บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1671 ปิดล้อม
บทที่ 1671 ปิดล้อม
เวยจื่อฝูพอใจกับสิ่งที่ได้รับมาก แม้เฉินซีจะกล่าววาจาอย่างสบาย ๆ แต่ไหนเลยจะง่ายดายที่จะหารากเต๋าบรรพชนได้?
รากเต๋าบรรพชนไม่ใช่สิ่งของธรรมดาดุจหัวกะหล่ำตามท้องตลาด ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะได้รับมาอย่างง่ายดาย
ครั้นประกอบกับความจริงที่ว่า มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายได้เหยียบย่างเข้าสู่แดนรากบรรพกาล แม้แต่ลั่วฉ่าวหนงก็ไม่กล้าอวดอ้างว่าตนจะได้รับรากเต๋าบรรพชนจำนวนมาก
ดังนั้นเวยจื่อฝูจึงไม่ลังเลใจที่จะยอมรับเงื่อนไขของเฉินซี
ถึงขั้นรู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสถึงสองครั้ง และมันเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเฉินซีไปอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับเถาตงที่ยืนอยู่เคียงข้าง เวยจื่อฝูไม่ใส่ใจนัก
เฉินซีชำเลืองมองเถาตงซึ่งสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้จบ และรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินซีก็ค่อย ๆ จางลง “ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย งั้นจงนำรากเต๋าบรรพชนระดับห้านี้ แล้วไปหาเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ เถอะ”
ความโกรธเคืองของเถาตงพวยพุ่ง และรู้สึกว่าเฉินซีจงใจทำให้ตนลำบาก แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะสะบัดหน้าจากไป
เฉินซียิ้มและไม่กังวลที่จะทำลายความมั่นใจของอีกฝ่าย เพราะเขาไม่เคยคาดหวังว่าเถาตังจะช่วยอะไรอยู่แล้ว
เฉินซีพุ่งปราดพริบไปทางพื้นที่นั้นทันที
ฟิ่ว!
ตามที่คาดไว้ มีผู้พิทักษ์อยู่ใกล้ ๆ กับรากเต๋าบรรพชนเช่นกัน ทันทีที่เฉินซีปรากฏกาย คลื่นพลังผันผวนก็บังเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น จากนั้นก็มีศพที่ถือง้าวและสวมชุดเกราะผุพังก็พุ่งออกมาจากภายในอวกาศ
เห็นได้ชัดว่าศพนี้เป็นของเทพที่ดับสูญ มันเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ในขณะที่ดวงตาเป็นสีเทาขุ่นมัว ทั้งยังมีแววตาดุดันชั่วร้าย
โครม!
ทันทีที่ปรากฏ มันก้าวย่างผ่านอวกาศไปยังเฉินซี จากนั้นง้าวยาวหนึ่งจั้งหกฉื่อในมือก็เปี่ยมล้นด้วยจิตสังหารอันชั่วร้าย ขณะกวาดผ่านอวกาศและฟาดฟันใส่เฉินซีอย่างเกรี้ยวกราด
“บัดซบ!” สายตาของเฉินซีทอประกายเยียบเย็น พลันสะบัดแขนเสื้อวูบ บังเกิดเป็นแสงกระจ่างใสสาดส่องออกมาจากภายใน
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์บดขยี้ซากศพจนกลายเป็นผุยผงปลิวหายไปในอากาศ มันไม่อาจต้านทานเฉินซีได้แม้แต่ท่าเดียว
ริมฝีปากของเถาตงและเวยจื่อฝูกระตุกเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ซากศพนั้นมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามซึ่งเทียบได้กับเทวารู้แจ้งวิญญาณชั้นยอด และด้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเฉินซีได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นขี้เถ้าด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว!
จะต้องมีการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นใด จึงจะบรรลุผลเช่นนี้ได้?
ฟิ่ว!
