บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1684 สถานการณ์เปลี่ยนผัน
บทที่ 1684 สถานการณ์เปลี่ยนผัน
แสงสีม่วงสะท้าน ฝนแสงและแสงศักดิ์สิทธิ์โปรยออกมา ตอนนี้พวกมันเข้าประสานกันเกิดเป็นรูปร่างบางอย่างขึ้น
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ชะงักไป เหตุนี้เหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์บังเกิด ยิ่งใหญ่ตระการตาจนไม่อาจจินตนาการได้
ไม่มีใครพูดอะไร สายตามองขึ้นไปบนฟ้าตาไม่กะพริบ เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเพียงเล็กน้อยไปจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางทุกสายตาและแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องอยู่รอบกาย ตำหนักหนึ่งก็ก่อรูปขึ้นจากแสงศักดิ์สิทธิ์ ฝนแสงปรากฏรูปขึ้นแล้ว!
มันกว้างกว่าแปดพันลี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงลิ่ว ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง มันเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วง มีกลิ่นอายกดดันของราชันเหนือใคร
เหมือนเป็นตำหนักแห่งราชันโบราณ มีพลังชะตากรรมอันทรงพลังคอยรักษาการอยู่ เหนือกว่าใครในใต้หล้านี้!
ได้ยินเสียงพุทธองค์สวดมนต์ลอยมาอยู่ชั่วขณะ ฝนแสงโปรยลงมาพร้อมกับหมอกมงคลกำจายอยู่รอบตำแหน่งคนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
“ตำหนักเต๋านภาม่วง!”
“รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลอยู่ภายในนี้ มีเพียงแต่ตัวตนสูงส่งเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างสมบัติอย่างรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าขึ้นมาได้”
ใจทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย นึกถึงตำนานคำร่ำลือมากมายของตำหนักแห่งนี้และรากเต๋าบรรพชนปฐมกาล
ชิ้ง!
ชิ้ง!
ตอนนี้นั้นเอง กระแสเต๋าแผ่วเบาอันแปลกประหลาดก็ดังขึ้นทั่วฟ้าดิน สั่นสะท้านไม่รู้จบ เหมือนเสียงระฆังแก้วตอนเช้า แต่ละครั้งที่สั่นสะท้านก็ทำให้กลิ่นอายฟ้าดินบริสุทธิ์ขึ้นอีกนิด แรงกดดันที่เต็มรอบข้างหนักขึ้นอีกหน่อย
เมื่อท่วงทำนองแห่งเต๋าดังขึ้นครบเก้าครั้ง ทั่วตำหนักก็สั่นสะเทือน จากนั้นประตูก็เปิดออก ฝนแสงหนาโปรยลงมา ทำให้ผู้อื่นไม่อาจเห็นได้ว่าเบื้องหลังประตูคือสิ่งใด
จากนั้นบันไดสีขาวหยกก็ลอยขึ้นมาเหนือประตูนั้น มันทอดตัวต่ำลงมาจนถึงพื้น
ถึงตอนนี้ทุกอย่างก็นิ่งสนิท
“ไปเลย!” ผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งทนรอแทบไม่ไหวมานานแล้ว เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นเขาก็พุ่งออกไปขึ้นบันไดหยกนั่นทันที
แต่ก็ไม่ใช่เพียงเขาคนเดียว เพราะอีกคนอีกกว่าร้อยคนก็พุ่งเข้าไปพร้อมกัน คิดจะเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในตำหนักนั้นเพื่อหาสมบัติล้ำค่าภายใน
ครืน!
