บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1682 มรดกของแผนภาพวารีหลาก
บทที่ 1682 มรดกของแผนภาพวารีหลาก
ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น ในขณะที่ท้องฟ้ามืดสลัวดับแสงลง
เวลานี้ ทั่วทั้งแดนรากบรรพกาลเปี่ยมล้นด้วยแรงกดดันอันน่าสะท้านขวัญ ซึ่งพัดโหมกระหน่ำโดยรอบประหนึ่งพายุร้าย
ไม่ใช่แค่กลุ่มของลั่วฉ่าวหนงเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ในแดนรากบรรพกาลก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
“นี่มันอะไรกัน?”
“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง!”
“ไฉนเหตุไม่คาดคิดเช่นนี้จึงเกิดขึ้น”
“รีบหนีไป! เร็วเข้า!”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่อาจใส่ใจที่จะค้นหารากเต๋าบรรพชนต่อไปได้ สีหน้าของทั้งหมดแปรเปลี่ยนตึงเครียด และรีบหลบเลี่ยงไปในระยะไกล ทุกคนล้วนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง และไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
แต่ในไม่ช้า พวกเขาสังเกตเห็นว่าแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่พุ่งออกมาจากทุกทิศทาง ได้เคลื่อนมาบรรจบกันที่ศูนย์กลางของแดนรากบรรพกาล
จู่ ๆ ท้องฟ้าก็มืดลง ฟ้าร้องและอสนีบาตส่งเสียงดังกึกก้องกังวาน ในขณะที่เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่น สายฟ้าที่หนาและใหญ่ก็เริงระบำอย่างดุเดือดไปทั่วฟ้าดิน ประหนึ่งอสรพิษสีเงินมหึมา
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องดุจเสียงคำรามของเทพอสูร ละม้ายคล้ายคลึงกลองที่อยู่ในมือของเทพแห่งสรวงสวรรค์ ส่งผลให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่รายรอบหวาดกลัว
ปรากฏการณ์นี้ ถือว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
ตู้ม!
แสงสีม่วงพร่างพรายพลันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากใจกลางพายุฝนฟ้าคะนอง มันเปล่งรัศมีอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสง่างาม ดั่งไร้ตัวตน
มันเปล่งเสียงคลื่นสวดภาวนาทางจิตวิญญาณ เหมือนกับท่วงทำนองของมหาเต๋าที่สะท้อนกังวาน ประหนึ่งเทพหม่านกู่กำลังท่องคัมภีร์อยู่ ทั้งหมดนี้ลอยละล่องไปในฟ้าดิน และเผยให้เห็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่จู่โจมเข้าสู่หัวใจ
ณ เวลานี้ ท้องฟ้าที่มืดมิดแต่เดิมก็กลายเป็นสีม่วงมัวหมอง ในขณะที่อสนีบาตที่รุนแรงแต่เดิมได้กลายเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่คดเคี้ยว รายล้อมรอบแสงสีม่วงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในขณะนี้ แสงสีม่วงได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ลำแสงอสนีบาตรายล้อมอยู่รอบ ๆ พร้อมกับเสียงสวดภาวนาที่ฟังดูเหมือนท่วงทำนองของธรรมชาติลอยละล่องไปในอากาศ เผยกลิ่นอายของความเงียบสงบ เคร่งขรึม ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่
ในขณะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างตะลึงลาน เมื่อสักครู่นี้ มันเหมือนกับจุดสิ้นสุดของโลกได้มาถึง แต่ในขณะนี้ ฉากศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ปรากฏขึ้น และมันทำให้พวกเขารู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
“แสงสีม่วงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั่น อาจเป็น… สถานที่ซึ่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าอาศัยอยู่?” ใครบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า!? ใช่แล้ว มีแต่การปรากฏตัวของรากเต๋าบรรพชนที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้นั้น ที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้!”
“แต่ตามการคาดการณ์ของเรา รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลควรจะปรากฏขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงปรากฏตอนนี้เล่า?”
“มันเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น และไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนบัดนี้ การปรากฏตัวของแดนรากบรรพกาลไม่เคยคงที่ มิฉะนั้นจะถูกเรียกว่าเป็นสิ่งที่อุบัติขึ้นโดยวาสนาได้อย่างไร?”
“อย่างไรก็ตาม ยามที่แดนรากบรรพกาลปรากฏตัวในครั้งนี้ ก็ค่อนข้างแปลกเล็กน้อยจริง ๆ ตามคำแนะนำของผู้อาวุโสของนิกายข้า พวกเขาไม่เคยกล่าวถึงแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงนั้นเลย แม้กระทั่งปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน!”
“อย่าได้สนใจเรื่องนั้น รีบดำเนินการเถิด! ยามนี้ การแสวงโชคได้ปรากฏขึ้นแล้ว คงจะน่าเสียดายหากเราพลาดไป”
…
แต่ในไม่ช้า ทุกคนต่างต้องหยุดชะงัก สีหน้าทั้งประหลาดใจและสับสนเล็กน้อย
เพราะเมื่อเคลื่อนเข้ามาจนอยู่ห่างจากลำแสงสีม่วงนั้นสองร้อยห้าสิบลี้ ปรากฏสนามพลังที่มองไม่เห็นขวางอยู่ตรงหน้า กั้นไม่ให้ผู้ใดเข้าไป
บางคนปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้ และพยายามจะข้ามผ่านมันด้วยกำลัง แต่ก็ถูกสายฟ้าสีม่วงที่โผล่ออกมาจากอากาศถล่มเข้าใส่ แม้จะเป็นตัวตนชั้นยอดในหมู่เทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่แท้จริงแล้ว พวกเขากลับไม่สามารถต้านทานสายฟ้าสีม่วงเหล่านี้ได้เลย ทั้งยังถูกกระแทกจนกระอักเลือดและโซเซกลับไป มิหนำซ้ำ หากไม่หลบเลี่ยงได้ทันกาล ก็คงจะสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนแตกตื่นทันที ความตื่นเต้นในใจถดถอยไปมาก ดวงตาของแต่ละคนทอประกายเคร่งเครียด ขณะที่จับจ้องไปยังแสงสีม่วงที่อยู่ในระยะไกล
โชคลาภที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้เช่นนี้ ย่อมไม่ง่ายจะที่ฉกฉวย
ทว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะหยุดฝีเท้าอยู่เพียงเท่านี้ และเฝ้าดูอย่างจนปัญญา
โครม!
ทันใดนั้น ดาบโค้งสีแดงเลือดก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และพุ่งลงมาอย่างดุเดือด
โครม!
สายฟ้ากระแทกดาบโค้งสีแดงเลือดอย่างจังจนมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และถูกระเบิดจนกระเด็นออกไป มิหนำซ้ำ ตี้จวินยังได้รับผลสะท้อนกลับ จนร่างโซเซอย่างควบคุมไม่ได้ ในขณะที่สีหน้าก็ซีดเซียว
ทุกคนตะลึงลานถ้วนหน้า ตี้จวินเป็นมหาเทวาวิญญาณอันดับที่สิบสองในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถผ่านสนามพลังนี้ได้ และนี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันน่าพรั่นพรึงเพียงใด
“ฮึ่ม! ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่สามารถทำลายเจ้าได้!” สีหน้าของตี้จวินมืดหม่น พลางกัดฟันแน่นและกำลังจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับถูกลั่วฉ่าวหนงห้ามไว้
“ไม่จำเป็นต้องกระทำการต่อ แดนรากบรรพกาลยังไม่ปรากฏ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเจ้า แม้แต่เราก็ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ ต่อให้เราท่านผนึกกำลังแล้วก็ตาม” ดวงตาของลั่วฉ่าวหนงจับจ้องไปที่แสงสีม่วงในระยะไกล พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“อย่าลืมว่าแดนรากบรรพกาลไม่ได้มีเพียงแสงสีม่วงเพียงสายเดียวเท่านั้น ตามบันทึกในตำราโบราณ มันมีตำหนักเต๋านภาม่วงอยู่ด้วย สถานที่นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของ ‘จักรพรรดิ’ ของเหล่าทวยเทพโดยกำเนิดซึ่งถือกำเนิดจากความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ และรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิที่แท้จริงสามารถเกิดได้ที่นั่นเท่านั้น”
คนอื่น ๆ ในกลุ่มพลันเข้าใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
แต่หลังจากนั้น ตี้จวินก็ขมวดคิ้ว “หรือว่าเราต้องรออยู่ที่นี่อย่างขมขื่นเช่นนี้?”
