บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1692 วิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน
บทที่ 1692 วิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน
ป้ายคำสั่งกระดูกสัตว์ชิ้นนี้มีขนาดราวฝ่ามือ รูปร่างเหมือนกระบี่คม โปร่งใสกระจ่างเงา เต็มไปด้วยปราณโกลาหลอันบริสุทธิ์
ด้านหน้ามีอักษรคำว่า ‘เซวียน’ เพียงหนึ่ง สื่อถึงนามของเซวียน ผู้นำแห่งยุคหม่านกู่ ฝีมือทรงพลังคมกริบดุจคมมีด เต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ดุดันคุกคาม
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็มอบความรู้สึกเจ็บแปลบทิ่มแทงที่ดวงตา ดุจหนึ่งลำแสงเรืองโรจน์ทะลวงผ่านหว่างคิ้ว น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
หัวใจของพวกเขาทั้งหลายสั่นสะท้าน เพราะป้ายคำสั่งนี้แม้จะดูธรรมดา แต่ผู้ที่สร้างมันยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเจตจำนงกระบี่ที่บรรจุอยู่นั้นดุร้ายเกินใดเปรียบเสียจนน่าตะลึงตกใจ
“บรรพบุรุษตระกูลลั่วของข้าได้สมบัติของผู้นำยุคหม่านกู่นี้มาโดยบังเอิญ และป้ายคำสั่งนี้ก็สร้างขึ้นจากกระดูกของสัตว์ร้ายบรรพกาลโกลาหล ‘ถีเซี่ย’ อักษร ‘เซวียน’ บนนี้ ผู้นำยุคหม่านกู่เขียนขึ้นด้วยตนเอง ตราไว้ด้วยความลึกล้ำของเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาบรรลุถึง เป็นสมบัติอันประเมินค่าไม่ได้ หากข้าไม่ได้มายังซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่หนนี้ ญาติผู้ใหญ่ในตระกูลข้าไม่มีทางส่งสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้ข้าแน่นอน” ลั่วฉ่าวหนงอธิบายเสียงเรียบ เจือด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปากเมื่อเห็นสายตาตกตะลึงและริษยาจากรอบข้าง
นี่คือสินทรัพย์และพื้นภูมิจากตระกูลลั่ว!
มันคือความภาคภูมิ! แม้คนอื่น ๆ ทั่วทิศก็มาจากตระกูลนิกายสูงสุดในเอกภพจักรวรรดิ แต่พวกเขาก็ไม่อาจเทียบชั้นตระกูลลั่วได้ในด้านนี้
ลั่วฉ่าวหนงแย้มยิ้มพลางเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ ชี้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณอันลอยบนฟ้าอยู่ไกล ๆ “จิตศึกของเหล่าเทพผู้แข็งแกร่งที่ผู้นำยุคหม่านกู่กำจัดไว้ตลอดมาถูกสะกดไว้ที่นี่ แม้จะถูกจองจำเกินนับปี แต่พวกเขาล้วนมีอำนาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ถึงขนาดที่ไม่ขาดตัวตนน่าสะพรึงเทียบขอบเขตมหาราชเทวาได้ด้วยซ้ำไป”
ทุกคนต่างผงะ ตะลึงตกใจ ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าจิตสังหารเช่นนี้จะมีอยู่บนภูเขานี่
กระทั่งแข็งแกร่งกว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ไม่ขาดตัวตนเทียบขอบเขตมหาราชเทวา!
เพียงคำพูดเหล่านี้ลำพังก็เพียงพอให้รู้สึกไร้กำลังสิ้นหวังแล้ว
“แต่เมื่อเรามีป้ายคำสั่งนี้ ก็เพียงพอสลายอันตรายที่จะเผชิญยามขึ้นเขาไปกว่าครึ่ง ขอเพียงทุกท่านร่วมมือกับข้า เราจะไปถึงยอดเขาโดยสวัสดิภาพกันได้แน่นอน!” ดวงตาของลั่วฉ่าวหนงแผดผลาญด้วยความปรารถนา ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมความทะนง
ไร้ผู้ใดทราบว่าเขาตรากตรำเตรียมการมาชิงรากเต๋าวิภูจักรวรรดินี้เช่นไร
เช่นการหว่านล้อมกลุ่มของกงเหย่เจ๋อฟูมาช่วยเหลือ
เช่นการไปขอหนอนวิญญาณรากบรรพชนและระฆังวิเวกโลหิตศักดิ์สิทธิ์จากคุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินเพื่อนำทาง
เช่นภาพเหมือนของปราชญ์และป้ายคำสั่งกระดูกสัตว์ที่เขามี
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนได้มาง่ายดาย แต่ใครจะทราบว่าเขาต้องบากบั่นและสูญเสียไปเพียงไรเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา?
