บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1712 น้ำขึ้นให้รีบตัก
บทที่ 1712 น้ำขึ้นให้รีบตัก
เฉินซีดูสงบและไม่แปลกใจ
นับตั้งแต่พริบตาที่สังหารลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ เขาก็ตระหนักดีว่าเมื่อใดที่ออกจากซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่แห่งนี้ ย่อมต้องเผชิญกับปัญหามากมายเป็นแน่แท้
เขายังสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าตระกูลที่อยู่เบื้องหลังลั่วฉ่าวหนง กงเหย่เจ๋อฟู ตี้จวิน เยว่หรูฮวา จินชิงหยาง คุนอู๋ชิง และเป่ยเหวินอาจตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว
ถึงขนาดที่ระบุได้ว่าบรรดามหาอำนาจเหล่านี้จากเอกภพจักรวรรดิได้ออกเดินทาง และปิดล้อมชายฝั่งของมหาสมุทรสุสานเทวะที่อยู่หน้าเมืองเฟิงฉีอย่างแน่นหนาแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีหาได้กริ่งเกรงไม่ เพราะจวบจนบัดนี้ ไม่มีผู้ใดนอกจากเจียหนานที่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนฆ่าพวกของลั่วฉ่าวหนง
นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับเฉินซี เพราะตราบใดที่สามารถหลบหนีได้ ก่อนที่พวกมันจะเสร็จสิ้นการสืบสวน เขาก็จะหลีกเภทภัยทั้งมวลได้
เป็นเพราะเหตุ เฉินซีจึงรีบออกไป เพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการออกจาก ‘ที่เกิดเหตุ’
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน” เฉินซีประสานมือคำนับ
ขอบเขตมหาราชเทวา!
มันเป็นขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล!
บุคคลเช่นนี้เปรียบเสมือนมหาจักรพรรดิที่ไร้ผู้เปรียบ ซึ่งอาศัยอยู่ในเอกภพต่าง ๆ ของแดนเทพโบราณ และมีคุณสมบัติที่จะยึดตำแหน่งจ้าวเอกภพ
เฉกเช่น จ้าวเอกภพแห่งเอกภพมสิหิม จักรพรรดินีอวี้เชอ และจ้าวเอกภพแห่งเอกภพขั้วทักษิณา จักรพรรดิโกวเฉิน ล้วนดำรงอยู่ในขอบเขตดังกล่าว
“แน่นอน” เฉินซีพยักหน้ารับ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาวางแผนไว้แล้ว
ด้วยพลังฝีมือในปัจจุบัน เขาไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลด้วยซ้ำ ทว่าหากเขาพบกับผู้ที่ครอบครองขอบเขตมหาราชเทวา ความแข็งแกร่งนี้ย่อมไม่เพียงพอ
ดังนั้นการพัฒนาความแข็งแกร่ง โดยบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญ
ปัจจุบันเฉินซีได้ควบแน่นแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงแล้ว และการบ่มเพาะได้บรรลุถึงขีดจำกัดของขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว มันได้มาถึงจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มิหนำซ้ำยังได้รับรากเต๋าวิภูจักรวรรดิมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงถือได้ว่า เขาได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มพิกัด ขาดเพียงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทะลวงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเท่านั้น
ทวารบาลของวิหารหาได้สนใจเหล่าไป๋ไม่ ดูเหมือนจะรู้นิสัยของเหล่าไป๋มานานแล้ว และไม่สนใจที่จะเสวนากับตัวน่ารำคาญด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไปเสียเถิด” ทวารบาลของวิหารตระหนักดีว่าเฉินซีสงบกว่าที่เขาคาดไว้ จึงรู้สึกผ่อนคลายและพึงพอใจมากขึ้น
เขาเป็นทวารบาลของวิหาร เคยประสบกับความยากลำบากมาทุกประเภท และตระหนักดีว่าเฉินซีเป็นผู้ครอบครองมรดกของแผนภาพวารีเช่นเดียวกับเซวียนจากยุคหมานกู่ วิถีสู่เต๋าของเฉินซีไม่ใช่สิ่งที่ชายชราอย่างเขาจะแสดงความคิดเห็นได้อย่างสิ้นเชิง
เส้นทางของพวกเขาจะต้องไม่เหมือนกับผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ในโลก ทำได้เพียงก้าวย่างไปด้วยตัวเองเท่านั้น
“ผู้อาวุโส” จู่ ๆ เฉินซีก็เอ่ยถามขึ้น “ข้าขอเรียนถามว่าท่านรู้จักกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราหรือไม่?”
