บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1710 ทัณฑ์
บทที่ 1710 ทัณฑ์
เหตุใดดวงตานั่นจึงมาปรากฏที่นี่? เฉินซีตกใจ ไม่อาจสงบจิตได้เนิ่นนาน จนบัดนี้ความเข้าใจต่อเนตรทัณฑ์สวรรค์ยังสุดแสนตื้นเขิน
กาลก่อนยามอยู่ในสามภพ เขาเคยได้ยินเพียงว่า นิกายอำนาจเทวะทำได้เพียงใช้พลังของเนตรทัณฑ์สวรรค์ แต่ไม่มีทางควบคุมมันได้
ยิ่งกว่านั้น จากตำนาน เนตรทัณฑ์สวรรค์อยู่เหนือเต๋าแห่งสวรรค์ของสามภพ มีอำนาจเกินหยั่งคาด
แต่เฉินซีไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะมาปรากฏขึ้นในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนอันสุดแสนลึกลับแห่งแดนเทพโบราณ!
หากเข้าใจไม่ผิด อำนาจซึ่งออกมาทำลายแสงเสาม่วงทองและบริเวณรายล้อมต้องมาจากดวงตานั่นเป็นแน่
หากมันคือเนตรทัณฑ์สวรรค์จริง ๆ อำนาจที่เผยในขณะนี้ก็น่ากลัวสุดขีดจนเทียบเนตรทัณฑ์สวรรค์ที่เฉินซีเคยเห็นในสามภพไม่ได้เลย
ยามตั้งใจตรวจสอบให้ลึกกว่านี้สักหน่อย ความมืดอันน่าสะพรึงกลัวก็ล่าถอยหายไปดุจคลื่นธารคืนสมุทร ฟ้าดินหวนคืนสู่ปกติ
ทว่ารากเต๋าบรรพชนที่รากเต๋าวิภูจักรวรรดิสร้างขึ้นหายไปแล้ว รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองอันเผยปราณจ้าวเหนือจักรพรรดิก็หายไปเช่นกัน
หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังอันวังเวง ประหนึ่งเพิ่งผ่านหายนะร้ายกาจมา สรรพสิ่งถูกบดขยี้สิ้นการคงอยู่
เหล่าไป๋หยุดเคลื่อนไหวเฉียบพลัน แล้วหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความตระหนก “ไอ้เวรนี่! ยังไม่ละเลิกเจตนากำจัดรากเต๋าวิภูจักรวรรดิอีก”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ มันก็หันมาถามเฉินซี “เจ้าหนู สำเร็จหรือไม่?”
เฉินซีพยักหน้า เขาผนึกรักษารากเต๋าวิภูจักรวรรดิไว้ในข้อจำกัด กลืนมันเข้าไปเก็บ ณ จักรวาลในร่างแล้ว
เหล่าไป๋เหมือนผ่อนลมหายใจโล่งอก ร่างเหมือนจะผ่อนคลายลง ก่อนจะคืนท่าทีลำพองเช่นกาลก่อน “ฮี่ ๆ! เจ้าคิดเช่นไร? พอข้า บรรพชนผู้นี้ลงมือ การชิงโอกาสเลิศล้ำมาง่ายดายเหมือนล้วงของออกจากกระเป๋าตัวเองหรือไม่?”
หนนี้ เฉินซีไม่สนใจเหล่าไป๋ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เหล่าไป๋ ทุกสิ่งที่เกิดเมื่อครู่คือหายนะที่เจ้าว่าหรือ?”
