บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1698 ความตายเฉียบพลัน
บทที่ 1698 ความตายเฉียบพลัน
ทั่วทิศเงียบกริบ
เป็นความรู้ทั่วไปที่ว่ายามเทวารู้แจ้งวิญญาณมีประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์เก้าดวงในดวงจิต พวกเขาก็ถือเป็นมหาเทวาวิญญาณ อยู่เหนือสหายร่วมขอบเขตส่วนใหญ่ได้แล้ว
ผู้คนที่นี่ต่างก็เป็นตัวตนเช่นนั้น
ยิ่งกว่านั้น มหาเทวาวิญญาณยังหายากหนึ่งในล้าน แดนเทพโบราณมีเอกภพพันกว่าแห่ง ดาราจักรเกินนับถ้วน ทว่าเอกภพเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะมีมหาเทวาวิญญาณเกิดขึ้นได้
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนระดับนี้นับเป็นขีดจำกัดเหนือใดเปรียบของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว
ทว่าในแดนเทพโบราณมีหนึ่งตำนานเล่าขาน ว่ามีหนึ่งสภาวะอันไร้ตำหนิเหนือมหาเทวาวิญญาณ ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัด กล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุด ขอบเขตของมหาเทวาไร้เทียมทาน!
ระดับขั้นเช่นนี้ถูกเรียกเป็นขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ คุณสมบัติที่ใช้ในการแยกแยะมันคือต้องมีแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง!
สิ่งนี้ย่อมไม่ได้หมายถึงยอดฝีมือผู้มีประทีปวิญญาณบนแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่ง มันคือการหลอมรวมประทีปวิญญาณของแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าเป็นวงล้อแสงแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์!
เพราะนับแต่บรรพกาลจวบปัจจุบันมีผู้บรรลุขั้นนี้น้อยนิด ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกหล้า ถึงขนาดที่บางคนไม่เคยได้ยินตำนานเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ทว่าสำหรับมหาเทวาวิญญาณจากนิกายตระกูลสูงสุดในเอกภพจักรวรรดิทั้งหลาย พวกเขาย่อมทราบดีว่ามันไม่ใช่เพียงตำนาน และมีตัวตนอยู่จริง
เช่นเย่เฉิน อันดับหนึ่งบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเป็นข้อพิสูจน์อันดีที่สุด!
ทว่าขณะนี้ ในศึกปะทะลั่วฉ่าวหนงเป็นยอดเขานี้ เฉินซีกลับเผยอำนาจของแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง จึงเป็นที่ตื่นตะลึงเกินเชื่อลงเป็นธรรมดา
ประกอบกับสัจธรรมที่เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักดีในแดนเทพโบราณมาก่อน แม้แต่ชื่อยังไม่เคยปรากฏบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้จึงดูเข้าใจยากไปใหญ่
ขณะนี้ เฉินซีเหมือนกลายเป็นศูนย์กลางจุดสนใจ ชายหนุ่มสวมอาภรณ์เขียว ยืนถือกระบี่ลำพัง ยังคงดูเหมือนก่อนไม่ผิดเพี้ยน แต่ขณะนี้ในใจคนทั้งหลายบังเกิดความกลัวอย่างลึกล้ำ กระทั่งหวาดผวาแล้ว!
…
ลั่วฉ่าวหนงกระอักเลือดพลางลุกขึ้น เช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก ดวงตาจ้องนิ่ง ขณะที่สีหน้าสุดแสนคลุมเครือ
ข้าพ่าย! พ่ายให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยในแดนเทพโบราณ!
เขามองไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนจากไกล ๆ และตระหนักดีว่ารากเต๋าวิภูจักรวรรดิที่เฝ้าฝันอยู่ในนั้น ขอเพียงชิงรากเต๋าบรรพชนนั่นมาได้ เขาก็ไม่ต้องกลัวบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้ใดในหล้ายามบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว
แต่ข้อจำกัดก่อนหน้านั้นคือ เขาต้องกำจัดเฉินซี อุปสรรคนี้ให้ได้ก่อน!
ทว่า… จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ใดจะประมือกับเฉินซีได้?
ตุบ! ตุบ!
