึง ‘รกร้าง’ และ ‘ซากพินาศ’ อันปรากฏบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเผยเบาะแสสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่อย่างเลือนราง
หลังจากเขาเข้ามาในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ แผนภาพกระบี่เสียหายเปื้อนเลือดนั้นก็ตื่นขึ้นอย่างเกินคาดฝัน ทำให้เขาบังเอิญได้รับมรดกจากเจ้าของกระบี่เหล็ก นอกจากนั้น ยังได้ทำความเข้าใจสัจหฤทัยสูตรและวิชากระบี่ดวงใจลี้ลับจากมันด้วย ทำให้อำนาจต่อสู้พัฒนาก้าวกระโดดในขณะนี้
ยิ่งกว่านั้น หนึ่งเค้าความรู้สึกยังก่อตัวขึ้นในใจก่อนมาถึงแดนรากบรรพกาลเสียอีก สัมผัสได้ว่ามีเสียงเพรียกเรียกจากทิศเหนือ
ซึ่งแดนรากบรรพกาลก็อยู่ทางทิศเหนือในยามนั้นพอดี
ดังนั้นยามทวารบาลวิหารยกเว้นพวกเขาทั้งกลุ่มจากบททดสอบอย่างกะทันหัน เฉินซีจึงคิดทันทีว่าการเปลี่ยนท่าทีของทวารบาลวิหารน่าจะเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้
ทว่าเฉินซียังไม่อาจตัดสินได้ว่าเป็นเพราะชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากหรือมรดกจากเจ้าของกระบี่เหล็ก!
ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง แต่ก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้
“นั่นมัน… รากเต๋าขั้นกษัตริย์ระดับเจ็ด!” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ ปลุกเฉินซีสะดุ้งจากภวังค์ความคิดอันลึกล้ำ
“รากเต๋าบรรพชนขั้นกษัตริย์!” ลมหายใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายหนักหน่วง ดวงตาเรืองประกาย ไม่ได้ซ่อนความปรารถนาร้อนเร่าที่จะช่วงชิงมันมาครองกันเลย
นี่คือสมบัติล้ำค่าซึ่งจะพบได้ต้องอาศัยเพียงวาสนา แม้จะสูงกว่ารากเต๋าบรรพชนระดับหกเพียงหนึ่งระดับ แต่คุณประโยชน์ที่มอบให้นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!
กระทั่งเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน และคนอื่น ๆ ยังผงะประหลาดใจเล็กน้อย กลุ่มของพวกเขาไม่ดวงดีกันไปหน่อยหรือ?
กระทั่งพวกเขายังหวั่นไหวกับรากเต๋าบรรพชนคุณภาพเช่นนี้
ทั้งกลุ่มหาลังเลไม่ ทะยานผ่านเวหาแห่กันไปยังเสาแสงสีครามทันที
จุดกำเนิดเสาแสงสีครามนั้นเป็นบริเวณทิวเขาแห่งหนึ่ง
ทว่าเมื่อกลุ่มของเฉินซีมาถึง พวกเขาก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ความหวังและความตื่นเต้นในใจหายวับไปทันตา
สัตว์ร้ายขนาดมหึมาตัวหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งตายไปได้ไม่นาน และร่องรอยการต่อสู้ก็ปกคลุมแดนดินพันลี้รอบข้าง
แล้วกลุ่มของเฉินซีจะไม่ทราบเชียวหรือ ว่ามีผู้อื่นมาถึงก่อนพวกเขาแล้ว?
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งไม่ยอมรามือ พุ่งเข้าใส่เสาแสงสีครามเพื่อค้นหาอย่างระวัง ทว่าสุดท้ายเขาก็กลับมามือเปล่า สีหน้าแปรเปลี่ยนมัวหมอง
“บ้าเอ๊ย! เรามาช้าไปก้าวหนึ่ง พลาดรากเต๋าขั้นกษัตริย์ระดับเจ็ดไปแล้ว!” ใครบางคนรำพึงอย่างไม่พอใจ
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็ผิดหวังหดหู่อย่างยิ่งเช่นกัน
“ดูเหมือนเราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เสียแล้ว” หลังครุ่นคิดลึกล้ำครู่หนึ่ง จู่ ๆ เล่ออู๋เหินก็โพล่งขึ้น
………………..