บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1693 เหตุขัดแย้งปะทุ
บทที่ 1693 เหตุขัดแย้งปะทุ
ไร้ผู้ใดคาดคิดออกว่าเฉินซีผ่านชั้นอุปสรรคขึ้นบันไดหยกขาวสู่ตำหนักเต๋านภาม่วงมาได้อย่างไร
พวกเขาทุกคนต่างไม่อาจวาดฝันว่าเฉินซีได้ความกล้าเข้ามาในประตูแห่งมหาเต๋าตามลำพังจากที่ใด
ยิ่งกว่านั้น ยังไร้ผู้ใดคาดคิดว่า ไม่เพียงจะเลี่ยงอันตรายถึงตายในประตูแห่งมหาเต๋ามาได้ แต่กระทั่งขึ้นสู่ยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนก่อนพวกตนอีก!
ทั้งหมดนี้ไม่อาจเชื่อลง ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซี ไม่เพียงหัวใจจะไม่อาจสงบ ยังรู้สึกตกตะลึงเหลือเชื่อกันอีกด้วย
เพราะเหตุใด?
เหตุใดยามพวกเขาฝ่าฟันสารพัดอุปสรรคตลอดทาง ตรากตรำผ่านจิตสังหารความยากลำบากสารพัด ใช้วิชากลยุทธ์จนมาถึงที่นี่ได้อย่างยากลำบาก เฉินซีลำพังจึงมาตัดหน้าก่อนได้?
สิ่งนี้ทำให้หัวใจทุกดวงไม่อาจสงบ
โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงส่วนใหญ่เคยมีความแค้น กระทบกระทั่งกับเฉินซีมาในอดีต ขณะนี้ทั้งความแค้นและครั่นคร้ามในอกต่างพลุ่งพล่าน ทำให้สีหน้าแตกต่างซับซ้อนอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน สายตาซึ่งเดิมเยือกเย็นสงบเงียบของเฉินซีต่อกลุ่มคนตรงหน้าก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเฉยชา
…
อีกาทองคำทั้งสิบสยายปีก เรืองรัศมีเฉิดฉันปกคลุมทั่วยอดเขา ทั้งทะเลเมฆา ชั้นนภาล้วนถูกย้อมเรืองรอง
ที่กลางยอดเขา วิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนอันเก่าแก่ตั้งตระหง่าน เผยบรรยากาศเคร่งขรึมยิ่งใหญ่ ขณะที่กลิ่นหอมหวานและละอองแสงพร่างพรมออกมาจากภายใน
เดิมทีบรรยากาศที่นี่สงบเงียบศักดิ์สิทธิ์ ทว่าขณะนี้มันวังเวงอันตราย ให้บรรยากาศตึงเครียดของการเผชิญหน้า
ลั่วฉ่าวหนงเลิกคิ้ว ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เฮอะ! ไม่คาดเลยว่าเจ้าจะออกมาจากซากโบราณเทวาล่วงลับได้”
ตี้จวินเลียริมฝีปากแดงสด กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดแหลม “ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีก เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เพราะข้าคิดอยากเล่นกับเจ้าอยู่เสมอเลย!”
กงเหย่เจ๋อฟูกล่าวเสียงเย็น “เจ้าอีกแล้วหรือ? หลอกหลอนเป็นผีเลยนะ!”
คุนอู๋ชิงพูดอย่างประหลาดใจ “สหายเต๋า เราพบกันหนที่สี่แล้วใช่หรือไม่? บังเอิญจริงแท้”
เป่ยเหวินเผยสีหน้าเคียดแค้น เค้นเสียงสองคำลอดไรฟัน “เฉินซี!”
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนขมวดคิ้ว หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวย พวกเขาก็เกือบยั้งตนไม่ให้ถามกันเองไม่อยู่แล้ว ว่าไปกระทบกระทั่งกับเฉินซีได้อย่างไร
แต่สิ่งนี้ทำให้เข้าใจทันทีว่า เฉินซี คนผู้นี้ไม่ใช่แค่ล่วงเกินพวกเขา แต่คนอื่น ๆ ก็ถูกเฉินซีล่วงเกินมาถ้วนหน้า เจ้านี่… กล้าดีจริง ๆ!
