บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1709 ภัยพิบัติระดับร้ายแรง
บทที่ 1709 ภัยพิบัติระดับร้ายแรง
รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทองนั้นแผ่ไพศาล เรืองรองงดงามไปด้วยกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิ เปล่งรัศมีมงคลออกมาพร้อมกับพลังบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบ การปะทุที่พลุ่งพล่านของมันทำให้บริเวณแดนนั้นพร่างพราว
ไม่ต้องถามก็รู้ รากเต๋าวิภูจักรวรรดิจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน อย่างไรเสีย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้นั้นน่าตื่นตกใจเกินไปจริง ๆ ราวกับว่าฟ้าดินได้แยกขาดจากกันไปเสียอย่างนั้น เหตุที่เกินกว่าจะจินตนาการถึงพรายแสงไปด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์
กลิ่นหอมที่คล้ายจะแทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณปะทะเข้ากับใบหน้าอย่างแรง มันเข้มข้นราวกับสุราเซียนที่ซึมซาบไปทั้งทุกส่วนของอณูกาย
ทันใดนั้น อาการบาดเจ็บทั้งหมดบนร่างกายที่ยังหลงเหลือก็ได้รับการบรรเทาภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึงอึดใจ ไม่เพียงแต่บาดแผลจะได้รับการรักษา หากพลัง จิตวิญญาณ และแก่นแท้ของเขายังได้รับการฟื้นฟู ทำให้เขาในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาอย่างมาก ราวกับว่าร่างกายนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจ นี่มันไม่เหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ? ประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
ในอดีต อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับจิตวิญญาณกระบี่สามสิบหกดวงนั้นต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อยสามเดือน ทว่าตอนนี้มันกลับได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียงอึดใจ หากใครสักคนได้เห็นเหตุการณ์เช่นว่านี้ จะต้องตกใจและไม่เชื่อสายตาตัวเองเป็นแน่
คิ้วของเฉินซีเลิกสูง “หมายความว่าอย่างไร?”
เหล่าไป๋หัวเราะเบา ๆ เสียงเย้ยหยัน “เจ้าเด็กโง่เอ๊ย นี่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? ไม่ว่าจะเป็นรากบรรพชนโกลาหลที่ซ่อนอยู่หลังประตูแห่งมหาเต๋าซึ่งมีพลังของมหาเต๋ามากกว่าสามพันชนิด จิตศึกที่สั่งสมอยู่ภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน หรือแม้กระทั่งพลังทั้งหลายที่อยู่ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน ก็ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษารากเต๋าวิภูจักรวรรดิเอาไว้”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “แน่นอน สมบัติที่มีพลังท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ภัยพิบัติย่อมมาถึงตัวได้โดยง่าย หากเซวียนไม่ได้ทำอะไรพวกนี้ขึ้นมา รากเต๋าวิภูจักรวรรดิคงจะเผชิญกับหายนะจากสวรรค์ และถูกกำจัดไปจากโลกนี้แล้ว”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“เหล่าไป๋ บอกข้าทีเถิดว่าข้าควรจะรับมืออย่างไร” เฉินซีสูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์หุนหันพลันแล่น ก่อนจะพูดเสียงเนิบช้า
ชายหนุ่มสังเกตเห็นสนามพลังที่น่าสะพรึงกลัวรอบ ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทองที่แผ่อำไพ มันทำให้กระทั่งจิตวิญญาณยังอกสั่นขวัญแขวน เฉินซีตระหนักได้ในทันที เขาไม่อาจพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังได้
“ข้ามีเงื่อนไขให้เจ้า หากเจ้าตอบตกลง ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้รับโชคยิ่งใหญ่นี้ไปโดยง่าย ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าจะเก่งกาจท้าทายสวรรค์เพียงใด เจ้าก็ไม่มีวันที่จะเข้าใกล้มันได้เลย!” เหล่าไป๋ยิ้ม ท่าทางกระฉับกระเฉงขึ้นถนัดตา คล้ายรอให้เฉินซีวิ่งเข้ามาตะครุบเหยื่อ
แสงเยือกเย็นวูบวาบในแววตาของเฉินซี ในตอนนี้เหล่าไป๋ไม่คิดจะยอมแพ้ มันตะโกนดังลั่นเสียจนขนคอชี้ตั้ง “แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าในตอนนี้ เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมให้เจ้าแต่โดยดี!”
