บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1673 สยบราบคาบ
บทที่ 1673 สยบราบคาบ
เฉินซีบาดเจ็บหนัก ไหล่ซ้ายปรากฏรอยไหม้เผยให้เห็นไปถึงชั้นกระดูกขาวโพลนน่าสยดสยอง
ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจบาดแผลนั่นแม้แต่น้อย หลังจากโจมตีจินชิงหยางไปแล้ว เขาก็ลงมือกับเยว่หรูฮวาต่ออย่างไม่ลังเล
โครม!
ในที่สุดจันทร์เสี้ยวสีแดงโลหิตคู่นั่นก็สะบั้นด้วยปราณกระบี่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวของเฉินซี และดูเหมือนว่าเยว่หรูฮวาจะได้รับแรงปะทะจากสถานการณ์ดังกล่าว เขาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง นับเป็นเหตุชวนให้ตกใจอย่างยิ่ง
ไม่แปลกที่รูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะหากไม่สามารถรักษาความได้เปรียบในการต่อสู้เพื่อมาชดเชยกับอาการบาดเจ็บบนไหล่ซ้ายแล้ว ก็อย่าได้เรียกเขาว่าเฉินซีเลย
ในวันนั้น เล่ออู๋เหินพูดอย่างตรงไปตรงมาว่ามีเพียงผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเท่านั้นที่สามารถรับมือกับคนอย่างเฉินซีได้ และแม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะต่อกรกับเฉินซีได้หรือไม่
ด้านหนึ่ง จินชิงหยางยังห่างไกลจากอวี๋ชิวจิงมาก หากเขากับเยว่หรูฮวาไม่ได้โจมตีเฉินซีพร้อมกันแล้วละก็ เกรงว่าจะถูกเฉินซีฆ่าตายไปนานแล้ว
เฉินซีไม่ได้ตอบสิ่งใด ท่าทางเรียบเฉยแฝงไปด้วยแรงพยาบาท เวลาเป็นสิ่งสำคัญภายใต้สถานการณ์เร่งรีบ เขาไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป
ฟึ่บ!
ในมือข้างหนึ่งคือยันต์ศัสตรา มันเป็นเหมือนกับจักรพรรดิแห่งกระบี่ที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม เจตจำนงกระบี่ปะทุสู่ท้องฟ้า ราวกับได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่เหนือโลกาทั้งปวง
ชั่วพริบตานั้น หมัดที่สลับไปมาระหว่างเฉินซีและเยว่หรูฮวาก็ยังเกิดขึ้นมากกว่าร้อยครั้ง
ตึง!
ไม่นานนัก เสียงตึงตังก็ดังทั่วบริเวณ ร่างของเยว่หรูฮวากระเด็นไปไกลเกินคาดหยั่ง ที่หน้าอกระเบิดเป็นรูกว้างและอาบท่วมไปด้วยเลือด
หากจินชิงหยางมาช่วยอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ทันเวลา การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะคร่าชีวิตของเยว่หรูฮวาแล้ว!
“ไอ้สารเลว!” เยว่หรูฮวาตะโกนอย่างเสียสติ
เขาเป็นใครน่ะหรือ? เขาคือผู้นำรุ่นเยาว์แห่งเผ่าจันทราโลหิตในเอกภพจักรวรรดิ และเป็นชายที่มีชื่ออยู่ในอันดับที่สิบสี่ของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนจวนเพลี่ยงพล้ำเช่นนี้
น่าเจ็บใจนัก เจ้าผู้ชายที่ชื่อเฉินซีนั่น นอกจากจะไม่ได้เป็นที่เลื่องลือแล้ว ยังไม่มีชื่ออยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเสียด้วยซ้ำ
ผ้าคลุมมังกรเพลิงสะบัดอย่างรุนแรง คล้ายว่าประกายไฟที่ปลิวไสวนั่นจะหลุดไปจากการควบคุมของจินชิงหยาง ในตอนนี้จินชิงหยางถูกบดขยี้ด้วยปราณกระบี่เฉกเช่นเดียวกัน ร่างกายได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง เลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดทำให้เขาตกอยู่ในสภาพน่าเวทนา
บัดนี้ทั้งเยว่หรูฮวาและจินชินหยางต่างก็ได้รับบาดเจ็บ!
