บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1683 เคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย
บทที่ 1683 เคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย
เฉินซีตกใจจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ถ้าเซวียนเป็นผู้บรรลุแผนภาพวารีหลากคนที่เจ็ด แล้วข้า… คือคนที่เท่าใด?
หลังจากนั้น เฉินซีก็หัวเราะเยาะตัวเองอย่างไม่รู้จบ แผนภาพวารีหลากที่เขาได้รับยังคงเป็นเศษเล็กเศษน้อย และยังไม่ได้รวบรวมเป็นแผนภาพวารีหลากที่สมบูรณ์ ดังนั้นเขาจะกล้าจัดอันดับตัวเองได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากคำว่า ‘ปรมาจารย์แห่งดินแดนเร้นลับหม่านกู่’ ทำให้เฉินซีสามารถยืนยันความคิดของตนได้ว่า เซวียนผู้นี้เป็น ‘เทพโดยกำเนิด’ องค์แรกที่ถือกำเนิดจากความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ และจะต้องเป็นเทพที่เคยอาศัยอยู่ที่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ตามตำนานอย่างแน่นอน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ที่ตั้งอยู่ด้านนอกมหาสมุทรสุสานเทวะ และแดนรากบรรพกาลที่มีโชคลาภมายมายนั่น คือบ้านเกิดของเซวียน!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยอารมณ์ ไม่น่าแปลกใจที่ตัวอักษรลึกลับคำว่า ‘ซากโบราณสถาน’ และ ‘รกร้าง’ จะปรากฏบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และได้รับมรดกของกระบี่เปื้อนเลือดเล่มนั้นทันทีที่มาถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่…
ปรากฏว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเซวียน ผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากคนที่เจ็ด!
พวกเขาคือผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากอีกหกคนก่อนเซวียนผู้นี้หรือไม่?
หรือบางทีอาจมีความลับอื่น ๆ ซ่อนอยู่ในแผนภาพวารีหลาก?
“สหายเต๋าเจ้ามาแล้ว” เมื่อความคิดเหล่านี้พลุ่งพล่านอยู่ในใจ เซวียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าก็กล่าวขึ้นทันที น้ำเสียงอ่อนโยน กระจ่างราวกับน้ำพุใสที่ทำให้หัวใจสงบ
เฉินซีตะลึงลาน จากนั้นก็ประสานมือคำนับเงียบ ๆ
เขารู้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของเจตจำนงที่เซวียนทิ้งไว้เบื้องหลัง มันไม่มีสติปัญญาหรือจิตสำนึกใด ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องฟัง
“น่าเสียดาย เพื่อไล่ตามวิถีสู่จุดสูงสุดของเต๋า ข้าจึงไม่สามารถพบกับสหายเต๋าด้วยตนเองได้ และข้าได้ทิ้งทุกอย่างที่ข้าได้เรียนรู้ ทุกสิ่งที่ข้าคิด และทุกสิ่งที่ข้าเข้าใจไว้ที่นี่แล้ว”
“นี่คือภารกิจของผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากทุกคน เมื่อเราได้เห็นความหมายที่แท้จริงผ่านวิถีสู่จุดสูงสุดของเต๋า ก็ถึงเวลาที่เราต้องจากไปเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้จักต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพื่อที่จะชี้นำผู้ที่มาภายหลัง เพื่อส่งต่อมรดกของเรา”
“หากสหายเต๋า สามารถก้าวเข้าสู่วิถีสูงสุดของเต๋าได้สักวันหนึ่ง สหายเต๋าย่อมจะต้องทำตามสิ่งที่ข้าทำเช่นกัน เจ้าจะต้องละทิ้งเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดทั้งหมด ส่งต่อผลแห่งเต๋าของเจ้า และป้องกันไม่ให้มรดกสืบทอดสิ้นสุดลง”
ร่างกายของเซวียนเต็มไปด้วยแสงที่ไร้ตัวตน ในขณะที่เสียงอันอบอุ่นและชัดเจน ดังก้องไปทั่วจักรวาลอันมืดมิดนี้ประหนึ่งน้ำพุใสที่ไหลริน
ก่อนจะทันตอบสนองใด ๆ จู่ ๆ เซวียนก็ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋า ถนอมตัวด้วย”
ขณะที่กล่าว เซวียนก็เหยียดนิ้วออกแล้วชี้ไปที่กึ่งกลางหน้าผากของเฉินซี
โอม!
