บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1714 เหนือใคร
บทที่ 1714 เหนือใคร
ไม่นานอวิ๋นชิงก็มาถึงนอกประตูเมือง
มหาสมุทรสุสานเทวะที่อยู่ไกลสุดหูตาดูสงบและกว้างใหญ่ มีแต่ความเงียบสงัดจนทำให้ใจเต้น
ที่ริมฝั่งมีหลายเงาร่างกระจัดกระจายตัวอยู่ทั่วจนรวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่
รถม้าสมบัติทองแดงที่มีไก่ฟ้าอัคคีเจ็ดหางสี่ตัวคอยลากลอยอยู่เหนือฟ้า มีทาสเทพคอยเฝ้ารักษาการอยู่ เผยบรรยากาศสูงส่งน่าเกรงขามออกมา
อวิ๋นชิงรู้ว่ารถนี้คงเป็นของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลชั้นยอดตระกูลกงเหย่แห่งเอกภพจักรวรรดิ กงเหย่หนานลี่ มีชื่อว่ารถเทียมไก่ฟ้าอัคคี
โอ๊ก! โอ๊ก!
เสียงคำรามดังลั่นครืนเหมือนฟ้าลั่น มันคือเสียงคางคกหยกเก้าเนตรที่ตัวใหญ่เหมือนภูเขา มีเครื่องหมายสีทองม้วนเป็นเส้นล้อมรอบกายเหมือนไส้เดือน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเห็นรัศมีศักดิ์สิทธิ์เผยออกมา เป็นความงามสง่าที่กลืนกินได้ทั้งโลก
ชายชราผมเทากลิ่นอายน่าผวาพร้อมกับใบหน้าเย็นชายืนอยู่บนคางคกหยกเก้าเนตรนั่น เขาคือตี้อวิ๋นชิวจากตระกูลตี้แห่งเอกภพจักรวรรดิ เป็นยอดฝีมือทรงอำนาจคนหนึ่ง
พวกเขากระจัดกระจายอยู่รอบข้าง อยู่บนรถม้าหรูหราแตกต่างกันไป หรือไม่ก็ขี่อสูรนภา ไม่ก็ยืนอยู่บนเมฆ…. ที่สำคัญคือทุกคนมีทาสเทพและสมุนฝีมือดีคอยติดตาม
เมื่อมองจากที่ไกล บรรยากาศฟ้าดินที่นั่นเปลี่ยนผันไปตลอด ห้วงอากาศลอยเอื่อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายดุดันน่าเกรงขามจนถึงที่สุด
หากเป็นคนธรรมดามายืนอยู่ที่นี่ แค่แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นได้แล้ว
มันเป็นเหตุการณ์ที่เห็นแล้วน่าหวาดกลัว ยอดฝีมือทั่วเอกภพจักรวรรดิดั่งจ้าวครองแดนมารวมตัวกัน ได้แต่บอกว่าเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
แต่ในความคิดของอวิ๋นชิง ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นมังกรตัวสีน้ำเงินซึ่งอยู่บนฟ้าอย่างเงียบเชียบเหนือชายฝั่งมหาสมุทรสุสานเทวะ!
ตัวมังกรใหญ่เหมือนภูเขา กรงเล็บดั่งคมมีดจากฟากฟ้า ดวงตาสุขสกาวเหมือนตะวันจันทรา แต่ละลมหายใจของมันลั่นครืนดังลมพายุ ทั้งยังเต็มไปด้วยแรงกดดันหนาแน่น
มังกรนี้มีพลังอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเป็นอย่างต่ำ อาจแกร่งกว่านั้นด้วยซ้ำ!
แค่มองจากไกล ๆ ก็ทำให้ใจสั่นได้แล้ว
ทว่าตอนนี้ ชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวของมัน ทั่วร่างเต็มไปด้วยสายฟ้าสีม่วงที่ปกคลุมจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนได้
เขามีนามว่าลั่วชง ผู้อาวุโสจากตระกูลลั่วแห่งเอกภพจักรวรรดิ ได้รับสมญานามว่าจักรพรรดิชงโตว!
หรือก็คือเขาอยู่ขอบเขตมหาราชเทวานั่นเอง! เป็นผู้ที่สามารถขึ้นเป็นจ้าวเอกภพ ครองแดนในแดนเทพโบราณได้ทีเดียว!
ขอบเขตมหาราชเทวา!
คนผู้นี้นับว่าอยู่ในจุดสูงสุดของเอกภพจักรวรรดิ ความแกร่งเหนือชั้นทำให้มองต่ำบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ไม่ใช่เพียงอวิ๋นชิงเท่านั้นที่ตกใจ แต่ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ก็ส่งสายตามองลั่วชงเช่นกัน เผยให้เห็นใบหน้าตกใจและหวาดกลัวออกมา
ดูเหมือนไม่คิดว่าตระกูลลั่วจะส่งผู้อาวุโสขอบเขตมหาราชเทวาออกมาเพราะความตายของลั่วฉ่าวหนงได้เช่นนี้!