“ใช่” เหล่าไป๋พยักหน้าเรียบ ๆ “มันจับจ้องที่นี่ คิดจะทำลายรากเต๋าวิภูจักรวรรดิตั้งแต่ยุคหม่านกู่ หากเซวียนไม่เตรียมทางหนีทีไล่มากมายเอาไว้ที่นี่ มันคงทำสำเร็จไปนานแล้ว”
“มันเป็นอำนาจแบบใดกัน?” เฉินซีถาม
“ทัณฑ์” เหล่าไป๋ตอบสั้นกระชับ
“ทัณฑ์?” เฉินซีชำเลืองมอง เขาสังเกตเห็นว่าเหล่าไป๋เหมือนตอบคำถามอย่างผ่อนคลาย ทว่าสีหน้ายามพูดถึงคำนี้ดูผิดปกติไปเล็กน้อย
“อย่าถามถึงมันมากนักเลย เมื่อเจ้าบรรลุขอบเขตมหาราชเทวา เดี๋ยวก็ได้เข้าใจเอง ยามนี้ข้าอธิบายไป เจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” เหล่าไป๋ตัดบท ดูไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อไป จึงเปลี่ยนประเด็น “รีบออกจากที่นี่กันดีกว่า ข้าเบื่อที่นี่นัก”
“ข้าเคยสู้กับมันมาหนหนึ่ง แต่เป็นในสามภพ ความแข็งแกร่งที่มันแสดงในครั้งนี้แตกต่างจากหนก่อน เกินความคาดหมายไปโดยสิ้นเชิง” เฉินซีไม่สนใจว่าเหล่าไป๋อยากพูดถึงมันหรือไม่ เอ่ยขึ้นอย่างรัวเร็ว “ขณะนั้น นิกายอำนาจเทวะใช้อำนาจของมันจัดการกับทวยเทพที่เกิดในสามภพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้าคิดไปว่ามันคือดาบในมือนิกายอำนาจเทวะ แต่ยามนี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้นแล้ว”
เหล่าไป๋เงียบไปเนิ่นนาน จึงรำพึง “มันไม่ง่ายจริง ๆ”
เฉินซีขมวดคิ้ว “หรือเจ้าไม่มีสิ่งอื่นจะพูดแล้ว?”
เหล่าไป๋ไหวไหล่ “ไม่มี”
เช้ง!
กระบี่ราชาเซวียนในมือเฉินซีครวญเบา ๆ
เหล่าไป๋กล่าวอย่างฉุนเฉียว “เจ้าหนู ข้าพูดสิ่งที่ข้าควรพูดไปหมดแล้ว จะไม่พูดในสิ่งที่ข้าไม่ควรยุ่งเด็ดขาด อย่าบังคับข้า นี่คือขีดสุดแล้ว”
เฉินซีมองเหล่าไป๋อยู่เนิ่นนาน ก่อนที่สุดท้ายจะส่ายหน้า แล้วหันเดินกลับทางเก่า
เมื่อเหล่าไป๋เห็นเช่นนี้ มันก็ดูลังเลเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป แล้วส่ายหัวกระพือปีกไล่ตามไปติด ๆ
…
ขณะทอดสายตามองสมุทรเมฆาและท้องนภาครามไกลออกไป เฉินซีก็อดรู้สึกราวปลดภูเขาลงจากบ่าไม่ได้
ระหว่างการเดินทางในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน เขาประมือกับอีกาทองสิบตัว หอกแห่งผู้กล้า ผีเสื้อศักดิ์สิทธิ์แสงดารา วิญญาณกระบี่สามสิบหกตน…. จนยามได้รับรากเต๋าวิภูจักรวรรดิมา การเดินทางนี้กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยอันตราย แต่สิ่งที่ได้มาก็เกินจินตนาการเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่ใช่เพียงได้รากเต๋าวิภูจักรวรรดิมาสำเร็จ ศึกที่แล้วมายังทำให้เขาเข้าถึงแก่นความลึกล้ำของสี่กระบวนท่าในเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัย สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาได้พบขีดจำกัดของตนเสียที!
นอกจากนั้น หนึ่งคำถามยังก่อเกิดขึ้นขนานไปด้วย หายนะร้ายแรงจากกาลก่อนนั้นมาจากเนตรทัณฑ์สวรรค์ที่เคยได้เห็นมาหรือไม่?