ในหมู่คนทั้งหลายที่นี่ มีเพียงเยว่หรูฮวา จินชิงหยาง และเจิ้นหลิวชิงที่ไม่พูดจา ทว่าทั้งเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางต่างมีสีหน้าดำคล้ำยิ่ง ความแค้นในสายตาชัดแจ้งดุจแสงตะวัน
ส่วนเจิ้นหลิวชิงนั้น สีหน้าของนางเผยเพียงความตกตะลึงเล็กน้อยในทีแรก ก่อนจะคืนความสำรวมและสงวนคำเงียบเชียบ เหมือนความคิดว้าวุ่นเลื่อนลอย
เมื่อได้ยินคำพูดโอหัง สังเกตเห็นความมาดร้ายบนใบหน้าของอีกฝ่าย สีหน้าของเฉินซีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ดวงตาเพียงหรี่ลงอย่างแทบสังเกตไม่ได้ยามมาหยุดที่เจิ้นหลิวชิง ก่อนจะละสายตาจากไป
เขาไม่พูดอะไรมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่เผยเค้าความกลัวความขลาดเช่นกัน สีหน้ายิ่งทวีความเรียบเฉย
“เจ้ามีลำพัง แต่ยังกล้าสร้างศัตรูไปทั่ว ข้าควรบอกว่าความกล้าของเจ้าคู่ควรชื่นชม หรือบอกว่าเจ้าโอหังไม่รู้เรื่องดีหนอ?” ลั่วฉ่าวหนงพูดช้า ๆ ดูเหมือนชัยชนะอยู่ในกำมือ “วันก่อน เจ้าชิงรากเต๋าบรรพชนระดับแปดหนึ่งชิ้น ระดับเจ็ดสี่ชิ้นไปจากข้า หรือเจ้าจะฝันหวานคิดแย่งรากเต๋าวิภูจักรวรรดิไปอีก?”
พวกเขาหลายคนผงะประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะเหิมเกริมและเคยแย่งรากเต๋าบรรพชนหายากมากมายไปจากลั่วฉ่าวหนง
ลั่วฉ่าวหนงแย้มยิ้ม ทว่าสายตาของเขาเย็นเยียบ “ในความคิดข้า เจ้าแย่งของของข้าไป เจ้าไม่เชื่อ? แล้วเช่นไร? เจ้าคิดว่าสวะไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาเถียงกับข้าหรือ?”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก กระทั่งเจือความเหยียดหยามเดียดฉันท์สถานะของเฉินซี
ทันทีที่คำพูดถูกกล่าว คนอื่น ๆ ก็อดยิ้มกันไม่ได้ แล้วมองเฉินซีด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง เย็นชา และสารพัดความดูแคลน
พวกเขามาจากเอกภพจักรวรรดิ แต่ละคนล้วนมาจากตระกูลระดับสูงสุด มีที่มาไม่ธรรมดา สถานะสูงส่ง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณ แค่นี้ก็เพียงพอให้หมางเมินชนรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ไปได้แล้ว
ในสายตาพวกเขาขณะนี้ เฉินซีเป็นเหมือนมดที่จะเหยียบยามใดก็ได้ ทั้งยังมีตัวคนเดียว น่าสงสารและน่าขันนัก
จริงอยู่ที่อำนาจต่อสู้ของเฉินซีไม่ธรรมดา ถึงกระทั่งเอาชนะเยว่หรูฮวาและจินชิงหยางได้ แต่แล้วเช่นไร?
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังมีคนอย่างลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูอยู่ข้างเดียวกัน! ประกอบกับเมื่อมหาเทวาวิญญาณอย่างพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน กระทั่งเย่เฉินผู้อยู่ในอันดับหนึ่งบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณยังน่าจะไม่มีทางเลือกนอกจากเลี่ยงพวกเขาไปชั่วคราว แล้วนับประสาอะไรกับเฉินซี?
