บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1686 ทอดถอนใจชื่นชมตลอดทาง
บทที่ 1686 ทอดถอนใจชื่นชมตลอดทาง
………………..
บทที่ 1686 ทอดถอนใจชื่นชมตลอดทาง
นับแต่เขาได้รับมรดก ‘เคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย’ มา เฉินซีก็เร่งรุดกลับ แต่ก็ไม่คาดเลยว่าท้ายที่สุด เขาจะยังสายไปก้าวหนึ่ง ไม่อาจรวมกลุ่มกับพวกเล่ออู๋เหินได้
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าลั่วฉ่าวหนงสร้างพันธมิตรกับกงเหย่เจ๋อฟู และสัญญาจะให้รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้ากับกงเหย่เจ๋อฟู ความรู้สึกเร่งด่วนก็ปรากฏขึ้นในใจเฉินซี
จุดประสงค์หลักในการมายังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ก็คือเพื่อเติมเต็มคำสัญญากับจักรพรรดินีอวี้เชอ ซึ่งก็คือเพื่อหยุดไม่ให้กงเหย่เจ๋อฟูได้รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไป
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีย่อมไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย
วูบ!
ร่างสูงใหญ่วูบไหว ทะยานไปสู่บันไดหยกขาวจากไกล ๆ
“หือ? หรือเขาตั้งใจจะไปคนเดียว?”
“คนผู้นี้ไม่เลินเล่อไปหน่อยหรือ กระทั่งกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงยังดูสุดสะบักสะบอมยามเข้าไปในตำหนักนั่น แล้วเขาหรือจะขึ้นบันใดเข้าตำหนักเต๋านภาม่วงไปคนเดียวได้?”
“แต่การที่เขาเดินทางคนเดียวก็ดูอุกอาจไปหน่อยนะ”
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเข้าไปใกล้บันไดหยกขาวเพียงลำพัง ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในบริเวณใกล้เคียงก็อื้ออึงฮือฮา
บ้างเคลือบแคลง บ้างดูแคลน บ้างตกใจ บ้างปรีดาในความทุกข์ที่กำลังจะเกิดแก่เฉินซี…. พวกเขาทั้งหลายล้วนเผยสีหน้าแตกต่าง
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ได้ประจักษ์กับตาแล้ว ว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงหรือเล่ออู๋เหิน ทั้งสองต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอมยามเดินทางบนบันได
สาเหตุของมันคือฤทธาของเงาร่างเทพสูงเก้าจั้งซึ่งยืนพิทักษ์อยู่สุดปลายบันไดนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไปโดยแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะข้ามไปได้ด้วยตนเองลำพัง
ท่ามกลางสายตาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตั้งใจชมเรื่องสนุกทั้งหลาย เฉินซีมาที่หน้าบันได แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ตำหนักนั้นยิ่งใหญ่โอ่อ่า ลอยอยู่ใต้ท้องนภาขณะเรื่อเรืองด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วง เป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ยิ่งใหญ่เจิดจรัสไร้ขอบเขต
บันไดหยกขาวซึ่งเรียงตัวขึ้นไปบนนภานั้นเชื่อมกับประตูตำหนัก
เฉินซีตระหนักชัดเจนแล้วว่าที่นี่คือสถานที่พำนักและบ่มเพาะของเซวียน กล่าวคือ เซวียนคือเจ้าของตำหนักเต๋านภาม่วง!
แน่นอน ที่นี่ก็คือบ้านของกระบี่ราชาเซวียนด้วย
จากความสามารถแยกแยะในขณะนี้ของเฉินซี กระบี่ราชาเซวียนไม่ใช่สมบัติวิญญาณธรรมชาติ และมันก็ผุพังเสียหายแล้ว อำนาจจึงเสื่อมสลาย แต่เพราะมันถูกตราด้วยหนึ่งพลังใจของเซวียน จึงไม่ธรรมดาในทันที
ถึงขนาดที่สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าเซวียนรู้สึกต่อกระบี่ของตนเหมือนกับที่เขารู้สึกต่อยันต์ศัสตรา เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย สิ่งใดก็แทนที่ไม่ได้!
เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ แล้วขึ้นบันไดอย่างไร้ลังเล
ขณะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในบริเวณรายล้อมเบิกตากว้างไม่ยอมกะพริบ ด้วยหวาดกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดไปแม้เพียงน้อย
ทว่าพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อตั้งแต่แรกจนบัดนี้ เฉินซีกลับไม่ถูกขัดขวางแม้แต่น้อย!
บันไดทุกขั้นเงียบสงัด รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงไม่เรืองขึ้น แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวใด ๆ ล้วนไม่ปรากฏเชี่ยวกราก ถึงขนาดที่ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ แม้เพียงเสี้ยวเศษ!
เป็นไปได้อย่างไร?
หลายคนพยายามฝืนเดินขึ้นบันได บนร่างของพวกเขาตอนนี้ยังมีบาดแผลบางแห่งหลงเหลือ ยิ่งกว่านั้น กระทั่งได้ประจักษ์ยามลั่วฉ่าวหนง เล่ออู๋เหินและมหาเทวาวิญญาณคนอื่น ๆ ขึ้นบันไดมากับตา และมันไม่ได้ง่ายเหมือนเช่นเฉินซีในขณะนี้กันสักคน!
นี่… ไม่ได้ต่างอะไรกับเดินบนพื้นเรียบ ๆ เลย
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ทั่วทิศเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าอันสม่ำเสมอของเฉินซีดังเป็นจังหวะ ขณะก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น
สองมือไพล่หลัง สีหน้าสุขุมเยือกเย็น อาภรณ์เขียวและเรือนผมดำขลับพลิ้วไสวตามลม ดูไม่เหมือนเข้ารับบททดสอบ แต่กลับเหมือนหวนเยือนบ้านตนเสียมากกว่า ดูสำรวมเฉยชาอย่างยิ่ง
เปรี้ยง!
ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้ปลายยอดของบันได เงาร่างเทวาสูงเก้าจั้งพลันปรากฏขึ้น ร่างของมันเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ถือง้าวสำริดเล่มยาว เต็มไปด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ชวนสะพรึง
ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายรายล้อมเห็นเช่นนี้ก็ผ่อนหายใจโล่งอก นี่สิจึงจะเรียกว่าปกติ หาไม่ หากคนผู้นี้ได้เข้าไปในตำหนักเต๋านภาม่วงง่ายนัก จึงไม่ยุติธรรมโดยแท้จริง!
ขณะเดียวกัน หัวใจของเถาตง เวยจื่อฝู และคนอื่น ๆ บีบตัว พวกเขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ ยามกลุ่มของเล่ออู๋เหินขึ้นบันได พวกเขาก็เกือบถูกเงาร่างเทวานี้พิชิตลง
ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาทำให้ผู้คนทั้งหลายตะลึงจังงัง อ้าปากค้างกันอย่างช่วยไม่ได้
“สวรรค์เมตตานายข้า!” เมื่อเห็นเฉินซียืนตรงหน้า เงาร่างนั้นก็ชะงัก ก่อนจะพลันส่งเสียงกู่ร้องที่ฟังดูเหมือนคร่ำครวญ หัวเราะ สุขสันต์ และแสนเศร้าไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากนั้น มันก็แปรไปเป็นควันสีม่วง หายลับไร้ร่องรอย
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาทั้งหลายต่างผงะ มันเหลือเชื่อเกินไป ใครเล่าจะคาดคิดว่าเงาร่างเทวาซึ่งทำให้พวกลั่วฉ่าวหนงสะบักสะบอมเมื่อก่อนหน้าจะกระทำการเกินเข้าใจในยามนี้?
ที่ว่าสวรรค์เมตตานายข้า หมายความเช่นไร?
