บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1695 ก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ
………………..
บทที่ 1695 ก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ
ฟ้าดินดับแสง สรรพสิ่งล้วนคร่ำครวญ
แม้ลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูยังไม่จู่โจม แต่ก็แผ่กลิ่นอายของยอดอัจฉริยะที่ไร้ผู้เปรียบปาน จนบังเกิดแรงสั่นสะเทือนพัดโหมไปรอบด้าน
ยามนี้ แม้แต่เฉินซีก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองมิใช่มหาเทวาวิญญาณธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง กลิ่นอายกล้าแกร่ง พลังนั้นพิเศษและไร้ที่ติ เป็นที่ประจักษ์ว่าทั้งสองได้มาถึงขีดสุดของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว ทั้งยังถือได้ว่าเป็นยอดยุทธ์ที่หาผู้เทียบเคียงได้ยาก
อันที่จริงนั้น เพียงแค่อันดับของพวกเขาในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ว่าผู้ที่สามารถเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกนั้น ไม่อาจมองข้ามได้แต่อย่างใด
ทว่าความเข้าใจนี้ไม่กดดันต่อเฉินซีมากนัก ท่าทียังคงสงบและเฉยเมย
มีเพียงดวงตาที่ลึกล้ำดุจหุบเหว ที่พลุ่งพล่านด้วยจิตต่อสู้ดุจหินหลอมเหลว
ใช่ เมื่อครู่นี้เฉินซีหาได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ปรารถนาที่จะปลิดชีวิตอีกฝ่าย หรือกริ่งเกรงว่าจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับมหาอำนาจที่หนุนหลังพวกมัน ตอนนี้พวกมันไม่มีโอกาสแม้แต่จะหายใจ
แน่นอนว่า หากเฉินซีเดือดดาลมาก และหาได้คำนึงถึงมหาอำนาจที่หนุนหลังพวกมันอย่างสิ้นเชิง
นี่คือคติในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ของเฉินซี
…
ลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูหยุดพร้อมกันเมื่อห่างจากเฉินซีหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง กลิ่นอายอันมหาศาลของทั้งสองได้เล็งเป้าไปที่เฉินซีจากระยะไกลแล้ว
บังเกิดเป็นร่องรอยของการเผชิญหน้าสามทางอย่างคลุมเครือ ทว่าทุกคนล้วนตระหนักว่า มันหาได้เป็นการเผชิญหน้าสามทาง แต่เป็นสองต่อหนึ่ง!
สองยอดยุทธ์ที่ขึ้นสู่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณนั้น กำลังเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่มีชื่อปรากฏบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณด้วยซ้ำ!
บรรยากาศเต็มไปด้วยการฆ่าฟันและความเงียบงัน
ตี้จวินและคนอื่น ๆ หาได้คำนึงถึงอาการบาดเจ็บที่กระจายทั่วร่างกายของตน ทั้งหมดต่างตื่นเต้นและเฝ้าดูอย่างคาดหวัง ปรารถนาให้ลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูฆ่าเฉินซีในคราเดียว ล้างแค้นให้พวกเขา
“สถานการณ์บีบบังคับ ดังนั้นเราจึงต้องรวมพลังเพื่อจัดการกับเจ้า และยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด หากเป็นยามปกติ ข้าอาจสนใจที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัว ทว่าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “แน่นอน หากเจ้ามอบกระบี่ราชาเซวียน รากเต๋าบรรพชนระดับแปด และถอนตัวจากภูเขานี้ ไม่เพียงแต่ข้าจะปล่อยให้อดีตผ่านไป ข้ายังอาจเป็นสหายกับเจ้าด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
แม้ถ้อยคำจะสงบ แต่ก็แฝงความเย่อหยิ่ง ทั้งยังมีน้ำเสียงสั่งการราวกับออกคำสั่ง
เฉินซีขมวดคิ้วขณะไม่คาดคิดว่าลั่วฉ่าวหนงจะรู้จักกระบี่ราชาเซวียนเล่มนี้ “ดูเหมือนเจ้าเข้าใจอะไรผิดไป ประการแรก ข้ามาที่นี่เพื่อรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ ส่วนประการที่สอง เพื่อทวงคืนรากเต๋าบรรพชนระดับเก้าและรากเต๋าบรรพชนระดับเจ็ดทั้งสามที่เจ้าแย่งชิงมาจากสหายเต๋าจวนอวี๋สุ่ย”
ลั่วฉ่าวหนงตกตะลึง ทั้งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนที่ลั่วฉ่าวหนงจะกล่าว เฉินซีก็ชิงพูดต่อ “โอ้ มีอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าทุกคนที่ทำร้ายสหายเต๋าเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ข้าก็ต้องคว้าโอกาสนี้เพื่อเอาคืนเช่นกัน”
ผู้คนล้วนประหลาดใจ และเกือบจะคิดว่าได้ยินผิดเพี้ยนไป ถึงเวลานี้ คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ระงับตนเอง แต่ยังหยิ่งผยองด้วยซ้ำ ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ!
