บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1681 เดชกระบี่อันชวนตะลึง
………………..
บทที่ 1681 เดชกระบี่อันชวนตะลึง
ความรู้สึกลึกลับอันเกาะกุมหัวใจ แท้จริงมาจากเจตจำนงกระบี่ ณ สุดที่โล่งนี้!
ยิ่งกว่านั้น เจตจำนงกระบี่นั่นยังดูคุ้นเคยนัก….
เพียงพริบตา เฉินซีก็ตัดสินได้ว่าเจตจำนงกระบี่นั้น แท้จริงเหมือนกับมรดกจากกระบี่เสียหายเปื้อนเลือดที่เขาได้มาทุกประการ!
วิ้ง!
ทันใดนั้น หนึ่งกระบี่ขับขานประหนึ่งตื่นจากนิทราอันยาวนาน แล้วแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวเกินบรรยายก็พุ่งทะยานกวาดกระหน่ำ
เพียงพริบตา ฟ้าดินหม่นรัศมี หมู่เมฆรอบทิศแหลกสลาย
ตู้ม!
ซากสังขารบรรพเทวานับไม่ถ้วนซึ่งยืนเรียงดุจรูปสลักกลางที่โล่งกระทั่งคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง ร่างของพวกมันสั่นสะท้าน
เจตจำนงกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นให้บรรยากาศเช่นจักรพรรดิกระบี่สูงสุด ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้โลกหล้าและสรรพสิ่งต้องก้มหัวสิโรราบ
เฉินซีรู้สึกเหมือนทั้งร่างเกร็งนิ่ง ผิวกายทุกคืบชุ่นเจ็บแปลบเหมือนถูกทิ่มแทง แม้จะโคจรการบ่มเพาะอย่างเต็มกำลัง เขาก็ยังรู้สึกประหนึ่งดวงวิญญาณเจียนถูกสะกดนิ่ง
พริบตานั้น เกิดกระทั่งความคิดชั่ววูบ อยากคุกเข่าลงกราบกราน
เจตจำนงกระบี่นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป เหมือนนายเหนือสรรพสิ่ง เป็นดั่งมหาเทวาสูงสุด ให้ความกดดันครองโลกา เหนือใดตราบกาลนาน
หากเฉินซีไม่ได้บ่มเพาะสัจหฤทัยสูตรจนสร้างพลังดวงใจขั้นต้นได้ และหากเต๋าแห่งกระบี่ไม่บรรลุขั้นแรกของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ เขาคงไม่อาจทานทนมันได้เลย!
วิ้ง!
เสียงกระบี่ครวญดังสนั่นสะท้านทั่วเก้าชั้นฟ้า กึกก้องในฟ้าดิน แผลงฤทธิ์รุนแรงขึ้นอีก
ขณะนี้ เฉินซีรู้สึกอึดอัดนัก ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้เห็นหนึ่งกระบี่ลอยขึ้นสู่ฟ้าบนที่ราบ ณ สุดฟากฝั่ง
กระบี่เล่มนี้ไม่ได้เจิดจรัส กลับกัน มันสุดแสนธรรมดา ตัวกระบี่หมองมัวดำด่าง บางส่วนกระทั่งไม่สมประกอบ ทว่าอำนาจกลับโอ่โถงยิ่งใหญ่ ดุดัน เก่าแก่ ให้บรรยากาศแห่งยุคหม่านกู่ ณ บรรพกาล
ดุจกษัตริย์จักรพรรดิไร้เทียมทาน แม้อาภรณ์ที่สวมใส่จะเรียบง่ายธรรมดา ก็ไม่อาจปกปิดสง่าราศีเหนือสรรพสิ่งได้ ยังคงดูยิ่งยงผ่าเผยตราบนิรันดร์!
เฉินซีเคยเห็นกระบี่เหล็กไม่สมประกอบเล่มนี้ มันเหมือนกระบี่เหล็กในแผนภาพกระบี่เสียหายเปื้อนเลือดนั่นไม่มีผิด
ถึงขนาดที่แรงกดดันยังให้ความรู้สึกคุ้นเคย ชายหนุ่มจมในภวังค์อดนึกถึงเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึงเหล่านั้นขึ้นมาไม่ได้….
ในดาราจักรอันมืดมิดไร้ขอบเขต หนึ่งร่างสูงยืนมือไพล่หลัง กระบี่เหล็กเล่มหนึ่งปักบนพื้นแทบเท้า….