หรือจะบอกว่าเฉินซีใช้วิชาควบคุมวิญญาณบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อเงาร่างเทวานั้นโดยที่มันไม่รู้ตัว?
ทุกคนต่างตะลึง ตกใจกันสุดขั้ว
ขณะเดียวกัน ยามเฉินซีซึ่งยืนบนบันไดเห็นเช่นนี้ ร่างก็ชะงักไป เงียบงันไปครู่สั้น ๆ เช่นกัน ก่อนจะเดินต่อจนหายลับเข้าประตูตำหนักไป
……
“เหตุใดเขาจึงผ่านตลอดทางได้โดยไม่พบอุปสรรค? หรือมีเคล็ดวิชาพิเศษบางอย่างที่เราไม่รู้?”
“มันเกินเข้าใจเกินไปนะ! เดิมที ข้าตั้งใจจะดูว่าเจ้านี่มีความสามารถเช่นไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุเกินเข้าใจเช่นนี้ขึ้นแทน?”
ทันทีที่เฉินซีลับตา ทั่วทิศก็ระเบิดเสียงฮือฮาโดยพลัน เกิดเสียงหารือนับไม่ถ้วน
บางคนสงสัยว่าการกีดกันของบันไดสลายไปแล้ว จึงขยับเข้าไปหมายลองเชิง ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ถูกรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงฟาดกระเด็น ส่งเสียงโหยหวนกันเสียแล้ว
ขณะนี้ ในที่สุดทุกคนก็ยืนยันได้ว่าเฉินซีต้องมีความผิดปกติบางอย่างแน่นอน หาไม่แล้ว คงไม่มีทางที่จะได้เข้าไปในตำหนักเต๋านภาม่วงง่ายเช่นนี้!
“บางที เมื่อมีสหายเต๋าเฉินซีเข้าร่วม เขาก็อาจสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาก็ได้?” เถาตงพึมพำ หัวใจบังเกิดความหวังเล็กน้อย
……
ในตำหนักเต๋านภาม่วงมีหนึ่งโลกอันแยกตัวเป็นเอกเทศโดยสิ้นเชิง
ทันทีที่มาถึง สิ่งปลูกสร้างเรืองรองเรียงรายก็ปรากฏในสายตา!
สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายล้วนเก่าแก่โบราณ ยิ่งใหญ่โอ่อ่า เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งบรรพกาล พวกมันสง่างาม สูงส่ง กระจายกันตามพื้นที่ต่าง ๆ
ทว่าขณะนี้ พวกเขาทั้งหลายล้วนสิ้นการคงอยู่ เหลือเพียงความวังเวงสงัดงัน
ใต้เท้าเฉินซีมีทางเดินปูด้วยหินปูนเป็นเส้นตรง นำไปสู่ส่วนลึกของตำหนัก
สองข้างทางคือสระน้ำที่เชื่อมต่อกัน ธารใสไหลรินอยู่ภายใน ฟุ้งละอองหมอกศักดิ์สิทธิ์ขาวดุจน้ำนม
บัวศักดิ์สิทธิ์เติบโตอยู่ภายในนั้นสองสามต้น ทว่าดอกบัวกลับไม่มีเหลือ เห็นได้ชัดว่าถูกผู้อื่นเด็ดไปแล้ว
นี่คือสถานที่อยู่ของรากเต๋าบรรพชนปฐมกาล…. เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว
ที่นี่กว้างใหญ่เกินไปอย่างแท้จริง มันเป็นหนึ่งโลกหล้าในตัวเอง เหมือนหนึ่งโลกกว้างอันเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างนานาเช่นเขาวงกตหนาแน่น หากต้องค้นหาทั่วโลกหล้านี้ ไม่รู้ต้องใช้เวลาเพียงใดกว่าจะทั่ว
เฉินซีครุ่นคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเดินตามทางเดินหินปูน
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงโถง ณ สุดทางเดิน มันโอ่อ่าอย่างยิ่ง เสาศิลาโบราณมากมายยืนตระหง่านภายใน นอกจากนั้น เสาแต่ละต้นยังสลักอักขระสัญลักษณ์ลึกลับต่าง ๆ ไว้มากมาย
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเคยเกิดศึกอันเข้มข้นขึ้นที่นี่ ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยร่องรอยสงคราม มีทั้งโต๊ะหักพัง กระถางธูปที่ถูกทำลาย ประทีปสำริดแตกหัก….