เมื่อเถาตงและเวยจื่อฝูเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็ตกใจเสียจนกรามค้าง มีเพียงความตะลึงลานที่สะท้อนในแววตา
เฉินซีน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง และเถาตงก็ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าให้เฉินซีส่งมอบรากเต๋าบรรพชนระดับห้าไปแต่โดยดี อย่างน้อยก็ทำเพื่อให้พ้นเคราะห์คราวซวย
แต่ใครจะคิดเล่าว่าเฉินซีไม่เพียงแต่สามารถหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์เสียเปรียบยามต้องเผชิญกับการโจมตีที่เฉียบคมของมหาเทวาวิญญาณถึงสองคนได้ หากยังสามารถบดขยี้คนทั้งสองให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสติดต่อกัน! ความหาญกล้าของคนผู้นี้ ช่างเกินกว่าที่ใครจะเทียบได้!
“ข้านึกว่าเขาจะใช้เบี้ยรวมวิญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือจากเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ เสียอีก แต่ว่าตอนนี้กลับ… เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นเลย” เถาตงพึมพำด้วยความประหลาดใจ
“พวกเราทุกคนประเมินเขาต่ำไป บางทีคงจะมีเพียงแม่นางเยียนหรานเท่านั้นที่รู้ว่าเฉินซีพิเศษเพียงใด” เวยจื่อฝูร้องอุทานอย่างอดไม่ได้
นับตั้งแต่ที่การต่อสู้เริ่มขึ้น จนบัดนี้เฉินซีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดการโจมตี เกรงคงหมายจัดการอีกฝ่ายให้ราบคาบ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เยว่หรูฮวาและจินชิงหยางได้รับบาดเจ็บ เจตจำนงในการต่อสู้ของพวกเขาก็คล้ายจะซวนเซ แม้จะยังคงต่อสู้ไม่หยุด ทว่านั่นกลับไม่อาจต้านทานการโจมตีที่รุนแรงของเฉินซีได้ จนถูกไล่ต้อนจนถึงจุดที่เจ็บหนักจวนแพ้พ่าย
โครม!
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เยว่หรูฮวาก็ถูกซัดกระเด็นอีกครั้ง กระดูกทั่วทั้งร่างกายแตกยับเยิน แม้แต่พลังชีวิตยังใกล้จะมอดดับลง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฉินซีก็จรดกระบี่ลงยังร่างของคนผู้นั้น
ฉึบ!
แล้วตัดแขนข้างหนึ่งของจินชิงหยาง เลือดสด ๆ สาดกระเซ็น ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงฉาน
“อ๊าก!!!” จินชิงหยางโหยหวนเสียงน่าเวทนา เป็นขณะเดียวกันกับที่ความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุดเข้ากอดกุมหัวใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ แม้จะผสานกำลังกับเยว่หรูฮวา แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะคนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มผู้นี้น่ากลัวเกินไป เต๋าแห่งกระบี่ก็น่าเกรงขามเหนือจินตนาการ ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย!
“นี่เจ้าพูดบ้าอะไร!?” เวยจื่อฝูจ้องเถาตงแทบจะกินเลือดกินเนื้อ “หรือว่าเจ้าอยากให้เฉินซีพ่ายแพ้น่ะห้ะ?”
“ปะ.. เปล่า… ใครจะไปกล้าคิดบ้า ๆ แบบนั้นกัน…” เถาตงรีบอธิบายเสียงพัลวัน ความตกใจทำให้ลิ้นพันกันเกินว่าจะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว
เดิมทีเวยจื่อฝูตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทันใดนั้นเขาก็มองยังไปยังที่ไกลก่อนจะตะโกนลั่น “เฉินซี… เจ้าคงไม่ได้คิดจะฆ่าคนพวกนั้นใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นถึงมหาเทวาวิญญาณเชียวนะ การฆ่าพวกเขาก็เท่ากับไปเหยียบหางผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแรงเลยนะ!”