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฉินซีก็หอบหายใจหนักหน่วง เขาจำได้ชัดเจนว่าชายในนิมิตนั้นเคยใช้กระบี่เล่มนี้ล้างจักรวาล ขยี้สุญตาไร้ขอบเขต กำจัดตัวตนยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวมากมาย กล่าวได้ว่าทรงพลังไร้เทียมทาน!
แต่ไม่ใช่ว่า กระบี่นี้สาบสูญไปพร้อมชายลึกลับในดาราจักรมืดดำนั่นแล้วหรือ? แล้วเหตุใดมันจึงมาอยู่ที่นี่?
เดี๋ยวก่อน! หรือว่าซากโบราณเทวาล่วงลับ… จะเกิดจากดาราจักรอันมืดมิดนั่น?
หัวใจของเฉินซีเต้นโลด ย้อนนึกถึงบางสิ่งได้ในเฉียบพลัน
ที่นี่คือแดนรากบรรพกาล ณ ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ จากตำนาน เล่ากันว่าที่นี่คือที่พำนักของปฐมเทวากลุ่มแรกซึ่งเกิดจากความโกลาหลยุคหมานกู่ หลังจากนั้น มันก็เผชิญศึกสะท้านโลกหล้า หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังไพศาล….
หรือศึกสะท้านโลกหล้านั้นจะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างชายลึกลับและตัวตนอันโดดเด่นเหล่านั้น?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ได้หมายความหรือว่าชายลึกลับผู้นั้นน่าจะเป็นหนึ่งในทวยเทพผู้พำนักอยู่ที่นี่ในกาลก่อน?
กระบี่เหล็กเสียหายทะยานเวหา ลอยเข้ามาใกล้ ขณะที่พลังยิ่งทวีความแข็งแกร่ง ยิ่งกว่านั้น ปราณน่าสะพรึงกลัวยังพล่านพุ่งดุจพายุ
ซากสังขารบรรพเทวานับไม่ถ้วนซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยทันที!
เหตุการณ์นี้ทำให้เฉินซีตะลึงถึงขนาดที่ไม่กล้าครุ่นคิดเรื่องใดต่อ เพราะที่นี่มีสัตว์ประหลาดอันเทียบชั้นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอยู่มากมาย แต่พวกมันกลับถูกแรงกดดันจากกระบี่เหล็กนั่นทำลายจนสิ้น!
การจะทำเช่นนี้ได้ ต้องมีอำนาจน่าสะพรึงกลัวเพียงไรกันแน่? เฉินซีตั้งใจจะหลบอย่างเต็มกำลังโดยสัญชาตญาณ ทว่าเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ยามแรงกดดันโถมเข้าใส่ มันกลับไม่สร้างผลกระทบใด ๆ ประหนึ่ง สายลมโชยผ่านเท่านั้น!
เขาอดผงะไปไม่ได้
ตู้ม!
พริบตาต่อมา แรงกดดันนี้ไม่ได้จางหาย ทว่ามันกวาดไปรอบ ๆ โดยใช้ที่ราบอันเปิดโล่งนี้เป็นศูนย์กลาง ขยี้ชั้นมิติ ม่านหมอกและปราณหมานกู่วิเวกลงชั้นแล้วชั้นเล่า นอกจากนั้น มันยังแผ่ออกไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดจบ
เคลื่อนผ่านที่ใด ก็ดูเหมือนพายุซัดสาดกวาดสรรพสิ่ง ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง!
ด้วยประสาทสัมผัสร้ายกาจของเฉินซี เขายังอดขวัญผวาไม่ได้ เพราะเพียงชั่วหนึ่งอึดใจ แรงกดดันนั้นก็กวาดออกไปในระยะแสนลี้ ทุกซากพินาศ ม่านหมอกและซากสังขารบรรพเทวาใด ๆ ล้วนถูกกำจัดสิ้น!
ทว่าทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นจากแรงกดดันของเสี้ยวเจตจำนงกระบี่ซึ่งออกมาจากกระบี่เหล็กไม่สมประกอบนี่!
สิ่งนี้เกินความคาดฝันของเฉินซี แข็งแกร่งกว่ากระบี่พิฆาตฟ้าและกระบี่มลทินอเวจีที่เขาเคยพบเจอมากกว่าสองเท่าเสียอีก!
หากมันสมบูรณ์ดี กระบี่นี้จะน่ากลัวเพียงไรเชียว?
เฉินซีไม่กล้าคาดฝัน
ไม่นานจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นหยาดโลหิตแดงสดกลมเกลี้ยงเช่นไข่มุกลอยขึ้นจากพื้นดิน มารวมตัวกัน ณ กระบี่เหล็กเสียหายคล้ายถูกเชื้อเชิญ
หากเข้าใจไม่ผิด มุกโลหิตเหล่านี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยซากสังขารบรรพเทวาซึ่งถูกแรงกดดันจากกระบี่บดขยี้ไป และมีจำนวนมหาศาลนับหมื่น ๆ หยด!
