บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1715 กดดันทีละน้อย
บทที่ 1715 กดดันทีละน้อย
ทันทีที่สิ้นเสียงของตี้อวิ๋นชิว เสียงแล้วเสียงเล่าก็ดังมาจากทุกทิศทาง
“สหายเต๋าอวิ๋นชิวพูดถูกต้องที่สุด”
“เชินถูเป้า เจ้าไปได้ แต่เด็กคนนี้จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่อย่าคิดว่าวันนี้จะพาเขาไปได้!”
“ใช่ ทันทีที่ทุกอย่างถูกตรวจสอบจนกระจ่างชัด หากไม่มีความข้องเกี่ยวกับเด็กคนนี้จริง พวกข้าก็จะยอมรามือ”
เสียงเหล่านี้ล้วนเป็นของผู้ยิ่งใหญ่จากกองกำลังสูงสุดในเอกภพจักรวรรดิ แต่ละคนดูโอ่อ่ายิ่งกว่าครั้งก่อน พวกเขาเหมือนกับเสียงของมหาเต๋าที่ดังก้องทั่วหล้า ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับหัวใจหยุดเต้น
เพียงพริบตา ใบหน้าของเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ย และคนอื่นต่างมีสีหน้าหมองหม่น ในใจเต็มไปด้วยความวิตกขณะมองผู้อาวุโสรอบข้าง
“ทุกท่าน เฉินซีผู้นี้เพียงน่าสงสัยเล็กน้อย สิ่งที่พวกท่านทำมันมากเกินไป คิดว่าเขาเพียงคนเดียวจะสามารถสังหารมหาเทวาวิญญาณชั้นยอดทั้งเจ็ดได้?”
เชินถูเป้าคิ้วขมวดขณะเอ่ยคำด้วยความไม่พอใจ
ต่อให้มีความขัดแย้งกับพวกลั่วฉ่าวหนงในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ คนตัวเล็กที่มีชื่อเสียงน้อยนิดเช่นนี้จะกวาดล้างพวกลั่วฉ่าวหนงเพียงลำพังได้อย่างไร?
“เหอะ! เรื่องนี้นับว่าสำคัญยิ่ง หากมีใครน่าสงสัย พวกข้าต้องตรวจสอบให้แน่ชัด หากเจ้า เชินถูเป้า ยังขวางทางอยู่อีก เจ้าจะกลายเป็นศัตรูของทุกคนที่นี่!”
ตี้อวิ๋นชิวพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา สีหน้าเย็นชายิ่ง
“แล้วถ้าข้าไม่เห็นด้วยล่ะ?”
เชินถูเป้าเดือดดาลพลางเอ่ยถาม
เมื่อเห็นเช่นนี้ เล่อเป่ยโหยวผู้อยู่ข้างกายพลันฉีกยิ้มแล้วเอ่ยคำ “เอาละ ทั้งสองคน โปรดอดทนกันหน่อย พวกเราแค่ตรวจสอบสถานการณ์ไม่ใช่หรือ? ใช้เวลาไม่นานหรอก”
ตี้อวิ๋นชิวพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “สหายเต๋าเป่ยโหยวยังนับว่ามีความเข้าใจเรื่องความชอบธรรม”
เชินถูเป้าคิ้วขมวดขณะชำเลืองมองเล่อเป่ยโหยว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เอ่ยคำอะไร
แต่ในตอนนี้ เล่ออู๋เหินปฏิเสธแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านลุงเก้า เฉินซีคือสหายของข้า พวกเราสานมิตรภาพกันมาอย่างยาวนาน จะให้มาทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
เล่อเป่ยโหยวแย้มยิ้มพลางเอ่ยคำด้วยความไม่เห็นด้วย “มันก็แค่การตรวจสอบ หากสหายตัวน้อยอย่างเฉินซีผู้นี้ไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าขอรับปากว่าจะไม่มีใครทำร้ายเขา”
เล่ออู๋เหินตกตะลึงขณะรู้สึกสิ้นหวังและหงุดหงิดเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ค่อนข้างเกินการควบคุมไปแล้ว ทำให้รู้สึกละอายใจต่อเฉินซีเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาตกปากรับคำว่าจะไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องเกิดขึ้น มันทำให้ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เพียงเล่ออู๋เหินเท่านั้น แม้กระทั่งเชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ย และคนอื่นต่างไม่พอใจจนเริ่มเดือดดาล
พวกเขากำลังจะเอ่ยคำบางอย่าง แต่เฉินซีกลับห้ามปรามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เป่ยโหยวพูดถูก ให้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ก็ไม่เลว ข้ายังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเหตุใดถึงตกเป็นเป้าสงสัยจากทุกคน”
ขณะเอ่ยคำ เขามองตี้อวิ๋นชิวแล้วกล่าวอย่างสงบ “ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสท่านนี้สามารถช่วยให้คำชี้แนะได้หรือไม่?”