เฉินซีรู้สึกว่ามีเสียงหึ่ง ๆ ในหัว และรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า มันทำให้วิสัยทัศน์มืดดับลง สิ้นสติทันที
…
ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน
ความฝันนี้ ปราณกระบี่หลายสายส่งเสียงหวีดหวิวไปในอากาศ บางครั้งพวกมันดูเหมือนจะถาโถมดุจมหาสมุทรที่บดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้า บางครั้งพวกมันก็เคลื่อนคล้อยไปอย่างไร้ร่องรอยดุจแสง และไม่อาจถูกตรวจจับได้ บางครั้งพวกมันสร้างความสมดุลระหว่างหยินและหยาง ทำให้พวกมันกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจสั่นคลอน…
ปราณกระบี่ทั้งหมดนี้น่ากลัวยิ่ง พวกมันเปี่ยมด้วยอานุภาพของจักรพรรดิ และควบคุมเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล ส่งเสียงหวีดหวิวและพุ่งทะยานไปเป็นมวลหนาแน่นที่ไร้ขอบเขต ทั้งยังท่วมท้นวิสัยทัศน์ของเขา ทำให้ไม่สามารถละสายตาจากพวกมันได้
หลังจากนั้น ปราณกระบี่ทั้งหมดนี้ก็เปลี่ยนทิศทาง เข้าโจมตีเขาพร้อม ๆ กัน ดั่งพายุกระบี่กำลังร่อนลงมา และเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีใจสั่นสะท้าน เคลื่อนไหวหมายหลบหนี แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาถัดมา ร่างกายของเขาจมอยู่ภายใต้ปราณกระบี่เหล่านั้น
จู่ ๆ เฉินซีก็ได้สติและลืมตาขึ้น
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น ทำให้เฉินซีอดระบายลมหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้ ในขณะที่ดวงตายังทอประกายหวาดกลัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันเมื่อครู่นั้น น่าพรั่นพรึงสยองขวัญเกินไปจริง ๆ และถ้ามันเกิดขึ้นจริง เฉินซีก็ไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะสามารถอยู่รอดได้
วู~ วู~ วู~
เฉินซียังคงยืนอยู่บนลานโล่งนั้น สายลมเหน็บหนาวพัดผ่าน ส่งเสียงหวีดหวิดอันเยือกเย็น
ทว่ามวลซากสังขารบรรพเทวาและกระบี่เปื้อนเลือดที่ปลายสุดลานโล่งนั้นได้หายไปแล้ว
ขณะที่จ้องมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เฉินซีก็มึนงงอยู่ในใจ หากจิตใจไม่กระจ่างแจ่มชัดในยามนี้ ก็เกือบคิดว่าทุกสิ่งที่ประสบเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง
หืม? ทันใดนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่า กระบี่เปื้อนเลือดได้ปรากฏในห้วงจิตสำนึกของเขา และมันลอยอยู่ที่นั่น พลางปล่อยคลื่นพลังผันผวนที่คลุมเครือ
โครม!
มันเป็นรูปแบบหนึ่งของเจตจำนงกระบี่ แตกต่างจากกระบี่ดวงใจลี้ลับ แต่ดูเหมือนจะถูกตัดออกจากผ้าผืนเดียวกัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือมันมีกระบวนท่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เมื่อปราณกระบี่ปรากฏขึ้น มันกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร แข็งกร้าวเหมือนหินผา และเปี่ยมด้วยพลังอันกล้าแกร่งที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่ง!
ความเข้าใจพลุ่งพล่านอยู่ในใจ ชายหนุ่มตระหนักดีว่ากระบวนท่าที่ลึกล้ำนี้ คล้ายกับ ‘สงัดก่อนพายุโถม’ ที่เขาบัญญัติขึ้นเองอย่างน่าตกใจ แต่กระบวนท่านี้ กลับถูกขัดเกลาและเปี่ยมพลังอันแข็งกล้ากว่า
เคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย ผาสมุทร!
ฟึ่บ!
