บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1717 เหตุไม่คาดฝัน
บทที่ 1717 เหตุไม่คาดฝัน
กงเหย่หนานลี่ หนึ่งตัวตนเรืองอำนาจยิ่งใหญ่ในตระกูลกงเหย่
ความแข็งแกร่งร้ายกาจเสียยิ่งกว่าตี้อวิ๋นชิว อยู่ในอันดับแปดสิบสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล!
ลำดับแม้ดูต่ำ แต่ต้องตระหนักว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทุกคนล้วนอยู่มาหลายพัน หรือกระทั่งหลายหมื่นปี!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่กว่าจะบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้ก็ยากเย็นสุดขั้วแล้ว ความยากลำบากของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลที่จะเลิศล้ำเหนือใครในแดนเทพโบราณจนติดอันดับในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลได้ก็ชัดเจนเช่นกัน
อย่างน้อยที่สุด อำนาจต่อสู้ของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลสูงสุดอย่างตี้อวิ๋นชิวก็เพียงพอบดขยี้ยอดฝีมือร่วมขอบเขตบ่มเพาะส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจติดอันดับในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลได้
ควรค่ากล่าวถึงว่าการจะมีชื่อในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลนั้นยากยิ่งกว่าเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณเสียอีก และแต่ละลำดับก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานมาก
เหตุผลเป็นเพราะผู้เฒ่าในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเหล่านี้แข็งแกร่งมากเสียจนยากกำราบยิ่งนัก ดังนั้นการสั่นคลอนอันดับในเทียบตำแหน่งของพวกเขาจึงยากพอ ๆ กับเหินสู่สวรรค์!
…
ขณะนี้ หนึ่งบุคคลร้ายกาจอย่างกงเหย่หนานลี่จู่โจมด้วยโทสะ รอบข้างดูประหนึ่งถูกเพลิงผลาญ มหาเต๋าพังทลาย หนึ่งลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทะลวงนภา บังเกิดเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว
“แย่แล้ว! ถอยเร็ว!” สีหน้าของเล่อเป่ยโหยว เชินถูเป้า และคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาทราบว่าการโจมตีนี้ร้ายกาจเพียงไร และพาพวกเล่ออู๋เหินหลบลูกหลงไปไกลด้วยกันโดยสัญชาตญาณ
ขณะนี้พวกเขาเหมือนไม่อาจให้ความสนใจเฉินซีมากกว่านี้ได้
ความห่างเหินในความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นมา เทียบกับเฉินซี ชายหนุ่มที่พึ่งได้พบแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องคำนึงเป็นอันดับแรกย่อมเป็นเล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ย ทายาทร่วมตระกูลของพวกเขา
ประกอบกับความสามารถร้ายกาจที่เฉินซีแสดงเมื่อครู่ ทำให้พวกเล่อเป่ยโหยวเริ่มสงสัยว่าพวกลั่วฉ่าวหนงน่าจะถูกเฉินซีสังหารจริง
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถือความปลอดภัยและผลประโยชน์ส่วนตนสำคัญสูงสุดโดยสัญชาตญาณ และไม่อยากถูกลากลงปลักโคลนไปด้วย
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์โปรยจากนภา ขณะที่ปราณน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งครอบคลุมลงมา พลังมหาเต๋าพล่านพุ่ง ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนว่ากงเหย่หนานลี่ตั้งใจกำจัดเฉินซีในกระบวนท่าเดียว
วูบ!
เฉินซีไม่ได้รุดหน้า ชายหนุ่มกลับล่าถอยไป ร่างวูบไหวทะลวงนภา สู่เวหาเหนือมหาสมุทรสุสานเทวะ จึงหลบการโจมตีนี้ได้อย่างฉิวเฉียด
ร้ายกาจเกินไปนัก!