เฉินซีเหยียดมือออกแล้วคว้าจับ จากนั้นดวงแสงที่ลุกโชนและแวววาวก็ลอยออกมาจากส่วนลึกของลำแสงสีเหลือง ร่อนลงสู่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ามันเป็นรากเต๋าบรรพชนระดับห้านั่นเอง
เฉินซีตั้งใจใช้ข้อจำกัดเพื่อปิดผนึกมัน จากนั้นก็อ้าปากแล้วกลืนมันลงไป เพื่อซ่อนไว้ภายในร่างกาย
เถาตงและเวยจื่อฝูไม่เห็นคุณค่าของรากเต๋าบรรพชน แต่เฉินซีไม่คิดเช่นนั้น เพราะรากเต๋าบรรพชนระดับห้านี้จะต้องเป็นประโยชน์ในภายหลังแน่นอน เมื่อมอบให้เป็นของขวัญหรือแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติในภายภาคหน้า
“ไป….” เฉินซีกำลังจะพาคนทั้งสองจากไป แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาที่ลุ่มลึกดุจหุบเหวก็หรี่ลง เรืองรองด้วยประกายแสงอันแหลมคม
“มีอันใดผิดปกติหรือ?” เถาตงและเวยจื่อฝูผงะ แต่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากนั้น
“ระยำ! หรือว่าพวกมันตั้งใจจะฆ่าคนเพื่อชิงสมบัติ?” เถาตงโกรธเกรี้ยวสุดขีด
เฉินซีเหลือบมองแล้วทอดถอนใจ หากคนผู้นี้ไม่ทำให้เราล่าช้า เราคงไปจากที่นี่นานแล้ว ไหนเลยจะต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย?
“ระวังตัวและฟังคำแนะนำของข้า อย่าบุ่มบ่าม” เฉินซีสั่งกำชับแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ
ในไม่ช้า เงาร่างมากกว่าสิบร่างที่เปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้น และพวกมันก่อตัวล้อมรอบกลุ่มสามคนของเฉินซีอย่างแน่นหนา
มีชายหนุ่มสองคนเป็นผู้นำ ชายทางซ้ายมีรูปร่างผอม ท่าทางเย็นชา คิ้วขาวเหมือนหิมะ สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด และเมื่อดวงตากะพริบ จันทราสีแดงเลือดสองดวงที่น่ากลัวอย่างยิ่งก็ปรากฏอยู่ภายในนั้น
ส่วนชายหนุ่มทางขวาสวมเสื้อคลุมสีเหลือง ผิวขาวประณีต รอยสักเปลวเพลิงสีทองที่หว่างคิ้ว นอกจากนี้ กลิ่นอายน่าเกรงขามยังเปรียบเสมือนสุริยันที่แผดเผา ทั้งเย่อหยิ่งและสว่างไสว
“เยว่หรูฮวาจากเผ่าจันทราโลหิตแห่งเอกภพจักรวรรดิ!”
“จินชิงหยางจากเผ่าศิลาทองคำแห่งเอกภพจักรวรรดิ!”