หากแต่ยังไม่ทันเข้าไป กระแสแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงอันน่าเกรงขามก็พุ่งออกมาล้อมรอบบันไดไว้ เป็นเหมือนมังกรที่เคลื่อนตัวพลิ้วไหว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
อึดใจต่อมา เงาร่างจำนวนมากก็กระเด็นออกมาเหมือนว่าวสายขาด กระอักเลือดร่างอัดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
เหตุนี้ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์อีกหลายคนที่กำลังไฟแรงตกตะลึงไป เหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่ ความตื่นเต้นในใจดับลงแทบหมด
“เป็นพวกที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย! มีหรือรากเต๋าบรรพชนปฐมกาลจะอยู่ในที่ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้? มีฝีมือแค่นี้แต่กลับอยากได้สมบัติล้ำค่างั้นหรือ? น่าหัวเราะ” น้ำเสียงเย็นชาหัวเราะออกมา เป็นเสียงของตี้จวินที่เอ่ยเยาะเย้ย
หลายคนหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับตี้จวิน
หากแต่มีคนไม่ยอมรับเรื่องนี้ จึงค่อย ๆ เดินหน้าเข้าหาบันไดนั่น แต่ก็เหมือนกัน เขากลับถูกแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงอันน่าเกรงขามดีดกลับมาจนกระอักเลือดแล้วร่วงลงบนพื้น ได้แต่ร้องโหยหวนไม่หยุด
สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ สมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่สามารถเข้าไปเอาได้ เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการทรมานพวกเขา
ทันใดนั้น ลั่วฉ่าวหนงก็ยืนขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ “อย่างนี้นี่เอง มีเพียงมหาเทวาวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าสู่สถานที่อย่างรากเต๋าบรรพชนปฐมกาลได้”
พูดจบก็เหมือนได้ตัดสินทุกคนไปแล้ว ไฟหวังของหลายคนรอบข้างถูกดับมอดลงทันใด ทำให้ใบหน้าพวกเขาหม่นแสงลง
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ ส่วนมากไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณด้วยซ้ำ ก็หมายความว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถคว้าโชคในครั้งนี้ไว้ได้นั่นเอง!
ซึ่งเป็นอะไรที่กระแทกใจอย่างยิ่ง
“ตี้จวิน เจ้ามากับข้า และคนอื่น ๆ อยู่รอรับพวกเราตอนกลับมาด้วย” ลั่วฉ่าวหนงสั่งเสียงธรรมดา ก่อนจะเดินเข้าหาชั้นบันไดด้วยสองมือไพล่หลัง
“ฮ่า ๆ! นั่นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็กันแมลงไปได้มาก ไม่เช่นนั้นคงกำจัดได้ลำบาก” ตี้จวินแผดเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหลมเหมือนสตรี ทำให้สีหน้าของใครหลายคนเปลี่ยนผันไป
แมลงหรือ?
มีใครเคยเหยียบหน้ากันเช่นนี้ด้วยหรือ? แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้จะโกรธ เพราะตี้จวินรั้งอันดับที่สิบสองบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ เป็นเจ้าบ้าเลื่องชื่อในเอกภพจักรวรรดิ
อีกทั้งยังมีลั่วฉ่าวหนงข้างกายอีก!
ฟ่าว! ฟ่าว! ฟ่าว!
เมื่อลั่วฉ่าวหนงกับตี้จวินกำลังเข้าใกล้บันไดนั่น พลังผันผวนมิติก็ปรากฏ เงาร่างทั้งหลายพุ่งออกมาจากอีกฟากฝั่ง
เป็นเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ย!
ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ก็เข้าเผชิญหน้ากับลั่วฉ่าวหนงกับตี้จวินทันที ล้วนพุ่งเข้าไปหาบันไดหยกพร้อมกัน
และไม่เพียงเท่านั้น หลังจากพวกเล่ออู๋เหินปรากฏตัว มิติก็บิดเบือนอีกครั้ง จากนั้นกงเหย่เจ๋อฟู เจิ้นหลิวชิง เยว่หรูฮวา และจินชิงหยางก็พุ่งออกมา
พริบตาเดียวรอบข้างก็เต็มไปด้วยความโกลาหล เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเผชิญหน้าพร้อมต่อสู้
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ชะงัก คนสามกลุ่มที่มียอดฝีมือมหาเทวาวิญญาณผู้มีอำนาจสูงส่งเผชิญหน้ากันแล้ว ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน หมายจะชิงโอกาสเข้าตำหนักเต๋านภาม่วงไปเป็นฝ่ายแรก เหตุการณ์เช่นนี้นับว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย
“ฮ่า ๆ! คึกคักดีจริง” ลั่วฉ่าวหนงเหลือบมองพวกเล่ออู๋เหินแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเกียจคร้าน จุดที่เขายืนอยู่ตรงนี้ห่างจากข้างบันไดอยู่ราวร้อยจั้ง ดังนั้นหากเขาโจมตีเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีใครสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัยได้เลย