หากใครบางคนไม่ทราบรายละเอียด เมื่อได้ยินคำพูดเถรตรงเช่นนี้ เกรงว่าความสงสัยบางส่วนอาจจะได้รับการคลี่คลาย
แม้กระทั่งพวกเล่ออู๋เหินก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะเชี่ยวชาญเรื่องการโกหกตาไม่กะพริบ
ตี้อวิ๋นชิวพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาขณะมองเฉินซีด้วยสายตาประหนึ่งสายฟ้า ก่อนจะเอ่ยคำที่เปี่ยมด้วยพลังมหาศาล “สหายตัวน้อย เจ้าควรทราบว่าการโกหกมีราคาที่ต้องจ่าย”
ตี้อวิ๋นชิวสูดหายใจแล้วเอ่ยคำอย่างมีความสุข “ก็ได้ ข้าขอถามเจ้า ตี้จวิ้นผู้เป็นลูกชายของข้าและเป็นผู้สืบทอดของตระกูลตี้ถูกเจ้าฆ่าใช่หรือไม่!”
พลังสะเทือนวิญญาณแฝงอยู่ในน้ำเสียงราวกับเฉินซีจะทนทุกข์กับหายนะอย่างแสนสาหัสหากโกหกแม้แต่คำเดียว
มันคือวิชาลับที่ถูกออกแบบมาเพื่อสั่นสะเทือนวิญญาณ
แต่สำหรับเฉินซี เห็นได้ชัดว่ามันไม่มากพอ เขาเอ่ยด้วยความประหลาดใจโดยไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด “ว่าไงนะ? ตี้จวิ้นตายแล้วหรือ?”
เขาเผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อทราบเรื่องนี้
ตี้อวิ๋นชิวหรี่ตาขณะตรวจสอบเฉินซีอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็น “เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเหตุใดผู้คนมากมายหรือแม้กระทั่งข้าถึงสงสัยในตัวเจ้า?”
เฉินซีคิ้วขมวดแล้วเอ่ยคำ “ผู้อาวุโส สิ่งที่ท่านพูดมาค่อนข้างอุกอาจ ไม่ทราบว่ามีหลักฐานหรือไม่?”
เมื่อเห็นเฉินซีปฏิเสธที่จะยอมรับความผิด ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างพากันคิ้วขมวด ถ้าไม่ใช่เพราะตัวตนของเล่อเป่ยโหยว เชินถูเป้า และคนอื่น พวกเขาอาจจะลงมือจับเฉินซีเพื่อทรมานให้สาสมไปนานแล้ว
ตี้อวิ๋นชิวหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราดเช่นกัน “หลักฐานหรือ? ได้! เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย เจ้าเคยมีความขัดแย้งกับตี้จวิ้นตอนอยู่ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่หรือไม่?”
ตี้อวิ๋นชิวเอ่ยคำต่อ “เช่นนั้นข้าขอถามอีกครั้ง เจ้าได้ไปมีความขัดแย้งกับลั่วฉ่าวหนงหรือไม่?”
เฉินซียังคงพยักหน้า “มี แต่มันก็แค่การแข่งขันเพื่อรากเต๋าเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้กันจนถึงแก่ชีวิต”
“เช่นนั้นเจ้าเคยมีความขัดแย้งกับกงเหย่เจ๋อฟู เยว่หรูฮวา จินชิงหยาง คุนอู๋ชิง และเป่ยเหวินหรือไม่?”