ยามนี้เมื่อความสำเร็จอยู่ตรงหน้า หัวใจของลั่วฉ่าวหนงจึงเต้นรัวด้วยความภาคภูมิและตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้ ในที่สุดข้าก็จะทำสำเร็จ เมื่อได้รากเต๋าวิภูจักรวรรดินั่นมาแล้วบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล จะยังมีผู้ใดเทียบชั้นข้าได้อีกบ้าง?
อวี๋จิ่วเยว่ อันดับสองบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ?
ไม่ได้!
แม้เจ้านั่นจะร้ายกาจ แต่ก็เป็นเพียงคนมุทะลุไม่คิดหน้าคิดหลัง
เย่เฉินซึ่งอยู่ในอันดับหนึ่ง?
อาจสามารถสยบข้าในยามนี้ได้ แต่ก็ไม่เสมอไปหากข้าบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลั่วฉ่าวหนงก็สูดหายใจลึก ๆ “ทุกท่าน ไปกันเถอะ”
ว่าแล้ว ก็เดินนำขึ้นภูเขาไปก่อน
คนอื่น ๆ จึงตามหายไปในทางเดินสูงชันอันแทบจะไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว
…
หนึ่งจิบชาผันผ่าน บงกชหยกขาวมากมายพลันเบ่งบานที่อีกฟากฝั่ง แพร่ขยายจนมาถึงตีนเขา
แม้เขาจะเข้ามาในประตูแห่งมหาเต๋าตามหลังคนอื่น ๆ สิบกว่าวัน แต่กลับไล่ตามหลังมาติด ๆ!
ทั้งหมดนี้เหมือนดั่งปาฏิหาริย์ เหลือเชื่อยิ่งนัก
อาภรณ์ส่ายสะบัด ขณะที่สีหน้าของเจียหนานสงบนิ่งหนักแน่น สำรวมไม่เปลี่ยนแปลง
เขาเงยหน้ามองภูเขาทองอันสูงตระหง่านสุดตาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะค้อมหัวลงประนมมือ สรรเสริญพุทธคุณอย่างเงียบ ๆ
ดูราวกับไม่กล้าเอะอะให้เหล่าผู้อยู่เหนือนภาตื่นตัว
หลังจากนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงใจ นำประทีปดวงหนึ่ง เสื่อวิปัสสนา บาตรพระ ลูกประคำ และพุทธสูตรออกมา
เขาจุดประทีป นั่งขัดสมาธิบนเสื่อวิปัสสนา วางบาตรไว้ตรงหน้า ประนมมือขณะขยับประคำด้วยนิ้วมือ
หลังทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น สีหน้าของเจียหนานก็ยิ่งเคร่งขรึม ทั่วร่างเปล่งชั้นรัศมีศักดิ์สิทธิ์ฟุ้งจาง สมบูรณ์และโปร่งใสดุจมหาเต๋า
พุทธสูตรลอยขึ้นตรงหน้า ก่อนที่จะพลิกหน้าเปิดพลางเปล่งรัศมีเรืองรองฉาบเก้าชั้นฟ้า!
หลังจากนั้น เสียงสวดบริกรรมก็ลอยไปในโลกหล้า….
“สรรพสิ่งในโลกหล้าไร้จีรัง สิ่งใดเกินรับรู้มักนำมาซึ่งความเจ็บปวด ชะตาอยู่เหนือสรรพสิ่ง มีเพียงการรู้แจ้งอย่างแท้จริงเท่านั้นที่นำมาซึ่งความเข้าใจ”
“สรรพสิ่งเกิดมาและดับไปโดยชะตากรรม!”