มีกระทั่งมุกโลหิตซึ่งพุ่งมาจากแสนไกลบ่อยครั้ง พวกมันทุกหยดล้วนมีกระบี่เหล็กเสียหายเป็นเป้าหมาย ประหนึ่งถูกชักจูงมาหา
นี่คือ….
หรือมันจะต้องการพลังอย่างเร่งด่วนยามฟื้นคืน จึงปล่อยแรงกดดันออกมาฆ่าซากสังขารบรรพเทวาเหล่านั้นเพื่อบำรุงตนเอง?
เพราะเขาผงะไปยามพบว่ามุกโลหิตเหล่านั้นพุ่งเข้าไปในพื้นผิวกระบี่เหล็ก ตราตัวเองไว้บนนั้น และกลายเป็นจิตสังหารสั่งสมภายใน และดูจะทำให้กระบี่เหล็กนี้ยังเกิดพลังชีวิตขึ้นมา
ปราณยิ่งใหญ่ของกระบี่เสียหายเปื้อนเลือดยิ่งทวีความแข็งกล้า สะท้านสะเทือนทั่วทิศ!
นี่คือรูปลักษณ์แท้จริงของกระบี่เสียหายเปื้อนเลือด!
เหมือนภาพที่เฉินซีเห็นจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากไม่ผิดเพี้ยน!
ที่แท้ ซากสังขารบรรพเทวาเหล่านั้นฟื้นคืนได้เพราะดูดซับปราณเสี้ยวหนึ่งของกระบี่เสียหายเปื้อนเลือดนี้เข้าไป ทว่ายามนี้ กระบี่เสียหายฟื้นจากนิทรา และเริ่มทวงคืนพลังของมัน….
เพียงพริบตา เฉินซีก็เข้าใจถ่องแท้ ในที่สุดเขาก็ประจักษ์ว่าเหตุใดซากสังขารบรรพเทวาจึงฟื้นคืนได้ไม่จบสิ้น อยู่ยืนยงมาจนบัดนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะปราณจากกระบี่เหล็กเสียหายเปื้อนเลือด!
ลองคิดดู เพียงพลังเสี้ยวเดียวก็ทำให้ซากสังขารบรรพเทวามีอำนาจเทียบชั้นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แค่นี้ก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่ากระบี่เหล็กเสียหายเปื้อนเลือดนี้มีฤทธิ์น่าสะพรึงกลัวเพียงไร
วิ้ง!
ก่อนที่เฉินซีจัได้อนุมานต่อ หนึ่งเสียงกระบี่เสียงก็ดังขึ้นในส่วนลึกของภวังค์ความคิด พร้อมกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่เริ่มสั่นสะท้านส่งวจี
ขณะที่กระบี่เหล็กเสียหายเปื้อนเลือดซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็พลันหายวับไปในอากาศธาตุเช่นกัน
……
“ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะลื่นไหลนัก จนบัดนี้เราก็ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย”
“ตามต่อไป! ที่เขาฉวยไปมันรากเต๋าบรรพชนระดับแปดหนึ่งชิ้น และรากเต๋าบรรพชนระดับเจ็ดสี่ชิ้นเลยนะ เราต้องชิงมันคืนมา และจัดการเจ้าเด็กนั่นให้ได้ก่อนรากเต๋าบรรพชนปฐมกาลจะปรากฏ!”
“บ้าเอ๊ย! เด็กนั่นเหมือนจะมีเคล็ดวิชาบางอย่างที่เลี่ยงการพบเจอจากซากสังขารบรรพเทวาได้ หากเราไล่ล่าเขาต่อไปเช่นนี้ เราจะตามเขาทันได้ยามใด?”
“อย่าห่วงเลย เขาหนีไปได้ไม่นานหรอก!”
