บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1685 มาช้าไป
………………..
บทที่ 1685 มาช้าไป
การตั้งพันธมิตรระหว่างลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูเป็นสิ่งที่เกินความความหมายของทุกคนไปมาก แน่นอน มันทำให้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหัน ซึ่งส่งผลให้กลุ่มของเล่ออู๋เหินตกที่นั่งลำบาก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นลั่วฉ่าวหนงหรือกงเหย่เจ๋อฟู ความแข็งแกร่งของพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ใครสักคนในกลุ่มของเล่ออู๋เหิน
นอกจากการร่วมมือของพวกเขาสองคนแล้ว ก็ยังมีมหาเทวาวิญญาณอย่างตี้จวิน เยว่หรูฮวา และจินชิงหยางที่เป็นพรรคพวกของทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งตอนนี้เป็นต่อกว่ากลุ่มของเล่ออู๋เหินยิ่งนัก
ถึงขนาดที่หลาย ๆ คนเริ่มสงสัย แม้ว่าเฉินซีจะกลับมาถึงที่นี่ได้ทันเวลา แต่เขาก็คงไม่มีพลังมากพอที่จะพลิกสถานการณ์ใด ๆ
ในยามนี้ ลั่วฉ่าวหนงกลายเป็นบุคคลที่น่าจะตื่นเต้นยิ่งกว่าใครทั้งปวง เพราะหากไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอุบัติขึ้นอย่างไม่เป็นใจ รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน
กระนั้น จู่ ๆ เล่ออู๋เหินก็พูดขึ้น “ข้าจำได้ว่าในรากเต๋าบรรพชนปฐมกาลนั้นมีรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเพียงรากเดียวเท่านั้น กลุ่มของเจ้ามีคนจำนวนมากมายเช่นนี้ ข้าชักอยากรู้แล้วสิว่าพวกเจ้าจะแบ่งสันปันส่วนกันอย่างไรให้พอดี?”
ความหมายเบื้องหลังคำพูดนั้นตั้งใจจะสื่อว่าแม้พวกเขาจะสามารถรวมตัวกันเป็นพันธมิตรที่มีจำนวนมากมายเช่นนี้ได้ แต่เมื่อการต่อสู้เพื่อแย่งชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเริ่มต้นขึ้นจริง ๆ เมื่อนั้นทั้งลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูจะยังสามารถรักษามิตรภาพได้อยู่หรือ?
อย่างไรก็ดี เมื่อลั่วฉ่าวหนงได้ยินคำพูดเหล่านั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนมุมปาก “เจ้าพูดถูกแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทดังกล่าวขึ้น ข้าจึงได้หารือกันเจ๋อฟูถึงเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว และพวกเราก็ตัดสินใจว่ารากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้านี้จะ… เป็นของเขา”
ทันทีที่คำพูดนี้แพร่งพรายออกมา ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ต่างตกตะลึง พวกเขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
มันเป็นถึงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าซึ่งมีอยู่เพียงชิ้นเดียวในรากเต๋าบรรพชนปฐมกาล เหตุใดลั่วฉ่าวหนงจึงได้ยอมมอบมันให้อีกฝ่ายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้?
นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หากลั่วฉ่าวหนงบอกว่ากงเหย่เจ๋อฟูยอมวางมือจากโชคลาภครั้งใหญ่นี้ก็ยังพอจะฟังดูเข้าเค้ามากกว่า การที่ลั่วฉ่าวหนงตัดสินใจเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไม่น้อย
แม้แต่เล่ออู๋เหินและคนอื่นๆ เองก็ยังนึกตกใจ พวกเขาไม่เข้าใจเลย อะไรคือสาเหตุแน่ชัดที่ทำให้ลั่วฉ่าวหนงยอมเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ดี ในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของลั่วฉ่าวหนง ตี้จวิน หรือกงเหย่เจ๋อฟู พวกเขาก็ล้วนแต่ดูสงบนิ่งอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าได้ทำข้อตกลงกันมานานแล้วจริง ๆ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงความลับซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้
ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สถานการณ์ที่พลิกผันในเวลานี้ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มของเล่ออู๋เหินอย่างแน่นอน
เพื่อให้ได้ครอบครองรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า กลุ่มของลั่วฉ่าวหนงได้วางแผนการอย่างถี่ถ้วนมาเป็นเวลานาน กองกำลังน่าเกรงขามยิ่งกว่าใคร ที่มาในที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะครอบครองโชคครั้งใหญ่ดังกล่าว
หากเปรียบเทียบกันแล้ว กลุ่มของเล่ออู๋เหินนั้นดูเหมือนจะด้อยกว่ามาก ความหวังที่จะมีชัยเหนือใครนั้นช่างเลือนรางริบหรี่
“ฮ่า ๆ! พี่คุนอู๋ พี่เป่ยเหวิน พวกท่านทั้งสองไม่จำต้องรอคอยอีกต่อไป ออกเดินทางได้เลย” ตอนนี้เอง ลั่วฉ่าวหนงพลันพูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่เหมือนขว้างระเบิดลูกใหญ่ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบตกตะลึง สายตาทอดมองออกไปอย่างว่างเปล่า
หลังจากนั้น ร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นด้วยความรวดเร็ว พวกเขาคือคุนอู๋ชิงและเป่ยเหวิน!