น่าเสียดายที่เหล่าไป๋ไม่ยอมตอบ และทำให้ทั้งหมดนี้ดูชวนงุนงงหนักไปใหญ่
แต่เฉินซีก็ยืนยันบางเรื่องได้ ผู้นำยุคหม่านกู่ เซวียนสามารถเตรียมทางหนีทีไล่สารพัดไว้เลี่ยงหายนะให้รากเต๋าวิภูจักรวรรดิได้ พิสูจน์ว่าทัณฑ์นี้ใช่จะไร้หนทางขัดขืน
แค่นี้ก็เกินพอแล้ว
เหล่าไป๋ตามเฉินซีออกมา คลี่ปีกออกด้วยท่าทีสุดเบิกบาน ก่อนจะทอดถอนใจ “ผ่านมานานเพียงไรหนอ? ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระอีกครั้ง”
เฉินซีไม่คิดสนใจปักษาเฒ่านี้ และลงเขาไปทันที
“เจ้าหนู จากท่าทีของเจ้า ยังโมโหอยู่หรือ? ข้าไม่อาจตัดสินเหตุผลที่ชัดเจนของเรื่องนี้ได้จริง ๆ” เหล่าไป๋ตามเฉินซีมาจนทัน ร่อนลงเกาะบนบ่าเขาพลางหัวเราะคิก
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้คำตอบ ข้าก็ขอถามอย่างอื่นแล้วกัน เจ้ารู้วิธีแก้กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราหรือไม่?” เฉินซีถามเสียงเรียบ
“นี่….” สีหน้าของเหล่าไป๋ชะงัก ดูจะเดือดดาลขึ้นมาจากความอับอายเล็กน้อย “นั่นเป็นวิชาลับในยุคก่อน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
แม้จะแค่ลองเชิง แต่เฉินซีก็ยังอดรู้สึกผิดหวังยามได้ยินคำตอบเช่นนี้ไม่ได้
ยุคก่อน?
มันเป็นยุคเช่นไรกันแน่ เหตุใดวิชาลับชั่วร้ายอย่างกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราจึงถูกสร้างในขณะนั้น?
คำว่า ‘ยุค’ นี้สื่อถึงระยะเวลาตั้งแต่แก่นแท้โกลาหลถือกำเนิดจนแตกดับ กินเวลายาวนานยิ่งจนเกินนับ
และยังสื่อถึงในนามยุคมหาโกลาหลด้วย
แม้แดนเทพโบราณจะกล่าวกันว่ามีเอกภพนับพัน ดาราจักรเกินนับ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกมันทั้งหมดก็ก่อเกิดจากแก่นแท้โกลาหลเดียวกัน
แก่นแท้โกลาหลอันยิ่งใหญ่นี้พัฒนามาเป็นแดนเทพโบราณในปัจจุบัน
เขาจึงไม่อาจคาดคิดได้เลยว่ายุคก่อนต้องอยู่มาเนิ่นนานเพียงไร มีอารยธรรมการบ่มเพาะเช่นไรก่อเกิด
เพราะมันห่างไกลเกินไปโดยแท้จริง
ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องหาทางคืนชีพหลิวชิงให้ได้ในสิบปี! เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ดวงตาฉายประกายหนักแน่น
ไม่ว่าเขาจะมีความหวังริบหรี่เพียงไร เขาก็จะไม่ยอมรามือจนถึงที่สุดแน่นอน
…
ระหว่างทางลงเขา พวกเขาไม่ได้พบอุปสรรคใด ๆ อีก รวมถึงจิตศึกที่เฉินซีพบระหว่างขึ้นเขาด้วย
นอกจากนั้น เมื่อมีเหล่าไป๋นำทาง เฉินซีก็สังเกตพบอย่างตกตะลึงว่าระยะทางหดสั้นลงสิบเท่า ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูแห่งมหาเต๋าแล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะมีพรสวรรค์เพียงเรื่องการนำทางนะ” เฉินซีชำเลืองเหล่าไป๋
“เจ้าหนู นี่จะสื่อว่าข้ามีดีแค่นำทางหรือ? น่าขัน! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากาลก่อน…?” เหล่าไป๋ระเบิดโทสะ
ทว่ามันพูดได้ไม่ทันจบก็ต้องหยุดลงด้วยสายตาเย็นเยียบ มันถูกเฉินซีคว้าคอจนกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“อย่าลืมเสีย เจ้าตกลงจะเชื่อฟังข้ายามเราออกไป” กล่าวจบ เฉินซีก็ไม่รอช้าเดินเข้าประตูไป
“ผ่านไปกี่วันแล้ว?”