ตี้อวิ๋นชิวประกาศรายชื่อยาวเหยียดในอึดใจเดียวเพื่อดึงความสนใจของผู้ชมทั้งหลาย ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันน่าสะพรึงครั้งแล้วครั้งเล่ากวาดผ่านมาเพื่อกำราบเฉินซี ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มพลันหรี่ลง
ผ่านไปสักพัก เฉินซีก็เอ่ยคำ “แม้ว่าข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่มันเป็นความจริง”
ทันทีที่สิ้นคำ ทั่วพื้นที่ตกอยู่ในความตกตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อของเฉินซี นอกจากนี้ เฉินซีไม่เคยอยู่ในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณด้วยซ้ำ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มไร้นามผู้นี้มาจากที่ใด แล้วเหตุใดถึงกล้ามีเรื่องกับมหาเทวาวิญญาณมากขนาดนี้
ดังนั้นเมื่อทราบว่าเฉินซียอมรับด้วยตัวเอง ในใจของพวกเขาก็เกิดระลอกคลื่นก่อนจะทำการประเมินชายหนุ่มผู้นี้ใหม่
“เช่นนั้นข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าอยู่เบื้องหลังความตายของพวกลั่วฉ่าวหนงใช่หรือไม่!?” ตี้อวิ๋นชิวตะโกนเสียงดังประหนึ่งฟ้าร้องดังกึกก้องจนเสียดแทงหู
“ไม่ใช่” คำตอบของเฉินซีกระชับและตรงประเด็น
“เอาละ ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้น ข้าก็ขอใช้วิชาสืบวิญญาณเพื่อทำการตรวจสอบแล้วกัน หากเจ้าไม่โกหกจริงก็สามารถไปได้ทันที ว่าไง?” ตี้อวิ๋นชิวเอ่ยอย่างเย็นชา
“นี่มันดูไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือ?”
เล่ออู๋เหินผู้อยู่ข้างกายไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขารู้สึกว่าชายชราผู้นี้กำลังปฏิบัติต่อเฉินซีไม่ต่างจากนักโทษ
พวกเชินถูเยียนหรานไม่ยินดีเช่นกันขณะมองตี้อวิ๋นชิวด้วยสายตาเย็นชา ในเมื่อมีผู้อาวุโสตระกูลอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
ตี้อวิ๋นชิวไม่ใส่ใจกับผู้น้อยเหล่านี้แต่อย่างใด สายตาเกรี้ยวกราดกำลังจับจ้องเฉินซี ขอเพียงอีกฝ่ายเผยการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว เขาย่อมสังเกตเห็นแน่นอน
น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้ เฉินซีไม่เปิดเผยเบาะแสใด ๆ แต่นี่ไม่ช่วยคลายความสงสัยให้กับตี้อวิ๋นชิวเลยสักนิด
ในทางกลับกัน เฉินซีมีท่าทีสงบเกินไป เขาจึงยิ่งรู้สึกว่าต่อให้เฉินซีไม่เป็นคนทำจริง ก็ย่อมต้องมีความข้องเกี่ยวเป็นแน่
“ข้าขอถามอีกครั้ง เจ้าเต็มใจที่จะยอมรับการตรวจสอบด้วยวิชาสืบวิญญาณเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือไม่?” ตี้อวิ๋นชิวเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
ใบหน้าของเฉินซีมืดมนขณะยิ้มหยัน “ผู้อาวุโส โปรดเข้าใจอย่างหนึ่งด้วย ข้อแรก ข้าไม่ใช่นักโทษ จึงไม่ได้มีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับท่านในการตรวจสอบความจริง ข้อสอง ข้าไม่โทษท่านที่ถามอะไรซ้ำไปมา สุดท้ายแล้วใครเล่าที่ทำให้ตี้จวิ้นถึงแก่ความตาย? ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี”
ทุกคำพูดเต็มไปด้วยความรู้สึกแรงกล้า มันทั้งดังและทรงพลังราวกับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ถูกหาว่ากระทำผิด