“ข้าประจักษ์แก่ตัวตนแท้จริง แสวงหาตัวตนแท้จริง ดังนั้นพุทธะจึงคงอยู่นิรันดร์ หัวใจข้ากำเนิดใหม่ ขณะที่ข้าคงอยู่ตราบกาล….”
เสียงสวดบริกรรมดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ร่างของเจียหนานดูราวถูกหัตถ์ล่องหนโอบอุ้มพาขึ้นสู่ยอดเขาไปตามทาง
ประทีปส่ายไหว เสื่อวิปัสสนาเรืองรัศมี ลูกประคำเคลื่อนวนรอบกาย สายลมพัดโชย ขณะที่บาตรลอยไปรอบ ๆ พลางเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต!
ระหว่างทางมีเงาร่างทวยเทพพุ่งออกมาเป็นครั้งคราว ทว่ากลับไม่อาจแม้แต่จะเฉียดใกล้ เสียงบริกรรมก็ทำให้ร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน ส่งเสียงแผดร้องไม่จบสิ้นก่อนจะหนีเตลิดไป
…
“หืม?” บนทางเดิน ดวงตาของลั่วฉ่าวหนงเรืองรัศมีวาวโรจน์เหมือนตรวจพบบางสิ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเครียดเขม็ง แค่นเสียงอย่างเย็นชา “สมบัติปราชญ์ทั้งห้าของนิกายพุทธ? ข้าไม่คาดเลยว่าเจียหนานผู้นี้จะมีฝีมือพอตัว ไปขอความช่วยเหลือจากห้ายอดฝีมือนิกายพุทธผู้บรรลุขั้นโพธิสัตว์ได้!”
ก่อนที่จะได้ฟื้นตัวจากความตกใจ ลั่วฉ่าวหนงก็โบกมือ “อย่าไขว้เขว เราใช้เวลารุดหน้าให้เร็วที่สุดจะดีกว่า หากเจียหนานผู้นั้นกล้าประชันกับเราจริง ๆ ก็ฆ่าเขาเสีย!”
…
เป็นพุทธวจนะที่ยิ่งใหญ่แท้… อีกฟากฝั่งหนึ่ง เฉินซีกำจัดหนึ่งจิตศึกลงในกระบวนท่าเดียว แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาสัมผัสถึงเสียงสวดพุทธวจนะสะท้านเก้าชั้นสรวงนั่นได้เช่นกัน และตระหนักดีว่าผู้มาน่าจะเป็นเจียหนาน
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสะท้าน เจียหนานเพิ่มมาอีกคน หมายความว่าสถานการณ์จะมีตัวแปรเพิ่มมาอีกหนึ่ง ประกอบกับกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงก็อยู่ด้วย การแข่งขันที่นี่ย่อมดุเดือดยิ่งกว่าเก่า
เหมือนว่าทำได้เพียงเร่งความเร็ว เฉินซีครุ่นคิดลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจเริ่มรุดหน้าเต็มกำลังทันที
ก่อนหน้านี้ เพื่อดูดซับพลังมหาเต๋าระหว่างทางให้หลอมรวมกับประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า จึงรักษาความเร็วระดับหนึ่งไว้ได้
ทว่ายามนี้ เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว
วูบ!
หนึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดเฉินซีก็มาถึงยอดเขา ขณะนี้ดวงตาของเฉินซีเต็มไปด้วยแสงไร้ประมาณ เห็นดวงตะวันมากมายเฉิดฉันสู่ท้องนภาจากในทะเลเมฆา
เมื่อมองดี ๆ ปรากฏว่าพวกมันคืออีกาทองคำสามขาขนาดมหึมาจำนวนมาก!