เถาตงเองก็ตกใจไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับความประหลาดใจที่ตีคู่อย่างสูสี เขาตระหนักดีว่าแม้นี่จะเป็นการต่อสู้ที่เห็นชอบทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่ามหาเทวาวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว คงเหล่านี้ก็มักจะได้รับการ ‘ไว้ชีวิต’ เสมอ นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องไปปะทะกับมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลังมหาเทวาวิญญาณเหล่านี้
แน่นอน หากเฉินซีฆ่าเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางจริง ๆ ก็อาจจะทำให้เผ่าจันทราโลหิตและเผ่าศิลาทองคำของเอกภพจักรวรรดิต้องเคืองขุ่น และหากเรื่องเช่นว่านั้นเกิดขึ้น ก็คงไม่มีที่ยืนสำหรับเฉินซีในแดนเทพโบราณอีกต่อไป
…
ตอนนี้เอง ชั้นผิวหนังใหม่ได้ก่อตัวขึ้นเพื่อสมานบาดแผลบนไหล่ซ้ายของเฉินซี รัศมีอันสง่างามสร้างแรงกดดันและพลังอำนาจมหาศาล
ชายหนุ่มไม่สนเลยสักนิดว่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง ในเมื่อมีคนตั้งใจจะฆ่าเขา แล้วเหตุใดจะต้องยอมอดกลั้นด้วยเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น นับแต่เริ่มบ่มเพาะมา เขาไม่เคยกลัวว่าตัวเองก็เผลอไปเหยียบหางใครแม้แต่น้อย
“นั่นเจ้าจะทำอะไร? หรือว่าเจ้าตั้งใจจะฆ่าพวกข้าจริง ๆ?” สายตาที่กวาดมองเฉินซีเคลื่อนไหวของเยว่หรูฮวาเต็มไปด้วยความตกใจ หวาดกลัว และโกรธแค้น สหายเต๋าผู้นี้ทั้งคิดน้อยและโหดเหี้ยมนัก ตัวประหลาดเช่นนี้โผล่มาจากที่ไหนกัน?
จินชิงหยางหวาดกลัวจนกรีดร้องเสียงเกรี้ยวกราด “เฉินซี หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดในโลกจะช่วยคุ้มกะลาหัวเจ้าได้อีกแล้ว!”
เฉินซียังคงนิ่งเงียบ ไม่มีแม้ความเมตตาใดจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั่น คำขู่พวกนั้น ไม่ได้มีค่าสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เฉินซีตั้งใจจะหยุดการต่อสู้ไว้เท่านี้ ดวงตาคมกริบเพ่งมองไปยังระยะไกล
ไม่นานนักเขาก็ถอนสายตากลับมามองทั้งสองที่ยืนตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และหันหลังจากไป
“ไปกันเถอะ!” ครู่ถัดมา เฉินซีก็ได้พาเถาตงและเวยจื่อฝูที่กำลังงุนงงต่อสถานการณ์เบื้องหน้าเดินทางออกไป และหายไปจากที่แห่งนั้นด้วยความรวดเร็ว
“สหายเต๋าผู้นั้นถอยไปแล้วจริง ๆ…” เยว่หรูฮวาชะงักด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงว่าตนได้เห็นจิตสังหารของเฉินซีกับตาจริง ๆ!
แต่ทำไมถึงยอมรามือไปง่าย ๆ เช่นนี้?
“หึ! เขาก็แค่ใจไม่กล้าพอเท่านั้น!” จินชิงหยางกัดฟันกรอดขณะมองดูแขนที่ขาดสะบั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคืองขัด
“ถ้าอย่างนั้น เพราะเหตุใดกัน?” จินชิงหยางขมวดคิ้ว
หวือ!
ตอนนั้นเอง คลื่นพลังผันผวนปะทุตัวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็มีกลุ่มคนมากกว่ายี่สิบคนปรากฏตัวขึ้น และคนที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้นทำเอาพวกเขาทั้งสองต้องตะลึงลาน กงเหย่เจ๋อฟูนั่นเอง!
เมื่อเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางเห็นคนเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเขาก็สบตากันอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดเฉินซีจึงได้ยอมจากไปแต่โดยดี
“ให้ตายเถิด!”
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”
“พี่หรูฮวา พี่ชิงหยาง พวกท่านทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง… เหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?”
“ใครมันเป็นคนทำเช่นนี้?”
เมื่อกลุ่มของกงเหย่เจ๋อฟูได้เห็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยการนองเลือด ก็พากันแตกตื่น กระทั่งใบหน้ายังอาบไปด้วยความตึงเครียดอย่างถึงที่สุด
พวกเขาทั้งหมดได้รวมตัวเป็นพันธมิตรกันมานานแล้ว หลังจากเข้าไปในแดนรากบรรพกาล พวกเขาก็แบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่มเพื่อตามหารากเต๋าบรรพชน กระนั้นก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มของเยว่หรูฮวาจะพบพานกับเหตุการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากกว่าสิบคนที่ถูกปลิดชีพ แม้แต่เยว่หรูฮวาและจินชิงหยางก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งนี้ทำให้กงเหย่เจ๋อฟูโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
หัวใจของเยว่หรูฮวามีเพียงความระทมขมขื่น หากสุดท้ายก็เปิดปากเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย
ยามนี้ เขาไม่คิดจะรักษาหน้าของตัวเองอีกแล้ว แน่นอน หน้าของเขามันเสียไปหมดตั้งแต่เผชิญกับความพ่ายแพ้อันน่าสังเวชนั่นเป็นที่เรียบร้อย
เฉินซี!