“ให้ข้าได้ฟังเงื่อนไขของท่านก่อนเถิด” เฉินซีทำตัวไม่ถูกไปขณะหนึ่ง การที่ต้องเผชิญหน้ากับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์จอมหลงตัวเองแถมยังขี้โอ้เช่นนี้ ทำเอารู้สึกปวดหัวไม่น้อย
ทันใดนั้น ดวงตาของเหล่าไป๋ก็พลันสว่างวาบ น้ำเสียงที่โพล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง “สหายเต๋าน้อย เจ้านั้นไม่เข้าใจความเจ็บปวดที่ข้าต้องเผชิญเลยแม้แต่น้อย ข้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังมานานแสนนาน บนโลกนี้ คงไม่เหลือผู้ใดที่สามารถจดจำความยิ่งใหญ่ เก่งกล้าสามารถของข้าได้อีกต่อไปแล้ว…”
ยิ่งพูดมากเท่าไรมันก็ยิ่งฟังดูเกินจริงมากขึ้นเท่านั้น เฉินซีถึงกับขมวดคิ้วและเลือกที่จะพูดขัดจังหวะ “เข้าเรื่องมาเลยดีกว่า!”
สีหน้าโศกศัลย์ของตาเฒ่าแข็งค้าง แววตาขมขื่นนั้นมองเฉินซีอย่างอ้างว้างก่อนจะถอนหายใจออกมา “โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ข้าก็แค่อยากออกไปข้างนอกบ้าง แบบนั้นไม่ได้หรืออย่างไรเล่า?”
ให้ตายสิ เฉินซีแทบจะถ่มน้ำลายรดพื้น ตาเฒ่าไร้ยางอายที่ช่างประหลาดคน
อย่างไรก็ดี หากเฉินซีก็ตอบตกลง มีหวังในอนาคตเขาต้องเดินทางไปพร้อมกับนกแก่ ๆ เจ้าปัญหานี่แน่ พอคิดได้แบบนั้น เฉินซีก็นึกหัวเสีย
“หึ! อย่าทำสีหน้าราวกับว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้านักเลย อย่าลืมสิว่าแม้แต่ปรมาจารย์แห่งยุคหม่านกู่อย่างเซวียนยังต้องเรียกข้าด้วยความเคารพว่าอาจารย์เลยด้วยซ้ำ การมีข้าอยู่กับเจ้าน่ะนับเป็นโชคอันประเสริฐที่หาไม่ได้อีกแล้ว สหายเต๋าน้อย ผู้เยี่ยมยุทธ์หลาย ๆ คนในโลกนี้ไม่ได้โชคดีเช่นเจ้าหรอกนะ! พูดก็พูดเถอะ ต่อให้พวกนั้นคุกเข่าลงตรงหน้า ข้าจะทำเป็นไม่สนใจก็ยังได้” เมื่อเห็นเฉินซีมีท่าทีลังเล เหล่าไป๋ก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจและใช้น้ำเสียงเย็นชาที่ยังฟังดูงดงาม
“จะเอาตามที่ท่านว่ามาก็ได้ แต่ท่านต้องรับประกันว่าในอนาคตท่านจะต้องรับฟังข้า!” เฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะยอมกัดฟันพูดแต่โดยดี
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มันก็เหลือบมองเฉินซีด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกระแอมเสียงแหบแห้ง “ใช่แล้ว ข้ามีเงื่อนไขอีกข้อหากเจ้าตก…” แน่นอน ได้คืบก็ต้องเอาศอกด้วยสิ
ชิ้ง!