ในขณะนี้ ลั่วฉ่าวหนงก็เดือดาลจนระเบิดเสียงหัวเราะเช่นกัน “ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าจริง ๆ! เจ้าเป็นคนแรกในใต้หล้าที่กล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้! ดี เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าตายอย่างครบสามสิบสอง แล้วจะกลบฝังเจ้าด้วย!”
“พี่ลั่ว ไยต้องเสียลมหายใจกับเขาเล่า? เจ้าคิดว่าคนผู้นี้จะสำนึกบุญคุณเจ้าจริง ๆ เหรอ?” กงเหย่เจ๋อฟูกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมเผยจิตสังหาร เพราะครั้งนี้เขาไม่คิดจะปล่อยเฉินซีให้รอดชีวิตกลับไป
ความรู้สึกนี้พิกลประหลาดนัก คล้ายกับความอิจฉาและความเกลียดชัง ซึ่งเขาไม่มีทางยอมรับมันอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่มีค่าควรแก่การอิจฉาของเขา กงเหย่เจ๋อฟู!
“ข้าลืมบอกไปว่า ข้าอดทนต่อเจ้ามาตลอดเวลา ในขณะที่เจ้ากล่าววาจาหยาบคายอยู่เสมอ เจ้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ทั้งยังได้คืบจะเอาศอก คราครั้งนี้ควรชำระเรื่องทั้งหมดนี้เช่นกัน”
สายตาของเฉินซีเคลื่อนไปทางกงเหย่เจ๋อฟู ขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมย สืบเนื่องจากเจิ้นหลิวชิง ทำให้ไฟโทสะที่สะสมอยู่ในก้นบึ้งหัวใจมาเป็นเวลานานแล้ว และหากเขายังฝืนอดทนอีกต่อไป เฉินซีก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกผู้ชายอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า! ประเสริฐยิ่ง! เจ้าช่างหยิ่งผยองจริง ๆ! พี่ลั่ว หากเจ้ายังลังเลต่อไป งั้นข้าขอลงมือก่อน!” สุ้มเสียงของกงเหย่เจ๋อฟูเย็นชา ในขณะที่วาจากดดันดุจขุนเขาและแหลมคมดั่งมีดดาบ เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลต่อคำพูดของเฉินซี และถือว่านี่เป็นการยั่วยุต่อศักดิ์ศรีของเขาอย่างยิ่ง
ลั่วฉ่าวหนง ถอนหายใจเบา ๆ และยักไหล่ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวต่อต้านเขาเท่านั้น”
ทันทีที่สิ้นคำ จิตสังหารที่น่าขนพองสยองเกล้าก็กวาดจากร่างลั่วฉ่าวหนงดุจกระแสน้ำ และมันปกคลุมฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ มิหนำซ้ำ โลกแห่งสายฟ้าที่ลอยอยู่ข้างหลังกลับเต็มไปด้วยคลื่นเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง เขย่าจนจิตวิญญาณของผู้อื่นสั่นสะท้าน
โครม!
ในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาม่วงของกงเหย่เจ๋อฟูก็เปล่งประกายด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ดั่งเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ ฝ่ามือปกคลุมด้วยชั้นอักขระที่หนาแน่นจนเหมือนเกล็ด และแวววาวด้วยประกายโลหะ ทั้งยังแผ่กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงยิ่ง
ชิ้ง!