พร้อมกันนั้น กลุ่มกงเหย่เจ๋อฟูก็หยุดมือเช่นกัน ตอนนี้เป็นสถานการณ์สามฝ่ายประจันหน้ากันไปแล้ว
บรรยากาศกดดันยิ่ง คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว
ยังไม่มีใครกล้าลงมืออะไรเพื่อไม่ให้ถูกอีกฝ่ายโจมตีทีเผลอ
“ข้าไม่ได้มาเล่น ๆ ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งน่ารำคาญ” ลั่วฉ่าวหนงหยอกล้อวิหคเพลิงสีแดงจัดบนไหล่แล้วเอ่ยเสียงช้า “ฉะนั้นข้าคิดว่าพวกเจ้าควรถอยไปเสียดีกว่า จะได้ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องโทษข้า ลั่วฉ่าวหนง ว่าไปรังแกพวกเจ้า”
เขาหยุดไปเล็กน้อยก่อนมองเชินถูเยียนหราน ก่อนเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “แต่แน่นอนว่าหากคุณหนูเยียนหรานเต็มใจ ตอนนี้ก็ยังสามารถติดตามข้างกายข้าได้อยู่นะ”
เล่ออู๋เหินหรี่ตาลง จากนั้นคลี่ยิ้มเบิกบานใจออกมา “ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะถอยได้อย่างไรกัน? หากตาแก่จากเอกภพจักรวรรดิรู้เข้า คงได้หาว่าพวกข้าขี้ขลาดตาขาว พี่ลั่วคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ส่วนเรื่องคำเชิญของลั่วฉ่าวหนง เล่ออู๋เหินไม่คิดสนใจ เชินถูเยียนหรานเองก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้ตอบสนองอะไรไปทั้งนั้น
รอยยิ้มจางบนริมฝีปากลั่วฉ่าวหนงค่อย ๆ คลายลง สีหน้ากลายเป็นเย็นชา “ให้พูดกันตามตรง พวกเจ้าแค่สี่คนยังไม่พอหรอก อย่างไรก็ถูกพวกข้าขยี้เละแน่ หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่าเรามาจากเอกภพจักรวรรดิเหมือนกัน ข้าก็คงไม่เสียเวลาบอกเจ้าหรอกนะ!”
“อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้” เชินถูเยียนหรานมุ่นคิ้วเอ่ย
อะไรนะ? ใจเชินถูเยียนหราน เล่ออู๋เหิน และคนอื่น ๆ หล่นวูบทันใด
ด้วยตัวตนของลั่วฉ่าวหนง อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลนี้ยั่วยุพวกเขาเลย
เช่นนั้นก็หมายความว่า… ที่เฉินซียังไม่กลับมาก็เพราะเกิดเหตุงั้นเหรอ?
ตอนนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ เองก็ตกใจเช่นกัน ใครคือเฉินซีหรือ? ชื่อนี้พวกเขาคุ้นหูกันมานานแล้ว
คนผู้นั้นเอาชนะเยว่หรูฮวากับจินชิงหยางได้ด้วยตัวคนเดียว จากนั้นก็โจมตีครั้งเดียวดีดตี้จวินกลับไปได้ ชื่อเสียงดังไกลจนเหนือกว่ามหาเทวาวิญญาณทั่วไปเสียอีก เหมือนเป็นดาวดวงใหม่ที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงบนท้องนภา
แต่อาจเกิดเรื่องกับเขางั้นหรือ!
จะมีใครกล้าเชื่อได้?
กงเหย่เจ๋อฟูสังเกตเห็นสีหน้าเจิ้นหลิวชิงอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนไม่ทันระวังตัว
ทำให้เขามุ่นคิ้ว นัยน์ตาสีม่วงส่อแววเย็นชาออกมาอย่างไม่อาจอธิบายได้ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่ว่าเฉินซีจะมาหรือไม่ก็ดูจะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้านี้นี่นะ?” เล่ออู๋เหินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงช้า
“แน่นอน” ลั่วฉ่าวหนงยิ้ม จากนั้นหันไปพูดกับกงเหย่เจ๋อฟูที่ยืนอยู่อีกฝั่ง “เจ๋อฟู ถึงเวลาเช่นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องปกปิดแล้วล่ะ”
พูดจบ ทุกคนก็นิ่งค้างไป
จากนั้นกงเหย่เจ๋อฟูก็นำกลุ่มเดินไปทางลั่วฉ่าวหนงแล้วมองพวกเล่ออู๋เหินไปพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าสองกลุ่มนี้ร่วมมือกันนานแล้ว!
เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ทันใด สถานการณ์พลิกผันเกินคาด ใครจะไปคิดว่าลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูที่รั้งสิบอันดับแรกบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณจะมาร่วมมือกันได้?
พริบตาเดียว สีหน้าของพวกเล่ออู๋เหินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในใจรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้จริง ๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เกิดขึ้นแล้ว กลุ่มลั่วฉ่าวหนงและกลุ่มกงเหย่เจ๋อฟูร่วมมือกันเพื่อต่อกรกับพวกเล่ออู๋เหิน
แม้เจียหนานที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนจะไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้สถานการณ์ทางฝั่งพวกเล่ออู๋เหินนับว่าเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง!
………………..