เสียงเกรียวกราวของใบมีดดังขึ้นจากกระบี่ราชาเซวียน สายตาของเฉินซีบัดนี้เต็มไปด้วยแรงอาฆาตยามจับจ้องเหล่าไป๋ ส่วนตัวของเหล่าไป๋เองก็หวาดกลัวเสียจนเผลอสืบเท้าถอยกรูดพร้อมกับปิดปากที่พูดจ้อของตัวเอง
“เอาละ ในเมื่อข้ายอมรับเงื่อนไขของท่านแล้ว ตอนนี้ก็บอกข้าได้แล้วสินะ” น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกจับจิต เขาตระหนักดีว่าไม่มีทางจะญาติดีกับนกเฒ่านิสัยเสียนี่ได้แน่ ไม่อย่างนั้นเจ้านกนี่คงจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกได้ศอกจะเอาวาไม่เลิก
“รออยู่นี่แหละ” เหล่าไป๋บินโฉบขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกสีขาวราวหิมะนั้นสยายออกด้วยความสง่างามขณะบินผ่าอากาศไปยังลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทองนั่น
หลังจากนั้นมงกุฎขนนกเจ็ดสีที่อยู่บนหัวของมันก็เปล่งแสงแพรวพราวอย่างระลอกคลื่น
ตึง!
แสงทั้งเจ็ดสีนั่นดูลึกลับยิ่ง มันพร่างพรายและพร่ามัว ไม่ว่าแสงนั้นจะกวาดส่องไปยังที่ใด บริเวณที่อยู่รอบ ๆ ลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เริ่มเดือดพล่าน
ห่าฝนแห่งลำแสงสีม่วงหลั่งริน โซ่จำนวนมากของบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เริ่มแกว่งไกว กระแสแห่งความโกลาหลพัดพาย แสงอันงดงามส่อประกายให้ทั้งปฐพีพร่างพราว
ท่วงทำนองแห่งมหาเต๋าสั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน มันค่อย ๆ กวาดออกไปทั่วทุกสารทิศ
เหตุดังกล่าวนับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันสามารถปลุกเร้าจิตวิญญาณของผู้ที่ได้พบเห็นอย่างแท้จริง ราวกับว่าเป็นปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น
ในยามนี้ คล้ายว่าเหล่าไป๋จะดูผึ่งผายและองอาจอย่างยิ่ง ร่างกายเอ่อล้นไปด้วยรัศมีโบราณยิ่งใหญ่ ทั้งสง่างามและทรงพลัง
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำเอาเฉินซีนึกขบขัน เจ้านกเฒ่านี้ช่างขี้อวดจริง ๆ
ฟึ่บ!
ปีกของเหล่าไป๋เป็นเหมือนกระบี่ยามโบกกระพือ มันตัดผ่านพื้นที่ว่างในห้วงมิติอย่างรุนแรงให้ฉีกขาดไปจนถึงด้านล่างของแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทองนั่น
“จะทำอะไรก็รีบทำซะ! ก่อนที่ความหายนะจะตามมาในไม่ช้า” เสียงเคร่งขรึมที่เต็มไปด้วยความกังวลของเหล่าไป๋ดังก้องในโสตประสาทของเฉินซี หัวใจพลันสั่นสะท้าน ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปในอากาศราวแสงพริบพร่างด้วยไม่อาจลังเลอีกต่อไป
อย่างที่เหล่าไป๋ได้ให้สัญญาไว้ เฉินซีไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากข้อจำกัดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดเขาก็ไปถึงปลายของแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทองได้สำเร็จ
มันเอ่อล้นไปด้วยแสงสีม่วง ราวกับดวงแก้วใสสกาวที่ลุกโชติช่วงยิ่งกว่าสิ่งใด รัศมีเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิ
เมื่อเฉินซีพินิจพิเคราะห์มันอย่างระมัดระวัง เขาก็เห็นว่าดวงแก้วสีม่วงนั่นเต็มไปด้วยรัศมีโกลาหลบรรพกาลที่สงบนิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ภายในยังปรากฏจุดสีทองของแสงดาวล่องลอย ประหนึ่งดวงดาวสีทองอันพร่างพราวได้โคจรหมุนเวียนภายในดาราจักร ช่างงดงามและดูเป็นอนันต์ยิ่ง
มันช่างพิเศษและดูเลือนรางห่างไกล!