ความคิดเหล่านี้แล่นเร็วจี๋ในใจลั่วฉ่าวหนง และก่อนจะทันตัดสินใจ หนึ่งเสียงฝีเท้าก็กึกก้องเข้ามา
เฉินซีจู่โจมอีกครั้งด้วยกระบี่ในมือ สีหน้าเย็นเยียบเปี่ยมจิตสังหาร เผยอำนาจยิ่งใหญ่กดดัน
จะเกินไปแล้วนะ! เจ้านี่คิดฆ่าข้าจริง ๆ หรือ?
ลั่วฉ่าวหนงเดือดดาลอยู่ในใจ ไม่เชื่อว่าเฉินซีจะกล้าฆ่าตน แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนการกระทำของเฉินซีเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ทำให้สีหน้าดำคล้ำบึ้งตึงทันที
ลั่วฉ่าวหนงตัดสินใจแล้ว ขณะนี้ หากเฉินซีกล้าบีบให้จนมุม เขาก็จะเชิญมหาเทวาวิญญาณทั้งหมดร่วมมือกับโจมตีเฉินซีจนตายไปข้าง!
ฉึก!
เฉินซีหยุดแล้วหันไปมองกะทันหัน และเห็นว่าไกลออกไป เจิ้นหลิวชิงกระอักโลหิต ใบหน้างดงามซีดขาว นอกจากนั้น สีหน้าของนางยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย ร่างบางอรชรสะท้านไม่จบสิ้น เหมือนกำลังรับความเจ็บปวดทรมานสุดขั้ว
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่สนใจสู้กับลั่วฉ่าวหนงอีก ชายหนุ่มพลิ้วร่างไปข้างกายเจิ้นหลิวชิง ถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “หลิวชิง เกิดอะไรขึ้น?”
ทันใดนั้น คนอื่น ๆ เองก็ประหลาดใจเช่นกัน ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจโล่งอกกันในใจ เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเจิ้นหลิวชิง หยุดเฉินซีไม่ให้โจมตีต่อได้พอดี ทำให้พวกเขาพ้นจากสถานการณ์อันตราย
มีเพียงลั่วฉ่าวหนงที่เหมือนจะตระหนักรู้บางสิ่ง เขาเหลือบมองกงเหย่เจ๋อฟูซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ และจริงเช่นนั้น เขาเห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกยิ้มเย็น กงเหย่เจ๋อฟูมองไปยังเจิ้นหลิวชิงด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ข้า… ไม่เป็นไร… อ๊า!!” ร่างของเจิ้นหลิวชิงสะท้านรุนแรงกว่าเก่า ใบหน้างดงามยิ่งซีดขาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วร่างชุ่มด้วยเหงื่อ ท้ายที่สุดนางก็กระอักเลือดเป็นกองออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ โลหิตนั้นด่างดำอย่างประหลาด แต่กลับให้กลิ่นหอมหวานเย้ายวนนัก
เฉินซีตัดสินได้ทันทีว่านี่เป็นพิษร้ายแรงแบบหนึ่ง!
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาดำคล้ำลงทันที ขณะที่จิตสังหารร้ายกาจปรากฏบนใบหน้า กัดฟันกล่าวว่า “ผู้ใดทำ?”