อีกาทองคำสิบตัวทะยานเหนือเวหา เรืองรัศมีเจิดจรัสแผดผลาญ ทำให้ทะเลเมฆา พื้นดิน และภูเขาถูกย้อมด้วยรัศมีทองเรือง เป็นภาพอันเจิดจรัสตระการตาอย่างยิ่ง
ทว่าไม่นานนัก เฉินซีก็สังเกตพบว่าพวกมันไม่ใช่อีกาทองคำตัวจริง แต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากสนามพลังลึกลับบางอย่าง
นอกจากนั้น สนามพลังลึกลับนั้นมาจากอาคารโบราณอันยืนตระหง่านที่กลางยอดเขา สร้างขึ้นจากศิลาสีทองทั้งหลัง เรืองรองรัศมีศักดิ์สิทธิ์ทองอร่าม
แล้วเฉินซีก็ต้องประหลาดใจเมื่ออาคารโบราณนี้ดูเหมือนสวนสมุนไพรเทพรังสรรค์ แม้จะยืนอยู่แสนไกลจากมัน ทว่ากลิ่นโอสถสมุนไพรหนาแน่นก็ยังโชยมาเตะจมูกในลักษณ์พิรุณแสง
ขณะนี้ร่างของเฉินซีรู้สึกแสนสบาย วิญญาณเบิกบานปรีดา
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกตะลึงสุดขั้ว เพราะเพียงปราณของมันยังมีความสามารถเหลือเชื่อ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติทั่วไปจะมีได้เลย
สิ่งใดอยู่ในอาคารโบราณนั้นกันแน่? หรือจะเป็นรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เค้าความตื่นเต้นอันไม่อาจสะกดก็พลุ่งพล่านจากหัวใจของเฉินซี ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และสังเกตพบว่ายังไม่มีผู้ใดมาถึง นี่หมายความว่าเขามาถึงเป็นคนแรก ก่อนหน้าลั่วฉ่าวหนงและเจียหนาน!
เมื่อเผชิญโอกาสงามเช่นนี้ มีหรือจะปล่อยมันไป ร่างสูงใหญ่วูบไหว ตั้งใจจะเข้าไปในอาคารโบราณ
ทว่าทันใดนั้นเอง เหตุไม่คาดฝันก็บังเกิดเฉียบพลัน!
“ฮ่า ๆ ๆ! ในที่สุดเราก็มาถึง!”
“วิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน! ที่นี่คือวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนในตำนาน! พวกเจ้าเห็นกันหรือไม่!? อีกาทองคำเหินนภา เจิดรัศมีปกคลุมวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่คือนิมิตสูงสุดที่มีได้เพียงวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน!”
“หือ? นั่นมัน…. เวรเอ๊ย! เฉินซี!”
“เวร! เขามาทำอะไรที่นี่? มาถึงก่อนเราอีก!”
เสียงอุทานดังเอะอะ พร้อมกันนั้น บุคคลจำนวนมากก็แหวกมิติมาถึง ปรากฏว่าผู้มาใหม่คือกลุ่มของลั่วฉ่าวหนง
พวกเขาเดิมทีหารือกันอย่างตื่นเต้น แต่สายตาก็ชะงักทันทีเมื่อเห็นเฉินซียืนอยู่ไกล ๆ
ขณะนี้เฉินซีชะงักงัน รำพึงอยู่ในใจ เขารู้ว่าหากบุ่มบ่ามเดินหน้า คนเหล่านี้ย่อมเปิดฉากโจมตีแน่นอน
ใช่แล้ว พวกเขาแต่ละคนล้วนสูญเสียแพ้พ่ายด้วยมือเฉินซี หรือไม่ก็มีความสัมพันธ์บางอย่าง ไร้ผู้ใดไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินซีเลย!
เช่นเป่ยเหวินซึ่งเกือบถูกเฉินซีฆ่ายามเพิ่งมาถึงซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
เช่นคุนอู๋ชิงที่มาติดต่อเฉินซี ตั้งใจจับมือเป็นพันธมิตรกัน แต่ถูกปฏิเสธตั้งแต่เริ่มมุ่งหน้าจากมหาสมุทรสุสานเทวะสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่
เช่นเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางผู้พ่ายแพ้หมดท่า และกระทั่งตี้จวินยังถูกฟาดกระเด็นในหนึ่งกระบวนระหว่างประมือกัน
ส่วนลั่วฉ่าวหนงนั้น เขาเคยประมือกับเฉินซีเพื่อแย่งรากเต๋าบรรพชนระดับแปดมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำอะไรคนผู้นี้ได้
สุดท้ายก็คือเจิ้นหลิวชิง… ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าสัมพันธ์เช่นไร
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุที่อารมณ์ของพวกเขาปั่นป่วนกันนักยามเห็นเฉินซี