เถาตงและเวยจื่อฝูอุทานด้วยความประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ทั้งสองต่างเผยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม และเส้นประสาทในร่างก็ตึงเครียด
ที่แท้ก็เป็นพวกมัน… ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เยว่หรูฮวาอยู่ในอันดับที่สิบสี่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ และเขาเหนือกว่าอวี๋ชิวจิงเล็กน้อยซึ่งอยู่ในอันดับที่สิบห้า และด้อยกว่าเชินถูเยียนหรานซึ่งอยู่ในอันดับที่สิบสาม
ในทางกลับกัน จินชิงหยางอยู่ในอันดับที่ยี่สิบสี่ แม้จะเทียบไม่ได้กับเยว่หรูฮวา แต่ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว คนผู้นี้ก็เป็นถึงมหาเทวาวิญญาณ และเนื่องจากอันดับอยู่ใกล้จุดสูงสุดมาก จึงไม่ใช่บุคคลสามัญธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าทั้งสองมาด้วยกัน ทั้งยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ติดตามอยู่หลายคน ดังนั้นสถานการณ์ดังกล่าวจึงไม่สู้ดีนัก
หากเฉินซีเดาไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นเยว่หรูฮวาหรือจินชิงหยาง ทั้งสองล้วนอยู่ฝ่ายกงเหย่เจ๋อฟู เมื่อครั้งเข้าสู่แดนรากบรรพกาล
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งสองอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้รวมกลุ่มกับกงเหย่เจ๋อฟู เพราะพวกเขาวางแผนคล้ายกับกลุ่มของเฉินซี
“สหายเต๋าหรูฮวา ข้าชื่อเถาตง และข้ามาจากตระกูลเถาของเอกภพจักรวรรดิ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่า เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี่?” เถาตงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ตระกูลเถาของเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าจันทราโลหิต ดังนั้นแม้จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเยว่หรูฮวา แต่พวกเขาล้วนมาจากเอกภพจักรวรรดิ และตระกูลที่หนุนหลัง ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะลองเชิงดูว่าเยว่หรูฮวาจะไว้ชีวิตเขาหรือไม่
“ตระกูลเถา? เถาตง? ฮ่า ๆ! พี่ชาย อย่าฝากความหวังไว้กับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเลย นั่นไม่อาจรักษาชีวิตพวกเจ้าทั้งสามคนได้” ท่าทางของเยว่หรูฮวายังคงเย็นชา ฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และปฏิเสธเถาตงโดยตรง ทำให้สีหน้าของเถาตงเปลี่ยนไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
ไม่ว่าจะเป็นเยว่หรูฮวา จินชิงหยางหรือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่เคียงข้าง ทุกคนล้วนดูมั่นใจว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า และกระทำการอย่างเอาแต่ใจ
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดและเปี่ยมด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันทันที
ทันใดนั้น เฉินซีกลับเริ่มหัวเราะ แล้วกล่าวกับเถาตง “ดูสิ รากเต๋าบรรพชนที่เจ้าบอกว่าต่ำกว่ามาตรฐานนั้น ได้ชักนำมหาเทวาวิญญาณสองคนมาแย่งชิงไปจากเรา ยามนี้เจ้ายังไม่ต้องการมันอีกหรือ?”
เถาตงตกตะลึง และโกรธจนแทบจะบีบคอเฉินซีให้ตายคามือ เวลาเช่นนี้ เจ้ายังมีอารมณ์มากล่าววาจาไร้สาระอีกหรือ!?
รากเต๋าบรรพชนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน?
เมื่อวาจาเหล่านี้เข้าหูของเยว่หรูฮวาและคนอื่น ๆ มันก็กลายเป็นคำหยามเหยียดอย่างชัดเจน และทำให้สีหน้าของพวกเขาน่ากลัวมากขึ้น
“ข้าจะถามอีกครั้งหนึ่ง พวกเจ้าจะมอบมันแต่โดยดีหรือไม่” เยว่หรูฮวากล่าวด้วยเสียงเย็นชา
หัวใจของเถาตงกระตุกวูบ จากนั้นจึงมองเฉินซีแล้วกล่าวอย่างลังเล “ทำไมเรา…ไม่มอบรากเต๋าบรรพชนนั้นให้พวกเขาล่ะ? เรายังมีเวลาเหลือเฟือ และยังมีโอกาสอื่นอีกในภายหน้า”
แม้จะดูขี้ขลาด แต่ทำเพื่อปกป้องชีวิตของตนในขณะนี้
เพราะสองคนนั้นคือ เยว่หรูฮวาและจินชิงหยาง!
แต่เมื่อมหาเทวาวิญญาณทั้งสองลงมือพร้อมกัน เถาตงไม่คิดว่าเฉินซีเพียงคนเดียวจะสามารถต่อกรกับทั้งสองได้
เนื่องจากหากเฉินซีทำไม่สำเร็จ อย่าหวังเลยว่าเขาและเวยจื่อฝูจะสามารถทำได้
ไอ้สารเลวนี้พลิกลิ้นไปมาจริง ๆ เฉินซีรู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ หากสถานการณ์เอื้ออำนวย เฉินซีอยากจะถามเถาตงจริง ๆ ว่า ความภาคภูมิใจและความรู้สึกเหนือกว่าเมื่อครู่หายไปไหนหมด!