ท่ามกลางม่านหมอกไร้สิ้นสุด ลั่วฉ่าวหนง ตี้จวิน และคณะเคลื่อนย้ายสุดความเร็ว ทว่าสีหน้ากลับดำคล้ำหม่นหมองเล็กน้อย
หลังหนึ่งก้านธูปดับมอด พวกเขาก็ยังไม่อาจเห็นแม้แต่ร่องรอยของเฉินซี หากเป็นเพียงแค่นั้นก็ยังพอทำเนา
แต่พวกเขาก็ต้องรำคาญใจเมื่อต้องรับการจู่โจมของซากสังขารบรรพเทวาไปตลอดทาง ความเร็วคืบหน้าจึงถูกกระทบหนักหนาอย่างเกินทานทนนัก
ขณะนี้ กระทั่งลั่วฉ่าวหนงยังหงุดหงิดใจยิ่ง อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย
“เป็นเหยื่อที่น่าสนใจนัก หากจับได้ ข้าจะเล่นกับเขาให้ดี คงน่าตื่นเต้นไม่น้อย” ข้างกันนั้น ตี้จวินหัวเราะคิกอย่างปรีดา เขาเลียริมฝีปากแดงสดดุจแต้มชาด เสียงนุ่มนวลคมกริบ แม้จะมีรอยยิ้ม ทว่าผู้อื่นกลับเสียวสันหลังวาบ
กระทั่งลั่วฉ่าวหนงยังอดรู้สึกหนาวหลังวาบไม่ได้ เขาตระหนักดีว่ายามตี้จวิน คนบ้าผู้นี้เริ่ม ‘เล่น’ ผลที่ตามมาจะร้ายกาจน่าสะพรึงกลัวต่อศัตรูยิ่งนัก เป็นประสบการณ์สุดแสนเวทนา ไม่อาจหนีได้แม้จะเผชิญการเหยียดหยามเหยียบย่ำสารพัดเพียงไร
ตู้ม!
ขณะนั้นเอง เสียงสนั่นชวนสะพรึงก็บังเกิดขึ้นจากไกล ๆ ให้ความรู้สึกดุจหนึ่งกองทัพกรีธามาจากหมู่หมอกทึบ
ม่านตาของลั่วฉ่าวหนงหดตัว แล้วหยุดฝีเท้าโดยพลัน กล่าวขึ้นเสียงเครียด “แย่แล้ว ถอยเร็ว!”
ทุกคนต่างผงะ ซากสังขารบรรพเทวาอีกฝูงหรือ?
“ไอ้พวกโง่! รีบหนีเร็วเข้า!” ลั่วฉ่าวหนงหันหลังตั้งใจวิ่งหนี แต่เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ยังคงนิ่งทื่อ เขาก็อดขึ้นเสียงอย่างเข้มงวดไม่ได้
สีหน้าเคร่งขรึม ทำให้หัวใจคนอื่น ๆ สั่นสะท้านทันใด แม้ไม่อาจจับต้นชนปลาย แต่ก็ยังหันกายเผ่นหนีไปกับลั่วฉ่าวหนงตามสัญชาตญาณ
วูบ!
มิติสั่นสะท้าน พวกเขาถอยหนีสุดกำลัง
หนึ่งแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวเกินนิยามเคลื่อนทะยานเช่นมีดคม เฉือนมิติเป็นเสี่ยง ขยี้ปราณหมานกู่วิเวก ไม่ว่าผ่านไปที่ใด ล้วนเหลือเพียงความพินาศตามหลัง!
มันน่ากลัวเสียจนเหมือนเคียวในมือเทพมรณะเก็บเกี่ยวชีวิต ทำให้พวกเขาขวัญผวาเสียจนลั่วฉ่าวหนงไม่ต้องเร่ง พวกเขาก็จ้ำเท้ากันสุดชีวิตแล้ว
“นั่นมันอะไรกันแน่?”
“น่ากลัวชะมัด! ปราณนั่นน่ากลัวกว่ายามบรรพบุรุษตระกูลข้าพิโรธเป็นสิบเท่า มีแต่ตายกับตายชัด ๆ!”
สองชั่วยามผ่านไป ในที่สุดลั่วฉ่าวหนงและพวกก็หนีจากบริเวณอันปกคลุมด้วยปราณหมานกู่วิเวกมาได้ หวนคืนสู่บริเวณแดนรากบรรพกาลที่พวกตนคุ้นเคย
ขณะนี้ สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงงุนงง หลายคนกระทั่งหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอด รู้สึกเหมือนเพิ่งไปเดินเล่นบนเส้นแบ่งเป็นตายกันมา
พวกเขาทั้งหลายมองไปไกล จนกระทั่งยามนี้ ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
ตู้ม!
ทันใดนั้น มิติอันห่างไกลก็ระเบิดเป็นผุยผง แล้วปราณหมานกู่วิเวกก็กู่คำรามกวาดเข้ามา แรงกดดันอันน่าสะพรึงสุดขีดนั้นยังคงถาโถมเข้ามาใกล้
“บ้าเอ๊ย! มันยังไม่หยุดอีก!” ลั่วฉ่าวหนงตกใจ ก่นด่าไม่หยุดปาก แล้วพาคณะหนีต่อไป