เมื่อได้ยินว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากน้ำมือของคนเพียงคนเดียว พวกเขาก็อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ใช่ว่าเรื่องนี้หลุดมาจากปากของเยว่หรูฮวา ก็คงไม่เชื่อ
คงจะไม่ใช่… เจ้าหนุ่มรูปงามที่คอยตามพะเน้าพะนอแม่นางเยียนหรานหรอกนะ? เขาจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในเมื่อสามารถทำเรื่องพรรค์นี้ได้ เหตุใดจึงไม่มีชื่ออยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเล่า?
“เฉินซี…” กงเหย่เจ๋อฟูขมวดคิ้ว ภาพของร่างสูงนั่นลอยเข้ามาในใจอย่างไม่รู้ตัว หรือข้าจะประเมินเขาต่ำเกินไป? เสียงแผ่วเบาพึมพำกับตัวเอง
เขาไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยเลยว่า เมื่อเจิ้นหลิวชิงที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ได้ยินชื่อนี้ ความงามหนึ่งก็แวบขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตาที่ทอประกาย ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป
“ใช่ เป็นเขานั่นแหละ” จินชิงหยางพูดทั้งขบกรามแน่น “จริงที่ข้าไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าความแข็งแกร่งของสหายเต๋าผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่พี่หรูฮวากับข้าก็ยังไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย หากให้ข้าประเมิน เกรงว่าความแข็งแกร่งของเขาเพียงพอที่จะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณด้วยซ้ำ!”
สิบอันดับแรก!
หัวใจของผู้ฟังกระตุกวูบไหว นี่เจ้าคนที่โผล่มาอย่างไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้จะน่าเกรงขามได้ถึงเพียงนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?
“ฮ่า ๆ พอพวกท่านพูดมาเช่นนี้ ข้าเองก็ชักจะสงสัยแล้วสิ” ดวงตาของกงเหย่เจ๋อฟูอาบแสงเยือกเย็น
ครู่ถัดมา ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะสงบสติอารมณ์ลง “ตอนนี้เรามาหาสถานที่ให้พวกท่านทั้งสองได้พักผ่อนในขณะที่เราออกตามหารากเต๋าบรรพชนกันเถอะ อย่างไรก็ขอให้พวกท่านพยายามฟื้นฟูตัวเองจากอาการบาดเจ็บให้หายก่อนที่รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลจะปรากฏตัวขึ้น” เสียงของเขากระชับ รวดเร็ว
คนอื่น ๆ พยักหน้ารับ
“สำหรับเจ้าหนุ่มเฉินซีนั่น… ข้าจะมองหาโอกาสในภายหน้าเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้านั่นยอดเยี่ยมอย่างที่กล่าวขวัญหรือไม่!” ขณะที่กงเหย่เจ๋อฟูพูด เขาก็มองเจิ้นหลิวชิงคล้ายจะค้นหาบางสิ่ง ครั้นเมื่อพบเพียงสีหน้าที่ดูไม่แยแส เขาก็อดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดนั้นไป
…
ในส่วนลึกของภูเขารกร้างตามแนวเขตแดนของแดนรากบรรพชน
หวือ!
คลื่นแห่งความผันผวนปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นร่างของเฉินซี เถาตง และเวยจื่อฝูจะปรากฏขึ้น
“กงเหย่เจ๋อฟู…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้สังหารกงเหย่เจ๋อฟูในยามนี้ หากทำเช่นนั้น แน่นอนว่างานที่จักรพรรดินีอวี้เชอมอบหมายก็จะเป็นอันสำเร็จ และสามารถค้นหาความตั้งใจจริง ๆ ของเจิ้นหลิวชิงได้
โชคไม่ดีที่จังหวะเวลาไม่เหมาะสมสักเท่าไร เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองและคนอื่น ๆ แล้ว เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและทำอะไรไปโดยมุทะลุได้
“พวกเราไปหาที่พักผ่อนสักหน่อย แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น” เฉินซีส่ายหน้าสะบัดความคิดวุ่นวายในใจ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กลับคืนมาดังเดิม