คนผู้นี้ขี้ขลาดเสียจริง ภายนอกดูน่าประทับใจ แต่ภายในกลับเน่าเหม็น!
เฉินซีไม่เสียเวลาสนใจเถาตงอีก ชายหนุ่มหันไปออกคำสั่งเวยจื่อฝูอย่างรวดเร็ว “คอยดูคนผู้นี้ไว้ ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เวยจื่อฝูพยักหน้า
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็หยุดลังเลและสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า สายตาเยือกเย็นกวาดผ่านเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางอย่างเย็นชา พลังชีวิตในร่างปะทุขึ้นเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเย่อหยิ่งดุร้าย
“เฉินซี! เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใด!? คิดจะลากเราไปตายกับเจ้าด้วยหรืออย่างไร!” เถาตงรู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีด และตั้งใจที่จะหยุดเฉินซี แต่กลับถูกเวยจื่อฝูรั้งไว้ “เถาตง! อย่าลืมว่าเฉินซีมีเบี้ยรวมวิญญาณอยู่ ดังนั้นต่อให้เราตกเป็นรอง ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด!”
เถาตงส่ายศรีษะอย่างขมขื่น “แม้ว่าเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ จะรู้เรื่องนี้ แต่พวกเขาจะมาช่วยเหลือทันเวลาได้อย่างไร?”
…
“ฮ่า ฮ่า! ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นพวกเจ้าเด็กมากรักที่คอยหลบหลังสตรีเสียอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะมีกระดูกสันหลังเหมือนกัน” เยว่หรูฮวาเยาะเย้ย
คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างหัวเราะประสานเสียงดังลั่น
ตอนที่อยู่หน้าวิหารรากบรรพชน ทุกคนได้เห็นเชินถูเยียนหรานแสดงความรักต่อเฉินซีในที่สาธารณะ
ในเวลานั้น พวกเขามีแต่ความรู้สึกอิจฉาในใจ ดังนั้นเมื่อได้พบโอกาสอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ย่อมไม่พลาดที่จะสั่งสอนบทเรียนเฉินซีเป็นแน่แท้
มันคงจะวิเศษมาก ถ้าเชินถูเยียนหรานรู้ว่าเด็กคนนี้พ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือเขาอย่างน่าสังเวช
นี่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังประเมินเฉินซีต่ำโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่แค่เยว่หรูฮวาเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ รวมถึงจินชิงหยางก็รู้สึกไม่แยแสและดูถูกเฉินซีด้วยซ้ำ
เป็นเพราะเฉินซีไม่มีชื่อเสียง และชื่อของเขาก็ไม่ปรากฏในร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
เทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ คือการจัดอันดับที่เชื่อถือได้มากที่สุดในแดนเทพโบราณ!
โดยปกติแล้ว พวกเขาจะไม่กังขาใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นอยู่ในระดับปานกลาง ไร้ความโดดเด่น และไม่สามารถต่อกรพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง
พวกเขาไม่รู้ว่าอวี๋ชิวจิงก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ถูกเฉินซีทุบตีจนหลงเหลือเงาไว้ในใจ
จวบจนบัดนี้ อวี๋ชิวจิงยังคงรู้สึกคับข้องและหดหู่ไม่เสื่อมคลาย
“ถ้าพวกเจ้ายังไม่หยุดกล่าวไร้สาระ ก็อภัยให้ข้าด้วยที่ไม่อาจทำตามพวกเจ้าได้” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย และดูไม่แยแสการเยาะเย้ยและการดูถูกที่มาจากบริเวณโดยรอบเลยสักนิด
………………..