…
ในบริเวณนี้ แสงสีม่วงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่สายฟ้าแวบวาบอยู่รอบด้าน และเสียงสวดมนต์แผ่วเบาที่ฟังดูเหมือนเสียงเพลงของธรรมชาติล่องลอยไปรอบ ๆ
ในทางกลับกัน ในรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้ แสงสีม่วงที่อยู่ใจกลางนั่นถูกปกคลุมด้วยสนามพลังที่มองไม่เห็น และแบ่งแยกผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดออกจากแสงสีม่วง ทำให้ไม่มีใครรุกคืบเข้าใกล้ได้เลย
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่กลุ่มของลั่วฉ่าวหนงที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
แม้แต่กลุ่มของเล่ออู๋เหิน กลุ่มของกงเหย่เจ๋อฟู…. และอีกหลายกลุ่มได้มาถึงแล้ว
พวกเขาล้วนมีความคิดคล้ายคลึงกัน และกำลังเฝ้ารออย่างสงบ ไม่มีใครเต็มใจที่จะจากไป แม้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นจะมีพลังฝีมือด้อยกว่ามหาเทวาวิญญาณ แต่โชคลาภเช่นนี้ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปได้
“เมื่อแดนรากบรรพกาลปรากฏขึ้น ความขัดแย้งที่รุนแรงอย่างยิ่งก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนนี้… เฉินซีอยู่ที่ใดกัน?” คิ้วสีดำสนิทดุจน้ำหมึกของเชินถูเยียนหรานขมวดเข้าหากัน และรู้สึกสับสนอยู่ในใจ ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินนี้กว้างใหญ่มาก ดังนั้นหากกล่าวตามหลักเหตุผลแล้ว เฉินซีย่อมต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน
“หรือจะประสบเหตุไม่คาดฝัน?” อวี๋ชิวจิงเลิกคิ้ว เนื่องจากเขาได้ปล่อยวางต่อเฉินซีแล้ว ดังนั้นจึงยอมรับและถือเฉินซีเป็นสหาย เมื่อเห็นว่าเฉินซียังไม่ได้เร่งรุดมา ก็ร้อนรุ่มกังวลในใจอย่างอดไม่ได้
พลังฝีมือของเฉินซีนั้นแกร่งกล้าสามารถ จนเป็นที่ยอมรับของทุกคนในกลุ่มมานานแล้ว ถึงขั้นที่แม้แต่เล่ออู๋เหินยังยอมรับว่าตนด้อยกว่า หากเฉินซีไม่อยู่ในขณะที่พวกเขาต่อสู้เพื่อแย่งชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า มันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งโดยรวมอย่างไม่ต้องสงสัย
“เราจะรออีกสักระยะหนึ่ง รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลยังไม่ปรากฏมิใช่หรือ? มันไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาสามารถกลับมาได้ทันเวลา” เล่ออู๋เหินยิ้มพลางกล่าว แต่ก็ยังกังวลเล็กน้อย
“ข้าสงสัยว่าตอนนี้ เขาไปอยู่ที่ไหนกัน?” เชินถูเยียนหรานกัดเม้มริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม แล้วพร่ำบ่นด้วยความรู้สึกกังวลในใจ
…
ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกสับสนและตกใจอย่างมาก
จักรวาลที่มืดมน ว่างเปล่า และไร้เสียงอยู่ตรงหน้าเขา มีเพียงร่างไร้ตัวตนที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริงเท่านั้น ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ใจกลางของจักรวาลนี้
ร่างกายของผู้นั้นเต็มไปด้วยแสงที่ดูเหมือนไร้ลักษณ์ ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจน
ทว่าเฉินซีตระหนักได้ทันทีว่า คนผู้นี้คือเจ้าของกระบี่เหล็กเล่มนั้น!