“ไม่ต้อง… ห่วงข้า… หรอก…” ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจิ้นหลิวชิงซีดขาว เสียงอ่อนแรงลงทุกขณะ ท้ายที่สุด ร่างของนางก็สิ้นกำลังยืนหยัด ร่วงหล่นลงกองกับพื้น
ชายหนุ่มเหมือนจะตระหนักในบางสิ่ง และหันไปมองกงเหย่เจ๋อฟูด้วยสีหน้าเย็นเยียบถึงขีดสุดทันที
“เจ้าหรือที่วางยาพิษนาง?” เขากล่าวชัดถ้อยด้วยน้ำเสียงเหมือนรีดเร้นเค้นลอดไรฟัน แม้สีหน้าจะเยือกเย็น แต่เหล่าผู้คุ้นเคยย่อมตระหนักดีว่าเขาเดือดดาลสุดขีดแล้ว
ขณะนี้สีหน้าของกงเหย่เจ๋อฟูเจือความกระหยิ่มยิ้มย่อง ดูอัปลักษณ์เล็กน้อย ขณะกล่าวอย่างภาคภูมิ “ไม่ใช่พิษหรอก เพราะไม่มีพิษใดในโลกหล้าฆ่าเทพได้”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างไม่รีบร้อน “ส่วนมันจะเป็นสิ่งใดกันแน่นั้น…. ฮ่า ๆ คุกเข่าขอร้องข้าสิ แล้วข้าจะค่อย ๆ บอกเจ้า ดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาเจือความปรีดาที่ได้ล้างแค้น และแฝงเจตนายั่วยุเหยียดหยาม
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ขณะที่จิตสังหาร ณ ส่วนลึกในดวงตาพลุ่งพล่านถึงขีดสุด นับแต่เข้ามาในแดนเทพโบราณ เขาไม่เคยมีความปรารถนาอยากฆ่าผู้ใดเท่านี้มาก่อนเลย
“ปล่อยหลิวชิงไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหมดในครั้งนี้” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ฝืนสะกดโทสะในใจแล้วพูดช้า ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ….” กงเหย่เจ๋อฟูเชิดหน้าหัวเราะลั่น เส้นผมสีเงินส่ายสะบัด จากนั้น เขาก็สงบเสียงหัวเราะพูดอย่างดูแคลน “เฉินซี เจ้าไม่ได้ชอบนางจริง ๆ หรือ? ชีวิตเจ้าก็ยกให้นางได้ไม่ใช่หรือ? หนนี้ข้าแค่ให้เจ้าคุกเข่า ทำไม่ได้?”
สีหน้าของเฉินซีเฉยชาถึงขีดสุด ขณะที่จิตสังหารคุกรุ่นสั่งสมทั่วกาย เจียนไม่อาจควบคุมตนเองได้
ก่อนเฉินซีจะได้พูด เขาก็กล่าวต่อ “แน่นอน หลังจากเจ้าคุกเข่า ข้าจะบอกเจ้าแน่นอนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ และกระทั่งช่วยนางทุเลาความเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นกับการกระทำของเจ้า”
“คุกเข่า!”
“เฉินซี หากข่าวที่เจ้าคุกเข่าเพื่อหญิงที่รักแพร่งพรายถึงโลกภายนอก นั่นไม่ใช่ชื่อเสียงดี ๆ หรือ?”
“ข้ารู้สึกเหมือนเจ้านี่ยังไงก็คุกเข่า เว้นแต่อยากเห็นสตรีผู้นั้นตาย!”
ไกลออกไป ตี้จวินและคนอื่น ๆ อดหัวเราะเยาะเย้ยไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่ากงเหย่เจ๋อฟูกำจุดอ่อนของเฉินซีไว้แล้ว และเฉินซีไม่อาจอาละวาดตามใจได้อีก
มีเพียงลั่วฉ่าวหนงที่ขมวดคิ้ว เหมือนรู้สึกว่าการใช้สตรีมาบังคับเฉินซีนั้นต่ำตมเกินไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ดี
หากเป็นยามทั่วไป การใช้วิธีสกปรกน่ารังเกียจเช่นนี้กับศัตรูจะทำให้พวกเขาอับอายกันแน่นอน ทว่าขณะนี้ เพื่อจัดการกับเฉินซี พวกเขากลับไร้ยางอาย เผยความอัปลักษณ์ของพวกตนออกมา
“เจ้ายังลังเลอะไร? คุกเข่าสิ!” กงเหย่เจ๋อฟูตะโกนลั่น ท่าทางโอหังมากอำนาจ
“อย่านะ!” ทันใดนั้น เจิ้นหลิวชิงก็รวบรวมกำลังกำชายเสื้อเฉินซีไว้แน่น “เฉินซี อย่าตกลงเชียว! ข้าถูกข้อจำกัดคำสาปโบราณ กงเหย่เจ๋อฟูแก้มันไม่ได้!”