เพราะอย่างไรผู้อยู่ขอบเขตมหาราชเทวาก็นับว่าอยู่บนจุดสูงสุดของทวยเทพแล้ว ปกติล้านปียังไม่ค่อยเผยตัว
เห็นได้ชัดว่าฐานะของลั่วฉ่าวหนงในตระกูลลั่วสูงส่งเพียงใด และตระกูลลั่วโกรธแค้นกับการตายของเขามากแค่ไหน
เป็นปัญหาแน่! ใจอวิ๋นชิงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไรเหตุ กองกำลังตรงหน้าแข็งแกร่งหาใครเทียบ เฉินซีตกเป็นที่ต้องสงสัยอันดับแรก ฉะนั้นถึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นคนทำ ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าคนพวกนี้จะไม่ระบายความโกรธกับเฉินซี
ยามนี้รอบข้างเงียบสนิท
พวกเขากำลังรอ
กำลังรอความจริงปรากฏ เพื่อจะได้ระบายอารมณ์โกรธเสียที!
“หือ?”
“เหมือนจะเป็นน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณตระกูลเล่อ!”
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงตกใจดังขึ้น ตอนนี้สายตาทุกคนมองไปยังฟ้าไกลโดยพร้อมกัน
…
ในใจเฉินซีพลันเกิดความกลัวขึ้นมา จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นจากสมาธิ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงเล่ออู๋เหินก็ดังมาให้ได้ยินจากที่อีกไกล “ทุกคน เมืองเฟิงฉีอยู่ตรงหน้านี้แล้ว โปรดเตรียมพร้อมด้วย เราจะออกจากน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณไปพร้อมกัน”
เฉินซีเลิกคิ้วสูง ในที่สุดก็รู้ว่าความกลัวนั้นมาจากที่ใด
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป
พวกเขารู้ดีว่ามีอันตรายรอซุ่มอยู่ภายใน เมืองเฟิงฉี ไม่ว่าจะผ่านไปได้หรือไม่ก็คงอยู่กับอนาคตในช่วงไม่กี่อึดใจนี้
วิ้ง!
แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมรอบกาย ฝนแสงโปรยลงมา น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณหมุนเป็นวงกลมก่อนที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จะเดินเข้าไปด้านใน
“มีคนอยู่เยอะมากจริง ๆ!”
“รถเทียมไก่ฟ้าอัคคีของตี้อวิ๋นชิวแห่งตระกูลตี้ คางคกหยกเก้าเนตรของกงเหย่หนานลี่แห่งตระกูลกงเหย่…. อึ๋ย! อะไรกันเนี่ย!? จักรพรรดิชงโตวก็มาด้วยหรือ!”
“เช่นนี้ไม่ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ดูท่าคงจะรู้เรื่องการตายของลั่วฉ่าวหนงและคนอื่น ๆ แล้ว”
ใจเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ สะท้านเมื่อเห็นริมฝั่งมหาสมุทรสุสานเทวะ รู้แล้วว่าสถานการณ์แย่กว่าที่คาดคิด
ตอนนี้พวกเขาล้วนยืนอยู่เหนือมหาสมุทรสุสานเทวะ หากจากฝั่งอยู่ไม่ถึงสามพันลี้เท่านั้น
ดูจากตรงนี้แล้ว เฉินซีสัมผัสได้ชัดเจนว่ายอดฝีมือที่อยู่บนฝั่งนั้นอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล!
โดยเฉพาะที่ใจกลางมหาสมุทรนั้น ยังมีกลิ่นอายของคนผู้หนึ่งที่ทำให้ใจเฉินซีเต้นไม่เป็นส่ำ คงจะเป็นลั่วชง ‘จักรพรรดิชงโตวจากตระกูลลั่ว’ แน่นอน!
เป็นกองกำลังที่ทำให้เฉินซีต้องหรี่ตาลงมอง
“ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เราพลาดไม่ได้เป็นอันขาด!” เล่ออู๋เหินรีบพูดผ่านกระแสปราณ จากนั้นก็นำคนอื่น ๆ มุ่งหน้าต่อ
เมื่อพวกเขาเพิ่งมาถึงริมฝั่ง ยอดฝีมือทรงอำนาจทั้งหลายก็มุ่งหน้าเข้ามาต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮ่า ๆ! อู๋เหินกลับมาได้อย่างปลอดภัยสินะ”
“ท่านลุงเก้า เป็นท่าน”
“เยียนหราน ท่านพ่อของเจ้าให้ข้ามารอรับเจ้ากลับ”
“อาจิง ครั้งนี้ได้อะไรมาบ้างเล่า?”
รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอยู่ชั่วขณะ ยอดฝีมือเหล่านั้นคือผู้อาวุโสของเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ที่มารออยู่นานแล้วนั่นเอง
มีเพียงเฉินซีที่ไร้ผู้ใดมารอรับ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าไม่มีใคร แต่พอเขาเห็นอวิ๋นชิงยืนอยู่ด้านหน้า เขาก็รีบส่งกระแสปราณบอกอวิ๋นชิงให้ทำเป็นไม่รู้จักตน ให้จัดการอันตรายตรงหน้าเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยรู้จักกันก็ยังได้
“เฉินซี ข้าขอแนะนำเจ้าให้รู้จัก นี่คือท่านลุงเก้าของข้า เล่อเป่ยโหยว” ในขณะนั้น เล่ออู๋เหินก็ยิ้มหันมาแนะนำคน
เล่อเป่ยโหยวเป็นชายวัยกลางร่างผอมคนที่มีท่วงท่าสูงส่งคนหนึ่ง สวมหมวกทรงสูงและเข็มขัดกว้าง เดิมทียังคลี่ยิ้มมองไปมา แต่พอได้ยินชื่อเฉินซีก็หรี่ตาลง รอยยิ้มจางลงอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้อาวุโส” เฉินซียังไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วทำความเคารพเล่อเป่ยโหยว
เล่อเป่ยโหยวเพียงพยักหน้าให้ไม่พูดอะไร
เล่ออู๋เหินอึ้งไป เขากำลังจะพูดบางอย่าง เชินถูเยียนหรานก็ยิ้มกล่าวกับเฉินซีว่า “เฉินซี นี่คือท่านลุงสามของข้า เชินถูเป้า ลุงสาม เฉินซีช่วยเหลือข้าไว้มากในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่”
เชินถูเป้ามีร่างกำยำท่าทางดุดัน สายตาเหมือนฟ้าคลั่ง แต่กลับเป็นเขาที่แผดเสียงหัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นสหายของเยียนหราน เช่นนั้นก็ไม่ใช่คนนอกหรอก”
เฉินซียิ้มป้องมือทำความเคารพเช่นกัน
อวี๋ชิวจิงกับจวนอวี๋สุ่ยก็อยากแนะนำเฉินซีให้ผู้อาวุโสเช่นกัน แต่ก็ถูกเล่ออู๋เหินขัดไว้เสียก่อน “เราออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ เข้าเมืองแล้วค่อยคุยกันก็ได้”
พูดจบก็กวาดสายตามองรอบข้าง
แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากริมฝั่งแล้วกลับเมืองเฟิงฉี ก็มีเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยทั้งหลาย
“ผู้อาวุโส ดูนั่น! นั่นมันเฉินซี!”
เงาร่างเล่ออู๋เหินและคนอื่นนิ่งค้างไป
พริบตาต่อมา เฉินซีก็สังเกตเห็นหลายสายตาเคลื่อนมาทางเขาดุจคมมีดเย็น
บรรยากาศคึกคักแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท พลันสัมผัสกลิ่นอายดุดันกดดันได้อย่างชัดเจน
“ไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก” เล่ออู๋เหินเอ่ยผ่านกระแสปราณ คิดจะนำหน้าเดินทางไปต่อ แต่เหตุการณ์ต่อไปก็ทำให้ใจเขาหล่นวูบ ไร้ทางเลือกต้องหยุดฝีเท้าไว้เท่านั้น
เพราะรถม้าสมบัติทองแดงที่ลากโดยสี่ไก่ฟ้าอัคคีเจ็ดหางพุ่งลงมาจากฟ้า ทะลวงผ่านห้วงอากาศ ขวางเส้นทางตรงหน้าไว้
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ชายวัยกลางคนในชุดสีดำใบหน้าเย็นชาในทรงผมพิถีพิถันก็ย่างเท้าออกมาจากรถม้าสมบัติทองแดง
ตี้อวิ๋นชิว!
ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลชั้นยอดตระกูลตี้แห่งเอกภพจักรวรรดิ!
ทันทีที่พูดเช่นนั้น สายตาทั้งหลายจึงเคลื่อนมามอง พาเอาแรงกดดันไร้รูปทั้งหลายถาโถมเข้ามาด้วย
หากเป็นคนอื่นคงได้กลัวจนสิ้นสติไปแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือชั้นสูงจากเอกภพจักรวรรดิเช่นคนผู้นี้
แต่เฉินซีไม่ใช่ใครอื่น เขายังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้แล้วพยักหน้าด้วยความสุขุม “ใช่แล้ว”
“ลุงสาม” เชินถูเยียนหรานขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เชินถูเป้าทำท่าเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาพยักหน้าให้ก่อนมองตี้อวิ๋นชิว “พี่อวิ๋นชิว ท่านหลบไปก่อนเถอะ หากต้องการอะไร กลับเมืองแล้วค่อยคุยยังไม่สาย”
ตี้อวิ๋นชิวแค่นเสียงเย็น “กลับเมืองงั้นหรือ? ถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว! เชินถูเป้า เจ้าหลีกไป! ไม่ใช่เพียงข้าที่อยากรู้ความจริง สหายเต๋าคนอื่น ๆ ก็ต้องการรู้ความจริงเช่นกัน!”
เป็นคำพูดเย่อหยิ่งไม่ยอมคนอย่างยิ่ง