ปราณกระบี่อีกเล่มปรากฏขึ้น มันเหมือนกับแสงที่สาดส่องออกมา ซึ่งเคลื่อนไหวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัส รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันไม่ได้ลี้ลับและโหดเหี้ยมเหมือนกระบวนท่าสะบั้นไร้ลักษณ์ ทั้งยังมีกลิ่นอายไร้ตัวตนและคลุมเครือแทน
เคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย ประทีปเคลื่อนคล้อย!
ในเวลาต่อมา กระบวนท่ากระบี่ที่แตกต่างกันอีกสองกระบวนท่าก็ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระบวนท่าหนึ่งแม่นยำเหมือนกับการที่คนขายเนื้อชำแหละวัว มันเปี่ยมสมาธิและรวดเร็วจนถึงขีดสุด มันถูกเรียกว่ากระบวนท่า เชือดเฉือนกาสร!
ส่วนอีกกระบวนท่าเป็นม่านกระบี่คุ้มกายที่สมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งจุดอ่อนให้ทะลวง ความสามารถในการป้องกันน่ากลัวยิ่ง จนเหมือนกับก้อนหินในกระแสน้ำที่ปั่นป่วน ไม่ว่ากระแสน้ำจะซัดสาดเพียงใด มันก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน และกระบวนท่านี้เรียกว่า โอบวลัย!
เมื่อมาถึงจุดนี้ ความเข้าใจอันทรงพลังและกว้างใหญ่ของเต๋าแห่งกระบี่ได้เปลี่ยนจากซับซ้อนไปสู่ความเรียบง่าย และพวกมันได้หลอมรวมเป็นเคล็ดกระบวนท่ากระบี่ที่แตกต่างกันสี่แบบ
มรดกในเต๋าแห่งกระบี่นี้เรียกว่าเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย และมาจากเซวียน ซึ่งเป็นผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากคนที่เจ็ด มันเป็นรูปแบบหนึ่งของเต๋าแห่งกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาบ่มเพาะมาตลอดชีวิต
หากเคล็ดสัจหฤทัยสูตรและกระบี่ดวงใจลี้ลับที่เฉินซีได้รับจากแผนภาพของกระบี่เปื้อนเลือด ซึ่งเคล็ดวิชาที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัยที่เขาได้รับในตอนนี้ ก็ได้หลอมรวมประสบการณ์ในเต๋าแห่งกระบี่ของเซวียนมาทั้งชีวิต มันวิเศษดั่งผลงานชิ้นเอก ในแง่ของความล้ำค่า มันเป็นคัมภีร์กระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งสามารถกระตุ้นความโลภของผู้เยี่ยมยุทธ์กระบี่ทุกคนในโลกนี้!
…
ในขณะนี้ เฉินซีตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งโดยสมบูรณ์
ร่างสูงใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยเจตจำนงกระบี่ คล้ายถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ขุ่นมัว มันทำให้กลิ่นอายดูทรงพลังราวกับทวยเทพ และสูงสุดเหมือนจักรพรรดิ
การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีได้บรรลุระดับแรกของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เขาได้รับเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง ทั้งยังแสดงสัญญาณของการทะลวงเข้าสู่ระดับที่สองของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่อย่างแผ่วเบา
ภายใต้ผลของการรู้แจ้งดังกล่าว แม้แต่พลังชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มันสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ และโปร่งแสงมากขึ้น…
ครืน!
ในทางกลับกัน พลังศักดิ์สิทธิ์ก็พรั่งพรูอยู่ในจักรวาลภายในร่างกาย มันเดือดพล่านราวกับหินหลอมเหลว และเปล่งแสงอันเจิดจ้าเจิดจรัสออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังแผ่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง และได้บรรลุถึงสภาวะที่สมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเอ่อล้นออกจากร่างกาย!
หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วไปคงจะฉวยโอกาสสำคัญนี้ไปนานแล้ว จากนั้นจะทำการขัดเกลาและดูดซับรากเต๋าบรรพชนเพื่อพุ่งเข้าสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างเต็มกำลัง
ทว่าเฉินซีไม่ได้กระทำเช่นนั้น แม้จะครอบครองรากเต๋าบรรพชนระดับแปดแล้ว แต่เขาไม่มีความตั้งใจที่จะพุ่งเข้าสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลในตอนนี้
ท้ายที่สุดแล้ว หากใครได้รับการบ่มเพาะเช่นเดียวกับเขา ข้อกำหนดต่อเส้นทางสู่เต๋าจะรุนแรงยิ่งขึ้น
คนเรานั่นแสวงหาความสมบูรณ์และความไร้ที่ติ ดังนั้นหากเขาใช้รากเต๋าบรรพชนระดับแปดเป็นรากฐานเพื่อทะลวงขอบเขต เมื่อนั้นก็จะรู้สึกว่ามีข้อบกพร่องในท้ายที่สุด
หนึ่งวันต่อมา เฉินซีตื่นขึ้นมาจากสภาวะรู้แจ้ง แสงเปล่งประกายอันศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชติช่วงไปทั่วร่างได้สลายหายไปอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาก็กลับคืนสู่ท่าทางที่ไม่แยและไม่ธรรมดาเหมือนเช่นเคย
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากกระบี่เปื้อนเลือดที่อยู่ภายในห้วงจิตสำนึกของเขา “สหายเต๋า เมื่อเจ้าบรรลุระดับที่เก้าของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่แล้ว เจ้าจะสามารถปลดผนึกเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเส้นทางสูงสุดของเต๋าจากภายในกระบี่ราชาเซวียนเล่มนี้ ข้าหวังว่าข้าจะได้พบกับสหายเต๋าในอนาคต ถนอมตัวด้วย”
“เส้นทางสูงสุดของเต๋า…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวพึมพำ “ข้าจะทำให้ได้”
…
“เป็นเขาจริง ๆ ท่านอาจารย์ ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง….” ที่ด้านของแดนรากบรรพกาล และหน้าวิหารรากบรรพชน จู่ ๆ ทวารบาลของวิหารซึ่งนั่งขัดสมาธิบนแท่นบูชาก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน คล้ายพึงพอใจระคนตื่นเต้น แล้วจึงทอดถอนใจ
หลังจากนั้น ชายชราก็ลุกขึ้นยืน และมองไปที่วิหารที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นทอประกายแวววาว
“ถึงเวลาแล้วที่แดนรากบรรพกาลจะปรากฏตัวเช่นกัน….” เสียงแก่ชราล่องลอยไปทั่วทั้งฟ้าดิน ประดุจคำทำนาย
…
โครม!
แดนรากบรรพกาล
ณ จุดที่แสงสีม่วงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และผู้เยี่ยมยุทธ์ที่รออย่างใจจดใจจ่อก็สังเกตเห็นว่าพื้นดินใต้เท้าของพวกเขาเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ในรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้ ซากโบราณได้พังทลายลง เศษหินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณโดยรอบ บังเกิดรอยแยกที่น่าสะพรึงกลัวแตกออกบนพื้นและทอดยาวไปไกล
ในทางกลับกัน ในขณะนี้ สายฟ้าที่เฝ้าคอยรอบ ๆ แสงสีม่วงก็ฉายแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นพวกมันก็กลายเป็นกระแสวังวนขนาดใหญ่ที่หมุนอย่างบ้าคลั่ง
แสงสีม่วงนั่นราวกับกำลังยืนตระหง่านอยู่ที่ใจกลางของกระแสวังวนนี้ ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีแสงสาดส่องลงมาจากบริเวณโดยรอบ เจิดจ้าและกว้างใหญ่
“นั่นอะไร?”
“หรือว่า… แดนรากบรรพกาลกำลังจะปรากฏ?”
“เป็นอย่างนั้นแน่นอน!”
“ทุกคน รีบเตรียมตัวให้พร้อม เราจะเคลื่อนตัวทันทีที่แดนรากบรรพกาลปรากฏขึ้น!”
เมื่อเห็นปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์นี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็ตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุข
พวกเขามีความรู้สึกว่า แดนรากบรรพกาลกำลังจะปรากฏขึ้นแล้วจริง ๆ!
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้น ในขณะที่แรงกดดันได้แผ่ซ่านไปทั่วฟ้าดิน
หลังจากนั้น โดยมีแสงสีม่วงเป็นศูนย์กลาง แสงที่สาดส่องออกมาจากมันได้บรรจบกันเป็นหนึ่ง แล้ว ๆ ค่อยก่อตัวเป็นรูปร่างของตำหนักที่พร่ามัวในอากาศ!