เฉินซีเผชิญวาจาดูแคลน สีหน้าเหยียดหยามเช่นนี้มาเกินนับ ดังนั้นเขาจึงดูสุดเฉยชาสำรวมยามเผชิญเรื่องทั้งหมดนี้ ราวกับจะคงความเยือกเย็นได้ทุกสถานการณ์
“พวกเจ้าผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะโต้เถียงกับพวกเจ้า “ท้ายที่สุด เฉินซีทำเพียงส่ายหน้าพูดเสียงเรียบ “สวดมนต์ให้คนหูหนวกฟังเปล่า ๆ อีกอย่าง พวกเจ้ายังไม่คู่ควรกับการปฏิบัติเช่นนั้นด้วยซ้ำ”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ยั่วโมโหพวกลั่วฉ่าวหนง กลับกัน พวกเขากลับระเบิดหัวเราะราวได้ยินเรื่องตลกอันน่าขันที่สุด
ให้ความรู้สึกราวได้ยินขอทานบอกว่าจักรพรรดิไม่คู่ควรมีสถานะเทียบเท่าตน ทำให้พวกเขาเกือบคิดไปว่าเฉินซีเสียสติแล้ว
มีเพียงมุมปากเจิ้นหลิวชิงที่กระตุก เหมือนจะหวนนึกถึงเรื่องเก่าบางอย่างในอดีต ทำให้ดวงตาเจิดจรัสเจือความอึดอัดใจ และยิ่งนิ่งเงียบกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ พี่ลั่ว เหตุใดไปเปลืองน้ำลายกับเขากัน ให้ข้าฆ่าเจ้าคนไม่รู้เรื่องนี่เพื่อประหยัดเวลาจะดีกว่านะ” ตี้จวินหัวเราะร่าขณะสาวเท้าออกมา สายตาเจือเค้าบ้าคลั่งกระหายเลือด ยกนิ้วกวักเรียกเฉินซีอย่างยั่วยุราวท้าทายให้มาสู้กัน “มาเลยมา! ข้าสั่งสมโทสะเต็มอกมาเนิ่นนานที่ไม่อาจเล่นกับเจ้าได้เต็มที่ในวันนั้น หนนี้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เสียงของเขาแหลมเสียด เผยเค้าความหยิ่งผยอง
เฉินซีเลิกคิ้ว ก่อนจะพลันแย้มยิ้ม “เล่น? ก็ได้”
ขณะนี้ อำนาจคุกคามของเฉินซีแปรเปลี่ยนไป สายตาคมปลาบเช่นอัสนี บรรยากาศดุร้ายปะทุจากร่างทะยานเวหา
“ช้าก่อน!” ทว่าทันใดนั้นเอง ลั่วฉ่าวหนงก็โพล่งขึ้น เขาหรี่ตาลงพินิจอีกฝ่ายหัวจรดเท้า แล้วกล่าวกับเยว่หรูฮวาและจินชิงหยาง “ไปเสริมกำลังตี้จวิน ปราบเจ้าเด็กนี่ให้เร็วเถิด”
คำสั่งนี้ทำให้ปวงชนผงะไป ประหลาดใจกันเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างรู้สึกเหมือนลั่วฉ่าวหนงระแวดระวังเกินเหตุ
ขณะเดียวกัน เรือนผมยาวสะบัดไหว เจตจำนงศึกพลุ่งพล่านในกายดุจโลหิตไหลเวียน สืบเท้าออกมาทะลวงมิติ จู่โจมเฉินซีอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
เคร้ง!
ดาบโค้งสีเลือดถูกชักจากฝัก ประหนึ่งดวงตะวันสีเลือดทะยาน ทุ่มทะลวงลงใส่เฉินซี เจิดจ้าเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์
“ไอ้หนูงี่เง่า! ตายซะ!” ตี้จวินคำราม
ตู้ม!