เสื้อผ้าของเฉินซีปลิวสะพัด ในขณะที่กระบี่ยังคงอยู่ในมือ ทั้งยังไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
ครืน!
ทั้งหมดยังไม่ได้เปิดฉากต่อสู้กันด้วยซ้ำ แต่กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงได้ปะทะกันแล้ว มันทำให้เกิดคลื่นเสียงกัมปนาทกวาดไปรอบ ๆ ในขณะที่ฟ้าดินถูกเหวี่ยงเข้าสู่ความโกลาหล
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างประหลาดใจ และรีบล่าถอยห่างออกไปต่อเนื่อง เพราะกริ่งเกรงอย่างยิ่งว่าจะโดนลูกหลงจากการสู้รบ
พวกเขาตระหนักดีว่าแม้เฉินซีจะต้องถูกสังหาร แต่วีรกรรมการต่อสู้ในวันนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในแดนเทพโบราณแล้ว
แน่นอนว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์ เฉินซีก็อาจสิ้นชีพไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าชื่อเสียงจะยิ่งใหญ่ปานใด มันก็จะแค่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสงสารเท่านั้น
“ช้าก่อน!” ในช่วงเวลาสำคัญนี้ เมื่อการต่อสู้กำลังจะปะทุ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับเสียงนี้ ร่างที่สง่างามก็วูบไหวเข้ามา และยืนอยู่ระหว่างทั้งสามคน!
นางสวมชุดกระโปรงดำ มีรูปร่างผอมเพรียว ผมดำสนิทและหนาถูกมัดเป็นมวยด้วยปิ่นปักผมไม้ ปรากฏรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ งดงามและเงียบสงบ
นางมีกิริยาที่บริสุทธิ์เป็นธรรมชาติดุจบัวหิมะโดดเดี่ยวบนหน้าผา ซึ่งห่างไกลจากเรื่องทางโลก น่าตกใจที่นางคือ เจิ้นหลิวชิง!
ทุกคนขมวดคิ้ว “สตรีผู้นี้คิดก่อกวนอันใด? หรือนางต้องการห้ามศึกครั้งนี้ไม่ให้เกิดขึ้น?”
หากเจิ้นหลิวชิงไม่ได้ติดตามข้างกายกงเหย่เจ๋อฟูมาตั้งแต่ต้น พวกเขาก็เกือบดุด่านางแล้ว
หัวใจของเฉินซีกลับสั่นไหว และคาดเดาอะไรบางอย่างได้ราง ๆ ทำให้ส่วนลึกในดวงตาสว่างวาบอย่างเงียบ ๆ
ในขณะนี้ คิ้วของกงเหย่เจ๋อฟูขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าดูดำคล้ำเล็กน้อย “หลิวชิงเจ้าคิดทำอันใด? รีบถอยไปซะ!”
น้ำเสียงแฝงความกดดันและตำหนิเล็กน้อย
เจิ้นหลิวชิงหันหลังให้เฉินซี และจ้องมองไปที่กงเหย่เจ๋อฟู ยามนี้ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจบางอย่างแล้ว และสีหน้าก็ไม่ว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อน ทั้งยังถูกแทนที่ด้วยความหนักแน่นและความเด็ดเดี่ยว
นางหายใจเข้าลึก ๆ “คุณชายเจ๋อฟู โปรดเมตตาและปล่อยเฉินซีด้วยเถิด หากท่านเห็นด้วย ข้าขอสาบานว่าจะเชื่อฟังคำท่านทุกอย่าง ทุกสิ่งที่ข้ากล่าวล้วนเป็นความจริงอย่างแน่นอน!”
ทุกคนต่างรู้สึกไม่เชื่อเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สตรีคนนี้กำลังอ้อนวอนแทนเฉินซีเหรอ!? สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร?
หรือว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างนางกับเฉินซี?