ดวงตาของทวารบาลของวิหารหรี่เล็กลง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ “เคล็ดวิชาลับดังกล่าวสืบทอดมาจากยุคก่อน หากเจ้าคิดที่จะหาวิธีรักษามัน บางทีเจ้าอาจต้องเดินทางไปยังเอกภพจักรวรรดิ”
เอกภพจักรวรรดิ!
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว จากนั้นพลันหายใจเข้าลึก ๆ พลางประสานหมัด “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับคำชี้แนะ”
“ไปเถิด เส้นทางสู่มหาเต๋านั้นยากลำบาก แต่ตราบใดที่ดวงจิตแห่งเต๋ายังมั่นคง เจ้าจะสามารถบรรลุทุกสิ่งได้ ถนอมตัวด้วย” ทวารบาลของวิหารยิ้มบาง และใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็ปกคลุมด้วยท่าทางให้กำลังใจ
“ตาเฒ่า ข้ากำลังจากไปแล้ว ส่วนเจ้าจงอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเสียเถอะ ฮ่า ๆ ๆ!!!” เหล่าไป๋แผดหัวเราะอย่างพึงพอใจ และดูอิ่มเอมยิ่ง
ทวารบาลของวิหารหัวเราะเบา ๆ และส่ายศีรษะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โอม!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์สีทองที่เรียบง่ายและสดใสก็ห่อหุ้มเฉินซีและคนอื่น ๆ ขณะพุ่งผ่านท้องฟ้า จากนั้นจึงพุ่งเข้าสู่พื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมโดยปราณหมานกู่วิเวก แล้วหายวับไปทันที
“ท่านอาจารย์ ถ้าเด็กคนนี้ไม่ตายตั้งแต่เยาว์วัย เส้นทางสู่เต๋าก็จะไม่เปลี่ยวเหงาอีกต่อไป….” ทวารบาลของวิหารเฝ้าดูน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์จากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
หลังจากนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน สีหน้ากลับคืนสู่สภาพเฉยเมยเหมือนกาลก่อนทันที
ทันใดนั้น คลื่นพลังผันผวนได้เกิดขึ้นจากประตูแห่ง ‘ชีวิต’ และ ‘ความตาย’ จากนั้นร่างจำนวนมากก็หลั่งไหลออกมา
น่าตกใจที่เป็นบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่หลบหนีออกจากแดนรากบรรพกาล แต่มีเพียงกลุ่มของลั่วฉ่าวหนงเท่านั้นที่ไม่อยู่ในหมู่พวกเขา
ความจริงที่น่าเศร้าที่สุดคือแม้จนถึงขณะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ที่หลบหนีออกจากแดนรากบรรพกาล ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักเต๋านภาม่วง
ถึงกระนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาก็หลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย เมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นที่เสียชีวิตในแดนรากบรรพกาล ก็ถือว่าแล้วแต่บุญวาสนาเช่นกัน
…
บนเส้นทางที่กลับจากวิหารศักดิ์สิทธิ์รากบรรพชน พวกเขาต้องผ่านบริเวณที่ปกคลุมด้วยปราณหมานกู่วิเวก และต้องข้ามผ่านแดนปีศาจโกลาหลที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ก่อนจะมาถึงจุดเริ่มต้นของซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ หลังจากนั้นต้องข้ามมหาสมุทรสุสานเทวะ ถึงจะกลับมายังเมืองเฟิงฉีในที่สุด
เมื่อมาถึงเมืองเฟิงฉี จึงจะถือว่าพวกเขากลับสู่แดนเทพโบราณแล้ว
เพียงแค่กระบวนการทั้งหมดนี้ ก็กินเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