ประกายแสงจากดาบแดงสดดุจอเวจี สร้างนิมิตน่าสะพรึงกลัว เทพอสูรกู่คำราม ธารโลหิตไหลเชี่ยว ดูประหนึ่งจะฟาดฟันแยกนภาเป็นสองเสี่ยง ทำให้สรรพชีวิตจมลงท่ามกลางแสงสีเลือด
การโจมตีนี้เผยอำนาจของตัวตนอันดับสิบสองบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณอย่างชัดแจ้ง เห็นได้ชัดว่าแม้ตี้จวินจะดูโอหัง แต่เขาไม่ได้เลินเล่อเลย และลงมือโดยทุ่มสุดกำลังมาแต่แรก
โชคยังดี เจ้านี่ไม่ได้กระทำการบุ่มบ่าม…. ลั่วฉ่าวหนงลอบส่ายหัว เห็นแล้วว่าตี้จวินใช้ไม้ตายสังหาร
ขณะนี้ จิตสังหารเย็นเยียบชวนสะพรึงกวาดเข้ามา เรือนผมยาวของเฉินซีส่ายสะบัดพร้อมอาภรณ์ ทว่ากลับไม่เคลื่อนไหว ประหนึ่งกลัวจนตัวแข็งไปแล้ว
พริบตาต่อมา ปราณกระบี่สายหนึ่งก็ฟาดฟันออกไป
เชือดเฉือนกาสร!
ทุกคนรู้สึกเหมือนบางสิ่งวูบไหวผ่านตา ก่อนจะได้ยินเสียงเปรี้ยงสนั่นก้อง ประกายแสงดาบซึ่งฟาดฟันลงดุจจันทร์เสี้ยวสีเลือดนั้นแหลกสลายเป็นเสี่ยง แปรเป็นละอองแสงกระจายทั่วทิศ
หลังจากนั้น ร่างซึ่งพุ่งทะยานเข้าใส่เฉินซีของตี้จวินก็เหมือนถูกอำนาจบางอย่างฟาดกระเด็นกลับมาอย่างรวดเร็วกว่าขาไป ร่างกระแทกมิติเบื้องหลังแหลกเป็นชิ้นก่อนจะกระแทกลงบนพื้น กระดูกทั่วร่างเหมือนเปล่งเสียงแหลกร้าว โลหิตไหลรินจากจมูกปาก
“อ๊าก!!!” เขาแผดเสียงอย่างเจ็บปวด ทั้งตกใจและเดือดดาลถึงขีดสุดในใจ มันเป็นไปได้เช่นไร?
ม่านตาของคนอื่น ๆ หดตัว แทบไม่กล้าเชื่อสายตา
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป พวกเขายังไม่เห็นด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโจมตีอย่างไร แต่ตี้จวินผู้รุกโจมตีอย่างดุดันก็ถูกหนึ่งการโจมตีฟาดกระเด็นไปได้ ไม่อาจรับรู้เข้าใจได้เลยสักนิด
พวกเขาตระหนักดีว่าหากตี้จวินป้องกันตนเองไม่ทัน เพียงหนึ่งโจมตีนี้ลำพังก็เพียงพอพรากชีวิตตี้จวินแล้ว!
“อีกที!” ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างเดือดดาล ตี้จวินพุ่งทะยานสู่เวหา ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยวดุร้าย ประหนึ่งเทพมารกระหายเลือดจากขุมนรกผู้สิ้นสติบ้าคลั่ง
เขาไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ และคิดไปว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพราะเขาเลินเล่อ จึงใช้อำนาจทั้งหมดคิดสู้ต่อ
วูบ! วูบ!
หนนี้ ลั่วฉ่าวหนงไม่ต้องเตือนสติ เยว่หรูฮวาและจินชิงหยางก็เหลือบมองกัน ก่อนจะพุ่งออกไปโดยพร้อมเพรียง ใช้วิชาที่พวกตนเชี่ยวชาญสูงสุดขนาบโจมตีเฉินซี
“พวกเจ้าสองคนก็ไปด้วยเลย” ลั่วฉ่าวหนงกล่าวกับคุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินซึ่งยืนอยู่ข้างกันเสียงเบา เพราะการโจมตีเมื่อครู่ทำให้ในใจเกิดเค้าความกังวลระคนเคลือบแคลง ไม่กล้าเลินเล่อมองข้าม
คุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินลังเล เพราะไม่คิดว่าพวกตนจะคณนามือเฉินซี
“เร็วเข้า!” ลั่วฉ่าวหนงขมวดคิ้ว “พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ที่นี่มีข้ากับกงเหย่เจ๋อฟูอยู่ด้วยนะ!?”
หัวใจของคุนอู๋ชิงและเป่ยเหวินสั่นกระตุก รู้ว่าไม่อาจปฏิเสธ พวกเขาจึงทำใจกล้ามุ่งหน้าสู่สมรภูมิ
………………..