โชคยังดีที่ทั่วทิศไร้ซากศพใด และไม่มีรอยเลือดอยู่บนพื้น สิ่งนี้ทำให้เฉินซีผ่อนลมหายใจโล่งอก ตระหนักชัดเจนว่าศึกนี้ไม่น่าจะมีผู้ใดตาย
แต่พวกเล่ออู๋เหินไปอยู่ที่ใดกันแน่? เฉินซีปลดปล่อยเจตจำนงอันแข็งแกร่ง ตรวจสอบหาปราณทุกซอกมุมในโถงแห่งนี้ ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็เลิกคิ้ว ดวงตาเรืองประกายจรัสจ้า
เขาสัมผัสปราณสายหนึ่งอันเป็นของเชินถูเยียนหรานได้!
นางต้องรู้แน่ว่าข้าจะมาตามหา จึงทิ้งปราณของตนไว้…. โชคดีที่ข้ายังถือได้ว่ามาทัน หาไม่ ช้ากว่านี้สักนิด ปราณนั่นก็คงหายสิ้นไม่เหลือให้พบ เฉินซีคิดในใจเร็วจี๋ พริบตาต่อมา เขาก็ตัดสินหนึ่งทิศทาง เคลื่อนกายย้ายมิติหายวับไปอย่างไร้ลังเล
วูบ!
มิติสั่นสะท้าน อาคารโบราณนับไม่ถ้วนวูบไหวหายลับไปตลอดทาง น่าเสียดายที่เขามีเวลาไม่มาก ไม่เช่นนั้น เฉินซีอยากจะค้นอาคารเหล่านั้นเสียจริง
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือที่พำนักของเซวียนและบรรพเทวามากมายในอดีตกาล ดังนั้นร่องรอยที่พวกเขาทิ้งไว้ย่อมต้องอยู่ในอาคารโบราณเหล่านี้
แต่อึดใจต่อมา เฉินซีก็ส่ายหัวปฏิเสธความคิดตน เพราะถึงอย่างไร รากเต๋าบรรพชนปฐมกาลก็เผชิญกาลเวลาเนิ่นนานจนบัดนี้ มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเข้ามายังที่นี่ ดังนั้นไม่ว่าจะมีสมบัติลับใด ๆ ซ่อนในอาคารเหล่านี้ ก็คงไม่พ้นถูกปล้นชิงไปเนิ่นนานแล้ว
หนึ่งชั่วจิบชาต่อมา เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว ปรากฏว่ามีหนึ่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์อันโอ่อ่า ยิ่งใหญ่และเรืองรองสุดขีดแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไปพันลี้
มันเรืองรองทองอร่าม เจิดรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ดุจเขตพำนักจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ดูโดดเด่นเกินธรรมดา
แม้จะอยู่ห่างไปไกล เฉินซีก็ยังสัมผัสบรรยากาศยิ่งใหญ่สง่างามได้ชัดเจน ทำให้ชายหนุ่มทอดถอนใจไม่จบสิ้นด้วยความตะลึง คาดเดาในใจว่าหรือนี่จะเป็นที่พำนักบ่มเพาะของเซวียน?
แต่พริบตาต่อมา เขาก็เหมือนสังเกตเห็นบางสิ่ง สีหน้าพลันแย่ลง แล้วไม่คิดโอ้เอ้ต่อไป ร่างสูงใหญ่พุ่งทะยานสู่ตำหนักอย่างสุดความเร็วทันที
………………..