พวกเขาทั้งสองยิ้มพลางประสานมือคำนับลั่วฉ่าวหนง ก่อนจะย่างเท้าไปยืนที่ด้านข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกได้เป็นพันธมิตรกับลั่วฉ่าวหนงมานานแล้ว เช่นเดียวกับกงเหย่เจ๋อฟู
ทันใดนั้น ทั้งเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ยก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งไว้บนใบหน้าได้อีกต่อไป แววตามืดหม่นลงทันที
คุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินนั้นไม่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง หากกระนั้นอย่างไรแล้วทั้งสองก็นับเป็นมหาเทวาวิญญาณ ในเมื่อเข้าร่วมกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนง มันก็ทำให้กลุ่มของพวกเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้ชัดว่าตนไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจะมีเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น
สถานการณ์พลิกผันรวดเร็วเกินไปแล้ว!
มันเปลี่ยนไปเสียจนไม่ทันจะระวังตัวแม้แต่น้อย!
…
ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่รอบ ๆ ถอนหายใจพรืด ลั่วฉ่าวหนงเป็นคนที่มีความสามารถในการวางกลยุทธ์และเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จริง ๆ ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์และใช้ทุกคนเป็นเพียงหมากบนฝ่ามือ ความสามารถเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ” ลั่วฉ่าวหนงมองกลุ่มของเล่ออู๋เหินอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบันไดหยกขาวที่อยู่ไกลออกไป
กงเหย่เจ๋อฟูและคนอื่น ๆ ติดตามไปติด ๆ
ตอนนี้เอง เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าเศร้าหมองอย่างยิ่ง ท้ายที่สุด พวกเขาไม่ได้ขวางกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงเอาไว้ เพราะหากการต่อสู้ปะทุขึ้นในเวลานี้ ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเท่านั้น
ตึง!
แสงสีม่วงที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกมาจากพื้นที่มิติก่อนที่จะถึงขั้นบันได มันกลายเป็นพลังยิ่งใหญ่ซึ่งพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงด้วยตั้งใจจะหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา
“บัดซบ!” ลั่วฉ่าวหนงสะบัดแขนเสื้อ สายฟ้าสีดำที่ปรากฏบนมือกลายเป็นกระบี่คมกริบจำนวนนับไม่ถ้วน พลังของมันเฉือนแสงสีม่วงเหล่านั้นให้ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ส่งผลให้พวกมันกวาดกระจายไปยังบริเวณโดยรอบ
หลังจากนั้น เขาก็นำพวกคนที่เหลือเดินต่อไปข้างหน้าประหนึ่งเทพสงครามผู้ไร้เทียมทาน อาวุธอันฉกาจในมือฟาดฟันลงยังแสงสีม่วงตามแต่ละขั้นของบันไดหยกขาว
หงึ่ง!
มันสูงราว ๆ เก้าจั้งและเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงที่อาบไล้ไปทั่วร่างกาย ทันทีที่มันปรากฏขึ้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่ใครจะเทียบได้ก็กระแทกไปทั่วบริเวณโดยรอบพร้อมกับเสียงปึงปัง พื้นดิน ณ ที่แห่งนั้นแตกกระจายเป็นผุยผง ช่างเป็นภาพที่ชวนตื่นตาอย่างยิ่ง
โครม!