ในทางกลับกัน ใบหน้าของกงเหย่เจ๋อฟูเปลี่ยนเป็นมืดมนสิ้นเชิง นัยน์ตาสีม่วงทอประกายสายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังดูดุร้ายและดูน่าตกใจอย่างยิ่ง
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในวันแรกที่ข้าเห็นเจ้าเดรัจฉานจ้อยร่อยนี้ ที่แท้ก็มีบางอย่างระหว่างพวกเจ้าทั้งสองมานานแล้ว!” กงเหย่เจ๋อฟูจ้องไปที่เจิ้นหลิวชิง พลางกล่าวเน้นทีละคำ ทั้งยังแสดงถึงความโกรธแค้นอย่างไร้ขีดจำกัด
เขาหายใจเข้าลึก และพยายามข่มไฟโทสะในใจ “ถ้ามันแค่นั้นก็หาได้เป็นอันใดไม่ เพราะใครบ้างที่ไม่มีอดีต? แต่เจ้ากลับขอให้ข้าวางมือเพราะเห็นแก่มัน! นี่ไม่เกินไปหน่อยหรือ!?”
ใบหน้าของเจิ้นหลิวชิงซีดลงเล็กน้อยจากการถูกตำหนิ แต่ท่าทางที่หนักแน่นกลับไม่สั่นคลอนเลย นางจ้องมองไปที่กงเหย่เจ๋อฟู และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ข้าได้บอกไปแล้ว ตราบใดที่ท่านยอมรับสิ่งนี้ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง!”
ในขณะนี้ ไม่ว่าเฉินซีจะโง่เขลาเพียงใด แต่ตอนนี้เขาแน่ใจว่าเจิ้นหลิวชิงเป็นห่วงตน และถึงขั้นไม่ลังเลที่จะสละทุกสิ่งเพื่อความปลอดภัยของเขา เอ่ยอ้อนวอนต่อกงเหย่เจ๋อฟู สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกมีความสุข สะเทือนใจ เศร้าโศก และโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน
เขาไม่สามารถข่มกลั้นใจตัวเองได้อีกต่อไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลิวชิง เจ้าประสบปัญหากับอะไรบางอย่างหรือ? ว่ามาเถิด ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ผู้ใดก็ตามที่คิดจะรังแกเจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
ทันทีที่สิ้นคำ ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ยืนยันได้ทันทีว่าเจิ้นหลิวชิงและเฉินซีรู้จักกันมานานแล้ว และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ลึกซึ้งอย่างเห็นได้ชัด!
ร่างของเจิ้นหลิวชิงสั่นระริก แต่นางก็อดกลั้นที่จะหันกลับมามองเฉินซี มีเพียงมือที่กำแน่นอย่างเงียบ ๆ และเห็นได้ชัดว่านางมีความขัดแย้งในใจอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีมั่นใจมากขึ้นว่าเจิ้นหลิวชิงประสบปัญหาอย่างแน่นอน แต่นางไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึง มิฉะนั้นคงไม่ดิ้นรนและจนปัญญาถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ นางยังคงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและตั้งใจที่จะช่วยเขาให้พ้นภัย สิ่งนี้ทำให้ความโศกเศร้าและความขุ่นเคืองในใจถูกขจัดออกไปจนหมด เหลือเพียงความรู้สึกสะเทือนใจและเจ็บปวดในหัวใจเท่านั้น
หลังจากมาถึงแดนเทพโบราณ นางประสบกับเหตุการณ์อันใดมาถึงทำตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?
ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้เห็นทั้งหมดนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มาจากบริเวณโดยรอบ มันทำให้ใบหน้าของกงเหย่เจ๋อฟูซีดเผือดอย่างมาก ทั้งยังแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
“เจ้า… ถอยไปซะ!” เขาไม่สามารถระงับตัวเองได้อีกต่อไป จึงคำรามอย่างเดือดดาลพลางแผ่พลังคว้าจับเจิ้นหลิวชิงไว้ หมายโยนนางออกไปด้านข้าง และค่อยจัดการกับนางหลังจากที่ฆ่าเฉินซีแล้ว
ครืน!
ใบหน้าของเจิ้นหลิวชิงแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดจนไร้สีเลือดอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้าย นางก็ไม่ขัดขืนและยืนนิ่งอยู่กับที่
ชิ้ง!
บัดนี้ เฉินซีได้ลงมือแล้ว
………………..