กลิ่นอายของมันแตกต่างไปจากรากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ ที่เฉินซีเคยเห็นในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ยามที่ทอดมองไปยังรากเต๋าวิภูจักรวรรดินั้น ช่างคล้ายกับการจับจ้องยังราชจักรวรรดิแห่งรากเต๋าบรรพชน ไม่ผิดเพี้ยน รัศมีน่าเกรงขามเสียจนแม้แต่หัวใจของเฉินซียังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เสียงคำรามของฟ้าก็ดังกึกก้อง พลังของมันแผ่ซ่านไปในหัวใจและทำให้เส้นขนทุกส่วนบนร่างกายของคนที่ได้ยลยินลุกชัน ราวกับ… ภัยพิบัติร้ายแรงกำลังมาถึง
“เร่งมือเร็วเข้า!” ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงตะโกนของนกเฒ่าเหล่าไป๋ก็ดังขึ้น มันเต็มไปด้วยความวิตกยิ่ง
ฟึ่บ!
เปรี้ยง!
ทันทีที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น โลกทั้งใบก็พลันสั่นสะเทือน พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ยากจะอธิบายสาดซัดลงมาจากเบื้องบน ก่อนจะทำลายแสงสีม่วงเหลือบทองนั้นจนพังพินาศ!
ประกายอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพลังบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไพศาลตกสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ มันถูกระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ และสลายหายไปจากแผ่นดิน
พลังนี้น่ากลัวเกินไป แรงสั่นสะเทือนกระจายออกไปสู่บริเวณ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำลายล้างเส้นทางที่เหล่าไป๋ทำไว้จนหมดสิ้น
หากเฉินซีกลับมาไม่ทันเวลา ผลที่ตามมาคงยากจะคิดฝันถึง!
“วิ่ง!” เมื่อเห็นเฉินซีกลับมา เหล่าไป๋ก็กระพือปีกทั้งสีหน้าสิ้นหวัง ก็จะบินโฉบออกไปไกล
ไอ้แก่บ้านั่น! เฉินซีสบถลั่นก่อนจะรีบตามหลังไปติด ๆ
สัมผัสอันแข็งแกร่งของเฉินซีทำให้ตรวจพบว่าฟ้าดินอันกว้างใหญ่ที่อยู่ด้านหลังได้กลายเป็นดินแดนแห่งความมืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายเป็นที่เรียบร้อย ลำแสงสีม่วงที่เคยแผ่เรืองรองบัดนี้หายไปสิ้น แม้แต่พลังบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่รอบ ๆ ก็สูญสลาย…
มีเพียงความมืดที่ปกคลุม ราวกับถูกหลุมดำกลืนกินไม่เหลือซาก
เอ๊ะ? ทันใดนั้น หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหวทันทีที่มองเห็นถึงดวงตาดวงหนึ่งล่องลอยอยู่ภายใต้ความมืดมิดอันเงียบงัน แม้ภาพนั้นจะปรากฏเพียงชั่วครู่ หากก็ติดค้างในหัวใจอย่างรุนแรง
เฉินซีแน่ใจ นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เขาเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน!
มันลึกล้ำ เยือกเย็น ไร้ความรู้สึก ราวกับเนตรทัณฑ์สวรรค์ที่สร้างหยาดฝนโลหิตให้โปรยปรายภายในสามภพ!
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขาอยู่ในแดนบรรลุเทพ ด้วยพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขามองเห็นกรงจำนวนมากมายที่กักขังเทพเอาไว้ภายในดวงตานั่น!
ทว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ดวงตานี้ก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันภายในซากโบราณสถานรกร้างหม่านกู่ภายนอกแดนเทพโบราณ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเคยปรากฏขึ้นที่ส่วนลึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนอีกด้วย แล้วจะไม่ให้เฉินซีรู้สึกตกใจได้อย่างไร!
………………..