หากการโจมตีนี้ถูกเฉินซีเข้าจริง ๆ ความร้ายแรงที่ตามมาก็ชัดเจน
“ไอ้เวร! กล้าดีเช่นไรจึงหลบ!” กงเหย่หนานลี่แค่นเสียงเย็น เท้ากระทืบผ่านมิติ ร่างวูบไหวดุจเทพสงครามบรรพกาลผู้ควบคุมเต๋ามากมาย กระทั่งการเคลื่อนไหวร่างกายง่าย ๆ ยังเปี่ยมอำนาจฉีกเวหาทลายแดนดิน
เขาพุ่งสู่ท้องนภาเหนือมหาสมุทรสุสานเทวะ และเพียงพลิกฝ่ามือ รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีแดงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเยี่ยงสุริยะศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือ ก่อนจะทุ่มมันลงใส่เฉินซี
น่านน้ำในละแวกสมุทรนั้นเหือดแห้งไปโดยพลัน ทำให้มันกลายเป็นแดนดินแตกระแหง ขณะที่ท้องฟ้าเองก็เหมือนถูกแผดผลาญ อุณหภูมิสูงลิ่วจ้าจัดทั่วทิศเสียจนอากาศบิดเบี้ยวเป็นวงกว้าง
เหตุการณ์เช่นนี้คือยามทะเลเดือดนภาผลาญโดยแท้จริง!
คลื่นความร้อนน่าสะพรึงกลัวจากมันทำให้ผู้บ่มเพาะมากมายในระยะอึดอัดหายใจไม่ออก ราวถูกจับไปอบในเตา ร้อนจนไม่สบายตัว
เคร้ง!
เฉินซีชักยันต์ศัสตราออกมาฟันกลางอากาศ
หลังจากได้ฝึกฝนกับวิญญาณกระบี่ไร้เทียมทานทั้งสามสิบหก อำนาจเชือดเฉือนกาสรก็แตกต่างไปจากกเดิมโดยสิ้นเชิง แม่นยำดุร้ายถึงขีดสุด
เพียงพริบตาเดียว มันก็ฟาดฟันสุริยันศักดิ์สิทธิ์อันแผดผลาญกลางนภาเป็นสองเสี่ยง แยกมิติเป็นสองส่วนขณะพุ่งตรงเข้าใส่กงเหย่หนานลี่
ฟ่าว!
การโจมตีนี้รวดเร็วเกินไป เผยแก่นแท้ของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ระดับหนึ่งอย่างเต็มที่ กงเหย่หนานลี่ถูกโจมตีโดยไม่ตั้งตัว ทำให้ม่านตาหดลง ขณะฟาดฝ่ามือส่งอำนาจหนาแน่นออกไปสลายการโจมตีนี้ซ้ำ ๆ
เป็นเต๋าแห่งกระบี่ที่ร้ายกาจนัก!
หัวใจของคนอื่น ๆ รอบข้างล้วนสั่นสะท้าน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เป็นผู้อาวุโสซึ่งใช้ชีวิตยาวนานจนไม่อาจนับ จึงสังเกตได้ว่าเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีลึกล้ำไม่ธรรมดาเพียงไรแต่แรกเห็น
เต๋าแห่งกระบี่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหลอมรวมกับพลังดวงใจ บรรลุสูงเหนือขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ มี ‘อำนาจ’ เป็นของมันเองแล้ว!
หัวใจทุกดวงอดบังเกิดความตะลึงไม่ได้ยามประจักษ์แจ้ง สัตว์ประหลาดน้อยนี่มาจากที่ใดกันแน่?
ตู้ม!
ขณะเดียวกัน กงเหย่หนานลี่กับเฉินซีต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองช่วงชิงความยิ่งใหญ่เหนือมหาสมุทรสุสานเทวะ ปราณกระบี่เหินฉวัดเฉวียน รัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรองทั่วทิศ ทำให้ท้องสมุทรในรัศมีแสนลี้เละเทะสิ้นหวัง ดูน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หากมิใช่ได้ประจักษ์ด้วยสองตา พวกเขาคงไม่มีทางวาดฝันได้เลยว่าจะมีเทวารู้แจ้งวิญญาณผู้หนึ่งในโลกหล้าประมือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลบนเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลได้ถึงขนาดนี้
ตะลึงโลกหล้าโดยแท้!
ยิ่งกว่านั้น สิ่งนี้ยังทำให้พวกเขายิ่งแน่ใจว่าความตายของลั่วฉ่าวหนงและมหาเทวาวิญญาณอีกหกคนต้องเกี่ยวกับเจ้าเด็กนี่แน่!
สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่ามากมายยิ่งรู้สึกเคืองแค้น หากมิใช่ต้องพิจารณาศักดิ์ศรีและหน้าตาตนเองแล้ว พวกเขาคงพุ่งเข้าไปร่วมวง ร่วมมือกับกงเหย่หนานลี่จัดการกับเฉินซีแล้ว
…
“เจ้าเด็กนี่ร้ายกาจเพียงนี้ พวกเจ้าไปรู้จักเขาได้อย่างไร?” ขณะนี้ เล่อเป่ยโหยวอดตะลึงมิได้ ใบหน้าสง่างามเผยสีหน้าเคร่งขรึมชัดเจน
“ฮึ!” เล่ออู๋เหินแค่นเสียงเย็นเยียบ สีหน้าบึ้งตึง เขาผิดหวังในตัวลุงเก้านัก ถึงขนาดรู้สึกโมโห
เฉินซีเป็นสหาย ทั้งสองปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจมาตลอด ยามนี้เมื่อเฉินซีประสบเคราะห์ เขากลับทำได้เพียงมองห่าง ๆ อย่างไม่อาจช่วย จึงทั้งรู้สึกผิดและหงุดหงิดใจ
หลายครั้งที่เขาอยากจะพุ่งออกไปต่อสู้เคียงบ่าเฉินซี แต่ก็ถูกเล่อเป่ยโหยวหยุดไว้ ทำให้ทัศนคติของเขาต่อเล่อเป่ยโหยวจึงยิ่งย่ำแย่
ไม่เพียงเขา ทั้งอวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ย และเชินถูเยียนหรานต่างก็มีสีหน้าบึ้งตึง เพราะการกระทำของบรรดาญาติผู้ใหญ่ตระกูลตนทำให้พวกเขาผิดหวังถึงขีดสุด
พวกเขาย่อมตระหนักชัดเจนว่าตนทั้งหลายจะกลายเป็นศัตรูร่วมของทุกคนที่นี่หากเข้าช่วยเฉินซี แต่ควรทิ้งสหายเพราะเหตุนี้หรือ?
จริงอยู่ ที่พวกเขามีความภาคภูมิเย่อหยิ่ง กระทั่งผยองอำนาจ แต่หัวใจยังมีโลหิตอุ่นร้อนไหลเวียน และภักดีต่อสหายยิ่งนัก!
นี่คือมิตรภาพ! ในเมื่อยอมรับเฉินซีเป็นสหาย แล้วเหตุใดต้องมีคำอธิบายอื่น?
ไม่จำเป็นเลย!
“เยียนหราน หากเจ้าถือเด็กนี่เป็นสหายจริง ๆ ลุงสามจะสู้เพื่อเจ้าต่อให้ต้องสละชีวิต แต่ข้าทำในนามตระกูลไม่ได้” เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าหมองหม่นของเชินถูเยียนหราน เชินถูเป้าก็อดถอนใจไม่ได้ แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “จริงอยู่ มิตรภาพนั้นสำคัญ แต่ยามมันมีเรื่องผลประโยชน์ตระกูลเข้ามาพัวพัน เราย่อมต้องรอมชอมยอมถอย นี่คือสัจธรรม ภายหน้าเมื่อเจ้ามีประสบการณ์มากกว่านี้ เจ้าย่อมเข้าใจเอง”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” เชินถูเยียนหรานส่ายหัวอย่างเฉียบขาด “เฉินซีมีทางเลือกของเขา เราให้เกียรติเขา เพียงแค่ว่า… เราไม่อาจทำเพียงยืนเฉยขณะที่สหายเผชิญหายนะ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้”
เชินถูเป้าเลิกคิ้ว “เช่นนั้น เจ้าจะทำอะไร?”
เชินถูเยียนหรานเม้มริมฝีปากสีสด กัดฟันกล่าว “ศัตรูของเขาคือศัตรูของข้า ไม่ว่ายามนี้หรือภายหน้า!”
ทั้งดูเด็ดขาดไร้ปรานี แต่กลับเผยเค้าความจนใจอย่างลึกล้ำ เพราะหากนางสามารถพอ ยามนี้นางคงไปช่วยเฉินซีแล้ว มีหรือจะมารอล้างแค้นในภายหน้า?
นี่เป็นเพราะนางมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอประสิทธิผล
ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นคำมั่นที่นางลั่นไว้หลังพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว
“ก็ได้!” เชินถูเป้าเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะตบบ่าเชินถูเยียนหรานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันอย่างยิ่ง “ลุงสามสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”
เล่ออู๋เหินและคณะต่างเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ชัดเจน และโลหิตร้อนรุ่มก็พลุ่งพล่านในใจ ตั้งมั่นตัดสินใจเหมือน ๆ กัน
…
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น หลังจากเสียงเลื่อนลั่นสนั่นก้อง สถานการณ์ศึกซึ่งเป็นไปอย่างสูสีก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน
กงเหย่หนานลี่ผู้เผยอำนาจยิ่งใหญ่ไร้คู่เปรียบถูกหนึ่งกระบี่จากเฉินซีฟาดกระเด็น กระอักเลือดไม่จบสิ้น!