ยามนี้ ในขณะที่เล่ออู๋เหินควบคุมน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณ เชินถูเยียนหรานก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากการถามไถ่ได้ “เฉินซี เจ้าได้รับรากเต๋าวิภูจักรวรรดิจริง ๆ หรือ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ต่างเพ่งมองมาที่เฉินซีอย่างต่อเนื่อง
เฉินซีพยักหน้ารับ มันไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องนี้ เพราะอย่างเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ก็มิอาจหลีกเลี่ยงความรู้สึกตกใจ ทั้งยังรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
“ใช่” ท้ายที่สุด เฉินซีก็อธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนอย่างกระชับ
เมื่อกล่าวจบ บริเวณโดยรอบก็เงียบกริบฉับพลัน
ทุกคนเบิกตากว้าง เผยให้เห็นถึงท่าทางประหลาดใจ และคลื่นพายุที่ไม่เคยปรากฏก็กำลังส่งเสียงดังกึกก้องอยู่ในใจของทุกคน
เจิ้นหลิวชิงประสบคราวเคราะห์ เฉินซีสังหารลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ ด้วยความโกรธ ทำให้เลือดชโลมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน!
ข้อมูลชิ้นนี้เป็นดั่งเสียงฟ้าร้องท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส มันทำให้พวกเขาตะลึงลานจนร่างแข็งทื่อ และไม่อาจหายจากอาการตกใจไปพักใหญ่ หากไม่ได้ยินเรื่องนี้จากปากคำของเฉินซี ก็คงไม่กล้าเชื่อเป็นแน่
ท้ายที่สุด หากรวมลั่วฉ่าวหนงและกงเหย่เจ๋อฟูไว้ด้วย เฉินซีก็มีศัตรูถึงเจ็ดคนในระหว่างการต่อสู้ และทุก ๆ คนล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกร ครองตำแหน่งในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ!
แต่เฉินซีกลับสังหารพวกมันทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว จะมีใครกล้าเชื่อในพลังยุทธ์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ แม้ข่าวเรื่องนี้จะแพร่กระจายไปยังแดนเทพโบราณก็ตาม
เฉินซีไม่ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนอย่างละเอียด และไม่ได้เผยว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่ทำลายล้างกลุ่มของลั่วฉ่าวหนง พลังยุทธ์ของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดูเหมือนว่ามันจะสนุกหรรษากับการได้เห็นทุกคนตกตะลึง
หลังจากเวลาผ่านไปนาน เหล่าไป๋ก็รู้สึกเบื่อเมื่อเห็นว่าพวกเล่ออู๋เหิน ยังคงไม่หายจากอาการตกใจ มันจึงร้องออกมาด้วยความดูถูก “เจ้าพวกกบในบ่อน้ำ พวกเจ้ายังเด็กและอ่อนประสบการณ์เกินไป!”
เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ได้สติในทันที และเผยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยจากการถูกเหล่าไป๋เยาะเย้ย
“เฉินซี เจ้าคิดจะทำอันใดหลังจากนี้” เล่ออู๋เหินหายใจเข้าลึก ๆ และเผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “การสังหารลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ เทียบเท่ากับการทำลายมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกมันโดยสิ้นเชิง เมื่อเรากลับไปที่เมืองเฟิงฉีในครั้งนี้ ข้าเกรงว่า….”