“สิบเก้าวัน”
“ยังไม่มีข่าวอีกหรือ?”
“น่าเสียดาย เราลืมถามเจียหนานว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้างยามเขาออกมา”
“เจียหนาน? ฮึ! เจ้าคิดว่าเขาจะบอกเราหรือ? ไม่ว่าผู้ใดพบเจ้านั่นต่างรู้สึกเหมือนเจอหลวงจีนใบ้เข้าฌานปิดปากกันทั้งนั้น”
“เอาละ พอแล้ว”
ในโถงโบราณอันโอ่อ่า เล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ยหารือกันอย่างออกรส
เมื่อกาลเวลาผ่านไป บาดแผลของพวกเขาก็ฟื้นตัว แต่ก็ยังไร้วี่แววของเฉินซี จึงอดเป็นห่วงกันไม่ได้
“พวกเจ้าคิดว่าเฉินซีอาจประสบเคราะห์แล้วหรือไม่? เพราะถึงอย่างไร กลุ่มของลั่วฉ่าวหนงก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน หากเขามีอันเป็นไป เราก็ไม่อาจรู้” อวี๋ชิวจิงเปิดปากกะทันหัน
ฮึ่ม!
ทว่าทันใดนั้นเอง หนึ่งคลื่นกระเพื่อมพลันบังเกิดจากประตูแห่งมหาเต๋า แล้วคนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัว
เฉินซี!
พวกเขาต่างหันมองมา ปรีดาขึ้นทันควัน รู้สึกราวปลดภาระลงจากบ่า ลุกขึ้นเข้ามาหาเฉินซีทันที
หัวใจของเฉินซีอดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้ยามสังเกตพบว่าพวกเล่ออู๋เหินรออยู่ที่นี่มาตลอด มุมปากยกยิ้มบาง
“ทำไมบนตัวเจ้ามีเลือดเปื้อนเยอะนัก?” ครู่สั้น ๆ ต่อมา พวกเล่ออู๋เหินก็สังเกตพบว่าอาภรณ์ของเฉินซีแหว่งวิ่นชุ่มเลือด เห็นได้ชัดว่าเผชิญศึกบางอย่างมา
“ต้องเป็นฝีมือลั่วฉ่าวหนงแน่! ไอ้พวกบ้าสมควรตาย!” อวี๋ชิวจิงเข่นเขี้ยวสบถดังลั่น
กาลก่อน พวกเขาถูกกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงลอบโจมตีขณะกำลังยึดรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า ทำให้บาดเจ็บสาหัสในศึก ขณะนี้ยามเห็นอาภรณ์ย้อมเลือดของเฉินซี ความแค้นในจึงแล่นพล่านขึ้นในอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ?” เฉินซีแล้วยิ้ม
“แล้วพวกลั่วฉ่าวหนงล่ะ?” เล่ออู๋เหินถาม
“พวกเขา… ยังอยู่ข้างใน” เฉินซีนิ่งไป แล้วจึงตอบ
พวกเขาทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปอีกครั้ง ยามนี้เมื่อเฉินซีกลับมาก่อน ไม่ได้หมายความหรือว่าชิงรากเต๋าวิภูจักรวรรดิล้มเหลวหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เชินถูเยียนหรานก็อดปลอบใจเฉินซีด้วยเสียงอบอุ่นไม่ได้ “ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายเจ้าก็ตัวคนเดียว แค่กลับมาอย่างปลอดภัยก็ยากมากแล้ว”
“ถูกต้องใช่เลย แค่เจ้ารอดกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว” คนอื่น ๆ ก็เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ปลอบใจเฉินซีตาม ๆ กัน
ชั่วขณะนั้น เฉินซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
………………..