“นังชั่ว! หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว เชื่อได้เลยว่าข้าจะฝังอาจารย์เจ้าไปกับเจ้าด้วย!” กงเหย่เจ๋อฟูหน้าคล้ำ ด่าออกมาเสียงแข็ง
ร่างของเจิ้นหลิวชิงชะงักเกร็ง เผยสีหน้าอึดอัดเจ็บปวด เหตุการณ์นี้ทำให้หัวใจของเฉินซีรวดร้าวสุดขีด แค้นกงเหย่เจ๋อฟูเข้ากระดูก
ขณะนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเจิ้นหลิวชิงจึงไม่ยอมรับว่ารู้จักตน ที่แท้นางก็ถูกข้อจำกัดคำสาปโบราณนี้ และกระทั่งอาจารย์ของนาง นักพรตเต๋าเซวี่ยยังถูกตระกูลกงเหย่จับไว้!
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าใครย่อมต้องถูกกงเหย่เจ๋อฟูจูงจมูก ไร้หนทางนอกจากเชื่อฟัง
สารเลวสมควรตายนั่น! ดวงตาของเฉินซีเหมือนแผดผลาญพล่านพุ่งด้วยจิตสังหาร น่าสะพรึงกลัวเกินระงับ
ขณะนั้นเอง เจิ้นหลิวชิงในอ้อมแขนของเขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงตากระจ่างจ้องเฉินซี ขณะกล่าวขึ้นเสียงระโหย “เฉินซี เจ้ารู้หรือไม่ ตลอดมาข้า… อิจฉาชิงซิ่วอี้นัก นาง… มีบุตรกับเจ้า…. ในท้ายที่สุด… นับแต่…. อาจารย์และข้าถูกจับตัว… สิ่งที่ข้ากลัวที่สุด… ก็คือ… ไม่อาจได้พบเจ้า… อีก… ชั่วชีวิตนี้… ยามนี้… ได้พบเจ้าอีก… ข้ารู้สึกว่า… ต่อให้ต้องตาย… ก็ไม่เสียดายแล้ว!”
เฉินซีรู้สึกเหมือนหัวใจถูกทิ่มแทงอีกครั้ง โทสะเกินบรรยายพลุ่งพล่านทั่วกายดุจศิลาหลอมร้อนระอุ เจียนระเบิดออกมาเต็มที
“พอแล้ว! ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้แน่!” เฉินซีพูดเสียงเบาดุจเค้นออกมาจากอก เจือความเศร้าเคล้าโทสะทั่วฟ้าดิน
คนอื่น ๆ รอบทิศเป็นกังวลเล็กน้อยยามเห็นเช่นนี้ โดยเฉพาะกงเหย่เจ๋อฟู เขารู้สึกราง ๆ ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงแผดเสียงแข็งกร้าว “นังนี่! อย่าแม้แต่จะคิดเชียวว่าความตายจะเป็นทางออก! อย่าลืมนะว่าอาจารย์เจ้ายังคงถูกขังจนบัดนี้!”
ทว่าเจิ้นหลิวชิงนั้นเหมือนไม่ได้ยิน สีหน้าเจ็บปวดเลือนหายไป แทนที่ด้วยสีแดงเรื่อจาง สายตานุ่มนวลเช่นวารี ยกมือขาวอันสั่นน้อย ๆ มาสัมผัสใบหน้าของเฉินซี พึมพำราวคนละเมอ “การได้รักคนที่รักข้าในชั่วชีวิตนี้ อยู่ในอ้อมกอดของเจ้ายามร่างนี้ยังบริสุทธิ์… ต่อให้ตายไปเช่นนี้ ข้าก็สุขใจเกินใดกล่าวแล้ว….”
เสียงของนางอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนจางหายไปอย่างสมบูรณ์
นางตกตายไปอย่างเฉียบพลัน
รอยยิ้มจากใจยังคงอยู่ที่มุมปาก เผยบรรยากาศสงบเงียบงดงามเหมือนเช่นยามแรกพบพาน
เขาเหมือนยังไม่กล้าเชื่อสายตา จับจ้องทุกสิ่งตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย หลังจากนั้น ชายหนุ่มพลันเชิดหน้าแผดเสียงอย่างสุดรวดร้าวโศกเศร้า หัวใจเจ็บปวดเช่นถูกทิ่มแทง เจียนขาดใจ
“ไม่!!!!!”
………………..