มันก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเหวี่ยงง้าวซึ่งทำมาจากทองสัมฤทธิ์ในมือ ขณะที่ซัดการโจมตีตรงไปยังกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงอย่างดุเดือด สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์สีม่วงก็กวาดกระจายแสงแปลบปลาบ
การโจมตีดังกล่าวคล้ายจะดูเก่าแก่ หากก็เต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามที่สามารถทำลายโลกและกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนแผ่นดินได้
หัวใจของลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ สั่นไหวด้วยสัมผัสได้ถึงความอันตราย พวกเขาโคจรพลังตามสัญชาตญาณก่อนจะบุกเข้าโจมตีอย่างพร้อมเพรียง
ตึง!
กระบวนท่าขั้นสูงต่าง ๆ ถูกนำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ในขณะที่สมบัติศักดิ์สิทธิ์อันงดงามมากมายปรากฏขึ้นเหนืออากาศและโอบล้อมบริเวณเหล่านั้นไว้อย่างสมบูรณ์ เสียงแห่งการโรมรันที่น่าสะพรึงกลัวกึกก้องประหนึ่งเสียงคำรามแห่งสรวงสวรรค์ ท่ามกลางมหาเต๋าที่ส่งเสียงครั่นคร้าม คล้ายว่าทั้งตะวันและจันทราจะเลือนลับอัสดง
ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่รอบนอกต่างก็อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ หากเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญกับการปะทะเช่นนี้ ก็คงจะมีเพียงหายนะและความตายที่เป็นของตอบแทนความบ้าบิ่นนั้น
พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ ล้วนแต่ตกอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดในกลุ่มที่จบชีวิตลง
อีกด้านหนึ่ง ร่างของเทพซึ่งสูงราวเก้าจั้งบัดนี้ได้อันตรธานไปแล้ว ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ฝ่ายของลั่วฉ่าวหนงจะคว้าชัยชนะไปครอง
“ไปกันต่อเถอะ!” ลั่วฉ่าวหนงไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป เขาฉวยโอกาสในระหว่างนี้พากลุ่มของตนพุ่งเข้าไปในประตูอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะหายไปในพริบตา
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์หลาย ๆ คนเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ถอนใจในพลัน อย่างที่คาดไว้ มีเพียงมหาเทวาวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในดินแดนที่เต็มไปด้วยโชคลาภแห่งนั้น
“เราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?” ท่าทางของอวี๋ชิวจิงเต็มไปด้วยความโกรธ
“พวกเราเองก็ไปเถอะ จะมานั่งยอมแพ้ทั้งที่ยังพยายามไม่ถึงที่สุดได้อย่างไร?” นัยน์ตาของเล่ออู๋เหินแปลบปลาบไปด้วยแสงของสายฟ้า ใบหน้านั้นสะท้อนแววทระนง “ตามที่ข้ารู้มา ตำหนักเต๋านภาม่วงนั้นมีโลกของตัวเองอยู่ภายใน มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ถึง หากก็เต็มไปด้วยอันตรายหลายหลาก และเพราะแบบนั้น การจะบอกว่าใครจะได้เป็นผู้ครอบครองรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิคนสุดท้ายนั้นก็ยังไม่มีใครที่รู้แน่ชัด!”
“เอาละ ข้าตัดสินใจแล้ว!” เชินถูเยียนหรานและจวนอวี๋สุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกปากตกลง
“แล้วเฉินซีเล่า? เราจะไม่รอเขาอีกสักหน่อหรือ?” อวี๋ชิวจิงลังเล
เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ยพยักหน้ารับและไม่โต้แย้งสิ่งใดอีก
กลุ่มของเล่ออู๋เหินออกเดินทางในทันที พวกเขามุ่งหน้าไปยังบันไดอย่างพร้อมเพรียง
ตลอดทางพวกเขาเผชิญหน้ากับแรงกดดันและอุปสรรคนานัปการชั้นแล้วชั้นเล่า หากสุดท้ายก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างปลอดภัยด้วยอาศัยความร่วมมือของทุกคน
แน่นอนว่า พวกเขาก็พบรูปปั้นเทพที่สูงเก้าจั้งเช่นเดียวกัน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดกระทั่งผ่านไปได้โดยสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า สีหน้าทุกคนซีดเผือด หายใจหอบถี่ ไม่มีวี่แววว่าจะสงบลงโดยง่าย
แน่นอน นั่นเป็นเพราะกำลังของพวกเขา และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจำนวนคนที่มีเพียงสี่คน ผิดกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงที่มีกันอยู่ถึงแปดคน!
เมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นว่ากลุ่มของพวกเขาทั้งสองห่างชั้นกันอย่างชัดเจน
ถึงอย่างนั้น ก็นับว่าโชคดีที่สามารถผ่านอุปสรรคและเข้าสู่ตำหนักเต๋านภาม่วงได้สำเร็จ
…
หลังจากที่เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด พวกเขาก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
“ดูเหมือนว่ากลุ่มของเล่ออู๋เหินจะมีโอกาสน้อยมากที่จะกลับออกมาเป็นกลุ่มแรก ๆ และคงจะเป็นเรื่องยากมากที่จะรับมือกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนง”
“แน่นอน ลั่วฉ่าวหนงยอมแลกกระทั่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า ดังนั้นคงไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่สำเร็จเป็นแน่”
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ชนะที่แท้จริงจะกลายเป็นกงเหย่เจ๋อฟู สงสัยจริง ๆ เลยว่าเขาเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนกับลั่วฉ่าวหนงรูปการณ์จึงได้ออกมาเป็นเช่นนั้น”
ฝูงชนเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันอย่างออกรส ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เชื่อมั่นในกลุ่มของเล่ออู๋เหินนัก
นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่ไม่เต็มใจจะยอมรับความเป็นจริงและพยายามที่จะผ่านบันไดหยกขาวขึ้นไป หากสุดท้าย คนเหล่านั้นก็ได้แต่เพียงถอยกลับมาอย่างคว้าน้ำเหลว ในขณะที่บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้ความมุ่งหมายสะดุดหยุดลงในทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะยินดีหันหลังจากไปทั้งอย่างนั้น
“เอ๊ะ?” ทันใดนั้นก็มีคนอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าได้สังเกตเห็นถึงบางสิ่ง และนั่นก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ เช่นกัน
ตึง!
ตอนนี้เอง คลื่นแห่งความผันผวนปรากฏขึ้นท่ามกลางพื้นดินกว้างใหญ่ ไม่นาน ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกมา
ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ชายผู้นี้มีรูปโฉมงดงาม ท่าทางที่เพิกเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง และดวงตาลึกล้ำอย่างหุบเหวอนธการ จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเฉินซี?
แต่ไม่ใช่ว่าลั่วฉ่าวหนงบอกว่าคนผู้นี้ประสบกับเภทภัยในซากโบราณเทวาล่วงลับไปเมื่อวันก่อนแล้วหรอกหรือ?
หรือว่านั่นจะเป็นเรื่องโกหก?
ขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความสับสน เฉินซีก็ย่างกรายมาถึงคนเหล่านั้นด้วยความรวดเร็ว
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” เฉินซีถาม
บัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินซีคือเถาตง เวยจื่อฝู รวมไปถึงคนอื่น ๆ เนื่องจากไม่สามารถไปถึงระดับมหาเทวาวิญญาณได้ จึงทำได้เพียงแต่รอคอยอยู่ด้านนอกเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้เห็นเฉินซีอีกครั้ง เถาตงรีบอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยความรวดเร็ว
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าลั่วฉ่าวหนงจะจับมือกับกงเหย่เจ๋อฟูและคนอื่น ๆ จริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น คนอย่างคุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินก็เข้าร่วมกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงเช่นกัน
“โอ้! ช่างมากเล่ห์เสียจริง” เฉินซีกระตุกมุมปากเยือกเย็น พลางส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะมองไปยังเถาตงและคนอื่น ๆ “ทุกท่าน ข้าจำต้องไปก่อน เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“นี่เจ้าจะ… ไปคนเดียวงั้นหรือ?” เถาตงและคนอื่น ๆ ชะงัก ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “บันไดหยกขาวนั่นอันตราย…”
ขณะที่พูด เขาก็เริ่มบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยไม่ลืมเน้นย้ำว่ารูปปั้นเทพขนาดใหญ่โตนั่นน่ากลัวเพียงไร
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เถาตงจะพูดจบ เฉินซีก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดสีขาวนั่นแล้ว