“มีอันใดต้องกลัว? ตามที่เฉินซีกล่าว มีเพียงเจียหนานเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นถ้าเราทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ แล้วใครจะรู้ว่าเป็นเฉินซีเป็นผู้กระทำ?” อวี๋ชิวจิงแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่เชื่อว่าไอ้สารเลวพวกนั้นจะกล้าลงมือต่อเฉินซี โดยไม่คำนึงถึงถูกผิด!”
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
เป็นจริงดั่งที่อวี๋ชิวจิงกล่าว นอกจากเจียหนานและพวกเขาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเฉินซี ดังนั้น ตราบใดที่เฉินซีออกจากเมืองเฟิงฉี ก่อนที่มหาอำนาจเหล่านั้นจะค้นพบความจริง ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้แล้ว
“อันตรายที่แท้จริงอาจกำลังรออยู่ที่เมืองเฟิงฉีแล้ว” เล่ออู๋เหินถอดทอนใจ พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก
“อย่าได้กังวล มหาอำนาจที่หนุนหลังเราอยู่ อาจตระหนักถึงการตายของกลุ่มลั่วฉ่าวหนงแล้ว ดังนั้นพวกเขาย่อมส่งกองกำลังบางส่วนมาสนับสนุนเราอย่างแน่นอน ในเวลานั้นตราบใดที่เฉินซีติดตามพวกเราไป จะมีใครกล้าสงสัยเขาบ้าง?” เชินถูเยียนหรานกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกมัน ในเมื่อมีพวกเราอยู่ที่นี่ด้วย” คนอื่น ๆ ก็ทยอยกล่าวกันขึ้น
หากเป็นในแง่ของพลังฝีมือแต่ละบุคคล พวกเขาย่อมด้อยกว่าโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม หากเป็นการแข่งขันระหว่างกองกำลังที่หนุนหลัง คนส่วนใหญ่หาได้กริ่งเกรงไม่
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาล้วนมาจากมหาอำนาจต่าง ๆ ในเอกภพจักรวรรดิ ดังนั้นจะมีผู้ใดด้อยกว่าอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ทว่าการทำเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินซี ดังนั้นหากมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลังลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ ค้นพบความจริงในภายหลัง พวกเขาจะต้องประสบอันตรายและเภทภัยมหาศาลโดยปริยาย
เห็นได้ชัดว่าเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ได้ตัดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความโล่งอก และรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินทั้งหมดนี้ ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกความจริง เพราะต้องการหยั่งปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
หากเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ หวาดกลัวและรักษาระยะห่าง เฉินซีก็จะไม่ตำหนิผู้ใด และจะจากไปเพียงลำพัง เพื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าในอนาคต และไม่อาจถือว่าเป็นสหายได้อีกต่อไป
แต่เห็นได้ชัดว่าเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ไม่คิดทำเช่นนั้น เท่านี้ก็เกินพอแล้ว
“ทุกคนโปรดฟังข้าด้วย หากข้าสามารถหลบหนีจากสถานการณ์นี้ได้ โปรดยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดกับข้า เพื่อหลีกเลี่ยงเภทภัยที่จะมาสู่ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าทุกคน”
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง เขารู้สึกประทับใจอย่างยิ่งต่อเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ที่เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือโดยไม่ลังเล ทว่าเขาไม่อาจนิ่งดูดายผลที่อาจตามมาได้
“เฉินซี! เจ้าหมายความว่าอะไร? นี่เจ้ากำลังดูถูกพวกเราเหรอ?” ใบหน้าของอวี๋ชิวจิงหมองลง และกล่าวอย่างโกรธเคือง
“พี่ชิวจิงอย่าได้เข้าใจผิดเฉินซี เขาแค่ขอให้เรารักษาระยะห่าง แต่เรายังเป็นสหายกันได้ เพื่อลดความเสี่ยงและอันตรายที่เราอาจเผชิญให้เหลือน้อยที่สุด” เชินถูเยียนหรานมองเห็นความตั้งใจของเฉินซี และอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
………………..