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเล่ออู๋เหินรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง พวกเขาไม่คาดคิดว่าการกระทำของเฉินซีจะมาถึงขั้นนี้ มันมากพอที่จะทำให้เรื่องโกหกดูเหมือนเรื่องจริงได้ทันตา
สีหน้าของตี้อวิ๋นชิวแข็งทื่อขณะเต็มไปด้วยโทสะ ถ้าไม่ใช่เพราะเล่อเป่ยโหยว เชินถูเป้า และคนอื่น เขาคงเข้าไปฉีกปากของเฉินซีเพื่อทำให้หยุดพูดไปแล้ว
“ก็ได้ งั้นจบเรื่องเพียงเท่านี้” เชินถูเป้าเอ่ยคำเพราะอยากจบ ‘คำถาม’ นี้แล้วนำกลุ่มคนออกไป
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำมาจากหมู่เมฆอันไกลลิบ คนผู้นั้นคือกงเหย่หนานลี่ผู้นั่งอยู่บนคางคกหยกเก้าเนตร
“คุณชาย หากเจ้าบริสุทธิ์ใจก็จงตอบตกลงเพื่อทำการสืบวิญญาณด้วย หากสุดท้ายเจ้าไม่ได้เป็นคนทำจริง ข้าจะขอโทษต่อหน้าทุกคนเอง!”
แม้น้ำเสียงของกงเหย่หนานลี่จะสงบ แต่มันเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
หลังจากได้ยินคำสัญญาดังกล่าว ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึง เพียงเพราะเรื่องนี้ กงเหย่หนานลี่กลับไม่ลังเลที่จะเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของตัวเอง ดูท่าว่าความตายของกงเหย่เจ๋อฟูจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อตระกูลกงเหย่ค่อนข้างมาก บาดแผลดังกล่าวทำให้เขาโหดเหี้ยมจนยอมทำทุกอย่าง
แต่สำหรับเฉินซี มันเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน “ขอโทษหรือ? หมายถึงขอโทษด้วยความตายใช่หรือไม่? หากเป็นแค่การพูดขอโทษ ข้าก็ไม่สน!”
ขอโทษด้วยความตาย!
เมื่อได้ยินคำพูดยั่วยุเช่นนี้ สายตาของกงเหย่หนานลี่ถึงกับแข็งทื่อ กลิ่นอายยิ่งเปี่ยมด้วยอำนาจคุกคามขณะเอ่ยคำอย่างเย็นชา “สหายตัวน้อย อย่าให้ต้องใช้กำลังเพื่อลงไม้ลงมือกันเลย! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเล่อเป่ยโหยว ข้าจะมาเสียเวลาฟังเจ้าพูดจาเหลวไหลไปเพื่ออะไร?”
เป็นความจริงที่ในสายตาของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เฉินซีนับว่าไม่มีค่าอะไร ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะมาสนทนาด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่ไม่ลงมือก็เพราะต้องไว้หน้าเล่อเป่ยโหยว เชินถูเป้า และคนอื่นก็เท่านั้น
แต่ถ้าเฉินซียอมตายแทนที่จะให้ความร่วมมือ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากลงมืออย่างโหดเหี้ยม!
บรรยากาศพลันเงียบสงัดยิ่ง
สายตาทุกคู่จับจ้องเฉินซีราวกับกำลังรอการตัดสินใจของเขา
ในขณะที่พวกเล่ออู๋เหินวิตกราวกับมดที่อยู่ในหม้อร้อน
เชินถูเยียนหรานพลันกัดฟันและกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเอ่ยคำบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินซีที่ส่งกระแสปราณมาห้ามเอาไว้ “อย่าขยับ ให้ข้าจัดการทุกอย่างเอง”
ในตอนนี้ แม้สีหน้าของเฉินซีดูสงบยิ่ง แต่สายตากลับเฉยชาและปราศจากอารมณ์อย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มชำเลืองมองเหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากเอกภพจักรวรรดิผู้อยู่ที่นี่ทีละคน ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาแผ่วเบา “ข้า เฉินซียอมเป็นหยกที่แตกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์”
ทุกคำพูดสงบและดังก้อง