เพราะกลิ่นของร่างนั้นมีพลังเหมือนยุคสมัย ห่างไกลเหมือนเต๋าสวรรค์ และดั้งเดิมเหมือนต้นกำเนิดของเต๋า เมื่อมองจากระยะไกล มันทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเขาเล็กจิ๋วเหมือนมด
น่ากลัวเกินไป!
แม้ว่าเฉินซีจะบรรลุความสมบูรณ์ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่ร่างกายยังคงแข็งทื่อราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเมื่อเผชิญกับร่างนี้
เฉินซีไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร และไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป ความกังวลจึงเข้าเกาะกุมหัวใจ
โชคดีที่ประสบการณ์ตลอดหลายปีและความรู้มากมายทำให้เขาสามารถระบุได้ทันทีว่า แม้ร่างนี้จะเป็นเจ้าของกระบี่เหล็ก แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ และเป็นการดำรงอยู่ที่ก่อตัวขึ้นจากสายใยแห่งเจตจำนงที่ประทับไว้บนกระบี่เท่านั้น
เขาเคยประสบกับสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ เมื่อได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน และเมื่อครั้งที่พบกับเจ้านิกายอำนาจเทวะเหนือด่านที่สามสิบสามของนิกายอำนาจเทวะ
พวกเขาล้วนเป็นเพียงเจตจำนงที่ถูกทิ้งไว้
เห็นได้ชัดว่าร่างของเจ้าของกระบี่เหล็กที่นั่งตรงหน้าก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ฟิ่ว!
ทันทีที่ความคิดของเฉินซีกำลังเตลิด ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นก็ลืมตาขึ้น ทันใดนั้น สายตาประหนึ่งสายฟ้าที่แยกความโกลาหลออกจากกัน เข้าทิ่มแทงทะลุจิตวิญญาณของเฉินซี จนถึงขั้นทำให้ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ในเวลาเดียวกันนั้น ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในใจก็สั่นสะท้าน ทำให้เขารู้สึกราวบรรลุการตรัสรู้อย่างกะทันหัน ในขณะที่ความเข้าใจที่อธิบายไม่ได้ก็บังเกิดขึ้นในจิตใจ
เซวียน ผู้เข้าใจแผนภาพวารีหลากคนที่เจ็ด เทพโดยกำเนิดองค์แรกที่ถือกำเนิดจากความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ และปรมาจารย์แห่งดินแดนเร้นลับหม่านกู่!
ดังนั้นเจ้าของกระบี่เหล็กจึงมีนามว่าเซวียน… เฉินซีรู้สึกตะลึงลานในใจ เขาไม่ได้ตกในที่รู้ชื่อของเจ้าของกระบี่เหล็ก แต่เป็นเพราะเจ้าของกระบี่เหล็กคือผู้บรรลุแผนภาพวารีหลากคนที่เจ็ด!
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าเมื่อในอดีตอันแสนยาวนาน เซวียนผู้นี้ได้บรรลุความลึกซึ้งของแผนภาพวารีหลากเช่นเดียวกับสิ่งที่เฉินซีทำอยู่ตอนนี้ และได้เหยียบย่างขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า!
ในทางกลับกัน มีผู้เยี่ยมยุทธ์หกคนที่ได้รับมรดกของแผนภาพวารีหลากก่อนเซวียนผู้นี้!
แน่นอนว่า เฉินซีไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน!
เพราะเฉินซีรู้เพียงว่าในอดีตอาจารย์ของเขา ซึ่งคือฝูซี ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ได้อาศัยแผนภาพวารีหลากเพื่อทำความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อการทำงานของสวรรค์ ทำให้ฝูซีสามารถเหยียบย่างขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋าได้
………………..