เพียงพริบตา ทุกผู้รอบข้างก็ตกตะลึง
“ไอ้หนูน่ารังเกียจ! เจ้าวางแผนล่อข้ามาติดกับ!” กงเหย่หนานลี่แผดเสียงขณะไหวร่างเคลื่อนย้ายไปสู่ฝั่งมหาสมุทรสุสานเทวะ
เกิดอะไรขึ้น? ผู้ชมทั้งหลายต่างตกตะลึง มิเคยคาดคิดว่ากงเหย่หนานลี่เหมือนตั้งใจหนีหลังจากแค่เสียเปรียบเพียงหน
“เจ้าหนูนี่ฉลาดนัก เขาพึ่งสถานการณ์ในฟ้าดินทำศึก นับแต่อดีตกาลจนบัดนี้ มหาสมุทรสุสานเทวะปกคลุมด้วยสนามพลังร้ายกาจสะกดการบ่มเพาะของผู้คนเสมอ มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไปได้อย่างปลอดภัย ขณะนี้ตัวตนเหนือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณจะถูกสะกดเหลือที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ ไม่มีทางรีดเร้นอำนาจเต็มที่ออกมาได้เลย!” ใครบางคนทอดถอนใจชี้เหตุผล
ผู้ชมทั้งหลายพลันประจักษ์แจ้ง แล้วจึงเกิดความรู้สึกอับอาย พวกเขาย่อมตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ดี แต่ก็เพราะตระหนักดีนี่เอง พวกเขาจึงมองข้ามมันไป
เช่นเดียวกัน หากไร้สนามพลังพิเศษนี้บนมหาสมุทรสุสานเทวะ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมารอที่ฝั่งสมุทรเลย คงมุ่งหน้าไปตรวจสอบสัจธรรมในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่กันแล้ว
และคงไม่เห็นต้องหลบอยู่ข้างนอกยามสถานแสวงโชคสูงสุดเช่นนี้เปิดตัวขึ้นเลย คงตามคนอื่น ๆ เข้าไปแสวงโชคในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่กันแล้ว
สรุปก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมหาสมุทรสุสานเทวะไม่ธรรมดาเกินไป มันไม่ใช่อาณาเขตของแดนเทพโบราณและมีสนามพลังพิเศษกดการบ่มเพาะของผู้อื่น ทำให้ผู้บ่มเพาะเหนือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณมิกล้าเหยียบย่างเข้าไป
เห็นได้ชัดว่ากงเหย่หนานลี่ก็มองข้ามเรื่องนี้ไปเช่นกัน แล้วเพิ่งมาตระหนักยามเผชิญความเสียเปรียบในศึก
“ไอ้แก่งี่เง่า เจ้าเรียกข้าไอ้เวรมาตั้งนาน แล้วตั้งใจจะหนีตอนนี้หรือ?” เฉินซีแค่นเสียงเย็นเยียบ พลางสาวเท้าผ่านมิติ ขณะที่มือยังวาดปราณกระบี่สารพัด โปรยปรายลงมาดุจกรงขังจากสวรรค์ สกัดทุกทางหนีของกงเหย่หนานลี่ไว้
เขาได้โอกาสเช่นนี้มาอย่างยากลำบาก ย่อมไม่มองกงเหย่หนานลี่กลับสู่ฝั่งสมุทรเฉย ๆ แน่นอน
กล่าวคือขณะนี้ กงเหย่หนานลี่เป็นตัวตนซึ่งถูกสะกดขอบเขตเหลือเพียงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ สิ้นความได้เปรียบในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลไปแล้ว ดังนั้นหากเฉินซีไม่สยบกงเหย่หนานลี่ยามนี้ ศึกนี่คงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
ตู้ม!
เจตจำนงกระบี่เฉิดฉายสู่นภา ดุจท้องสมุทรสีครามปรากฏลักษณ์ ทอดตัวขวางทางกงเหย่หนานลี่ดุจคันคูธรรมชาติ จวนเจียนจมร่างของเขาลงไป